"อยู่ในสังคมใดก็ตาม..แม้เราจะพูดเราก็รักษาการพูดของตัวเอง..แสดงออกก็แสดงออกในทางที่ดีให้มีสติ..ให้มีปัญญา..ตอนที่เราแสดงออก..อย่าให้มันไปกระทบกับคนอื่น..แม้คนอื่นเค้าจะไปกระทบเรา..แต่ถ้าจิตของเรามีธรรมะ..เหมือนกับไม่กระทบ..มันเป็นอย่างนั้น...คนที่ปฏิบัติธรรมมันต้องคุ้มครองตัวเอง..มีเกราะป้องกันตัวเองคืออย่างนี้..คือสติปัญญาคุ้มครองตัวเองอย่างนี้ นี่แหละหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า..เราปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติหาทางที่พ้นทุกข์..ไม่ใช่หลงความสุขอย่างเดียว..ความสุขนี้ถ้ามันไม่พ้นทุกข์แล้วมันจะสุขได้อย่างไร"
หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
“ช่วยญาติที่ไปตกอยู่ในนรก”
ถาม: ถ้าเราจะช่วยญาติที่ไปตกอยู่ในนรก เราควรทำอย่างไรครับ
พระอาจารย์: อ๋อ ทำอะไรไม่ได้ อันนั้นเขาต้องติดคุกไปจนกว่ากรรมที่เขาทำหมดไป ถ้าเขามาเป็นขอทานทางดวงวิญญาณเราถึงจะช่วยเขาได้ ถ้าเขามาเข้าฝันขอข้าวขอเสื้อผ้าเรา เราก็ทำบุญส่งไปให้เขาได้
สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ #พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ต้นเหตุของความทุกข์ที่บังเกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากการตั้งทิฐิไว้บนหนทางที่ผิด ถ้าเริ่มต้นแก้ไขปัญหาด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้อง โดยยึดมั่น “ขันติธรรม” คือความอดทนอดกลั้นเป็นพื้นฐาน เป็นเครื่องยับยั้ง ไม่ให้พูด และไม่ให้ทำสิ่งใดๆ อย่างหุนหันพลันแล่น ท่านย่อมสามารถผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคไปได้เสมอ
ขันติจึงเป็นตบะ ซึ่งช่วยบรรเทากิเลสให้เบาบางลง เป็นการเปิดโอกาสให้คุณธรรมอื่นๆ เช่น ความจริงใจ ความเมตตา ความเสียสละ และความสามัคคี สามารถงอกงามขึ้น เป็นดั่งพรที่ทุกคนพึงหยิบยื่นแบ่งปันให้กัน ในที่ทุกสถาน และในกาลทุกเมื่อ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
#การเกลือกกลั้วอยู่กับการงานของโลก
การงานภายนอกหมู่นี่มันบ่แมนแนว ครูบาอาจารย์บ่เคยพาเฮ็ดพาทำบ่อแมนปฏิปทา อย่างนี้พากันผิดเบิ๊ด เดี๋ยวนี้กำลังรณรงค์พากันสร้างเจดีย์ เบิ๊ดผู้สิออกปฏิบัติวิเวกภาวนา มันบ่มีวี่แววเลยทุกมื้อนี้ มิดแอนแซน ขั่นว่าไปเที่ยววิเวกกะไปตามสำนักต่างๆ บ่ได้เข้าดงเข้าป่าอย่างก่อน ป่าถูกทำลายหมดทางใด๋กะตาม อย่างสำนักที่อยู่ตามภูตามผา กะแข่งขันกันสร้างแต่วัตถุขึ้นมา เฮ็ดให้มันเจริญขึ้น บ่แมนมันเจริญเด้นั่น มันเสื่อมเด้นี้ มันไปทำลายโกดังพระกรรมฐาน บ่อนเพิ่นเที่ยววิเวกภาวนาป่าใด๋ดงใด๋กะบ่ยังทำลายหมด
#ปัจจุบันนี้พากันเดินจงกรมภาวนาบ่บุ๊นี่
แมนฉันข้าวแล้วมีแต่นอนกะบ่จัก ผมเบิ่งอยู่นี่ มันบ่แมนท่าเตรียมพร้อมกับการต่อสู้กับกิเลส มันมีตั้งแต่ท่าแพ้ตลอด การกินอยู่หลับนอน
#บาดทีนี่พวกญาติโยมกะคือกัน
