Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความทรงจำ

อังคาร 20 ก.ค. 2021 8:16 am

“ความตายนั้นเป็นบททดสอบที่สำคัญ
ที่สุดของชีวิต บททดสอบอื่นๆ นั้น
เราสามารถสอบได้หลายครั้ง แม้สอบตก
ก็ยังสามารถสอบใหม่ได้อีก

แต่บททดสอบที่ชื่อว่าความตายนั้น
เรามีโอกาสสอบได้ครั้งเดียว และไม่สามารถ
สอบแก้ตัวได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นบททดสอบ
ที่ยากมาก และสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เป็นบททดสอบที่เราแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่าเวลา สถานที่ หรือแม้กระทั่งร่างกาย และจิตใจ
ของตนเอง”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล








#องค์ภาวนานี้จะคุ้มครองภัยโยม_ไม่ว่าโรคระบาดก็ตาม_มันจะเป็