ผมฟังหลวงตาเพิ่นเทศน์มื้อคืนนี้ว่า เป็นมื้อเป็นวันมาว่าแต่ลุกขึ้นมา มันมีแต่สร้างความชั่วใส่เจ้าของ เพิ่นว่าเพิ่นเกิดสลดสังเวชเพิ่นสงสาร มันมืดมันดำหลาย กิเลสมันปิดมันบังไว้ เพิ่นว่าถ้าบ่มีศีลประจำจิตประจำใจแล้ว อาการที่ทำ ที่พูด ที่คิด มันแมนความชั่วหมด ใจนี่มีแต่สร้างความมืดมนอนธการ ความมืดความดำใส่ใจเจ้าของ
#เพราะฉะนั้นเมื่อเวลามันหนาเข้าๆ
เวลาเพิ่นแสดงธรรมมันจั่งรับบ่ได้ คือจั่งคนสึกออกไปนี่แหล่ว กิเลสมันกะปิด มันบังใจเอาไว้ มันบ่ให้เฮ็ดความเพียร บ่ให้มีศรัทธาเมื่อบ่มีศรัทธาความเพียรแล้ว มันสิไปเห็นอิหยังบาดนิ่ มันกะเสื่อมจากธรรมคำสอนทอนั้นแล้ว ให้พากันพิจารณาเบิ่ง
#คติธรรม #หลวงปู่บุญมา #คัมภีรธัมโม #วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
#แค่เพียงใจเริ่มสงบก็จะมีความพากเพียร_มีกำลังใจในการเดินจงกรมนั่งภาวนามากขึ้น
“ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ใจของเราอย่าปล่อยให้มันอยู่เฉย ๆ ถ้าปล่อยให้มันอยู่เฉพาะตัวมันก็เร่ร่อนไปเรื่อย เหมือนกับเรือที่มันอยู่ในแม่น้ำ มันก็ลอยไปตามกระแสน้ำ จะให้มันหยุดมันก็หยุดไม่ได้ก็ต้องลอยไปตามกระแสน้ำ พอลอยไปตามกระแสน้ำก็ไปกระทบฝั่งซ้ายไปกระทบฝั่งขวา กระทบไปกระทบมาเรือมันก็คว่ำไปตามกระแสน้ำ
ถ้าพวกเราปล่อยใจของเราให้เร่ร่อนลอยไปกับความนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อย มันก็ไปกระทบกับความน่ายินดีกับความน่ายินร้าย กระทบความกลุ้มอกกลุ้มใจคับแค้นใจ ผลที่สุดบางคนก็เป็นบ้าไปในอารมณ์ก็มี แล้วมันได้ประโยชน์แก่นสารสาระอะไร เมื่อเราไม่อยากให้จิตใจเร่ร่อนออกไปอย่างนั้น ไม่อยากปล่อยให้เรือมันลอยไปตามกระแสน้ำแบบนั้นแล้ว ก็ให้หาเสาอะไรก็ได้ แล้วเอาเชือกมามัดเรือกับเสาไว้ จะเป็นเสาไม้เสาปูนหรือเสาเหล็กก็ได้ ถ้ามันสะดวกต่อการมัดแล้วก็มัดมันลงไปเลย
จิตของเราก็เช่นเดียวกัน หาหลักอะไรมาให้จิตมันยึดไว้ เราจะสะดวกเอาพุทโธ หรือจะสะดวกเอาอานาปานสติการกำหนดลมหายใจเข้าออกประเภทไหนก็ได้ทั้งนั้น จะเป็นเสาไม้ เสาเหล็ก เสาปูนก็ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเสาไม้เท่านั้น ถ้าเสาไม้มันไม่มีก็ไม่ต้องวิ่งไปหาเอาแต่เสาไม้ ทั้ง ๆ ที่เสาปูนมันก็อยู่ตรงนั้นแต่เรากลับไม่สนใจ วิ่งหาแต่เสาไม้ วิ่งหาจนตายบางคนก็ยังหาเสาไม้ไม่เจอเลย อันนี้ก็เช่นเดียวกัน วิธีการใดที่ถูกจริตกับเราที่เราได้รับความสะดวกสบาย เรากลับไม่สนใจ แล้วเมื่อไหร่จิตใจจะได้หลักได้เกณฑ์
การภาวนาทำความสงบไม่ควรเจาะจงลงไปว่าครูบาอาจารย์องค์นั้นสอนแบบนั้นองค์นี้สอนแบบนี้ อาจารย์คุณสอนไม่ถูกอาจารย์เราสอนถูก ผลที่สุดก็เอาอาจารย์มาทะเลาะถกเถียงกัน แค่เพียงให้มันถูกจริตนิสัยกับเราก็พอ เหมือนกับยาที่มันอยู่ในตู้ยา ยามันก็ดีเหมือนกันหมด เราก็เลือกดูว่ายาตัวไหนที่มันถูกกับโรคของเรา ถ้าเราปวดหัวแต่กลับไปหยิบเอายาแก้ปวดท้องมาทาน แล้วก็ไปบอกว่ายาในตู้นี้มันไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ดีเอง ยาแก้ปวดหัวก็มีแต่ไปหยิบเอายาแก้ปวดท้องมากิน มันก็เลยไม่หายปวดหัว แล้วกลับไปบอกว่ายาทั้งตู้ไม่ดี เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก
การภาวนาวิธีไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ มันเป็นธรรมทั้งนั้น เมื่อเราเอามันมาทำแล้วมันถูกกับจริตนิสัยเรา มีความสะดวกถนัดมีความชัดเจนต่อการกำหนดอย่างนั้นแล้ว ก็ให้กำหนดลงไป ถ้าเห็นว่าเรากำหนด “พุทโธ” มาเป็นอารมณ์ของจิต แล้วมีความคล่องแคล่วมีความถนัดสะดวกในการกำหนดพุทโธ ก็ให้ยึดเอา “พุทโธ” เลย โดยเราไม่ต้องไปสนใจอาจารย์องค์ไหนที่จะมาว่าวิธีไหนดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ต้องไปสนใจทั้งนั้น วิธีนี้ถูกกับจริตนิสัยของเรา เราลงใจกับวิธีนี้แล้ว ก็ให้ฝากเป็นฝากตายลงไปในวิธีนี้วิธีเดียว แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาลงไปว่า เรากับ “พุทโธ” นี้ จะเป็นตัวที่พาจิตดวงนี้ไปสู่ความสงบได้ ก็ให้เราจ้องอยู่กับ “พุทโธ”
ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ฝึกใหม่ ถ้ามันมีเผลอหลุดออกไปจาก “พุทโธ” แล้ว มันก็จะแล่นไปกับความนึกคิดปรุงแต่ง เมื่อเรารู้ตัวระลึกได้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้มาเริ่มต้นกำหนด “พุทโธ” ใหม่ โดยที่ไม่ต้องไปกังวลกับความนึกคิดปรุงแต่งอารมณ์เรื่องราวต่าง ๆ ที่น่ายินดีน่ายินร้าย จะดีหรือชั่วก็ปล่อยเขาไปตามเรื่องตามราว ว่ามันเป็นธรรมชาติของเขา เมื่อเขาเกิดเองได้เขาก็ดับเองได้ โดยที่เราไม่ต้องไปเสกสรรปั้นแต่งให้เขาดับหรือให้เขาเกิด เพราะเขาเกิดเองได้เขาก็ดับเองได้ทั้งนั้นแหละ เราไม่ต้องไปตั้งความปรารถนาหรือไปบังคับบัญชาให้เขาเกิดหรือดับหรอก ให้เรากลับมาเริ่มต้นที่พุทโธใหม่ด้วยความมีสติ คือระมัดระวังรักษาจิตให้อยู่กับพุทโธ นับวันมันก็จะแนบแน่นขึ้น เราก็กำหนดพุทโธได้อย่างต่อเนื่องยาวนานมากขึ้น มีความละเอียดร่มเย็นเบิกบานผ่องใสเข้าไปหล่อเลี้ยงจิตใจ แทนที่อารมณ์เรื่องราวเครื่องก่อกวนจิตก่อกวนใจภายนอก แล้วเราจะเห็นชัดเจนว่าจิตใจเริ่มมีความเบิกบานผ่องใส เริ่มจะเห็นคุณค่าของการภาวนาแล้ว เริ่มติดครูบาอาจารย์แล้ว เริ่มเอาครูบาอาจารย์เข้ามาสู่ใจ ใจของเราเริ่มเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ใจของเราเริ่มสงบเริ่มเป็นสมณะขึ้นมาบ้างแล้ว จากนั้นเราก็จะมีความพากเพียรมีกำลังใจในการเดินจงกรมนั่งภาวนามากขึ้น”
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
"เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อย่าได้เข้าใจว่า เราจะสุขสบาย มีอายุยืนยาว แต่แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคน อาจตายได้ทุกเวลา แล้วจะมาคิดเอาเองว่า เรายังไม่ใกล้ตาย จึงเป็นการคิด ที่ประมาทอยู่
เราทุกคนยืนอยู่ ก็ยืนรอวันตาย เราทุกคนเดินอยู่ ก็เดินรอวันตาย เราทุกคนนอนอยู่ ก็นอนรอวันตาย ผลที่สุด เราทุกคน ก็ต้องตายแน่นอน
นี่แหละ เราทุกคนอย่าได้เป็นผู้ประมาท อีกต่อไป จงเตือนตนให้รีบเร่งปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา"
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
|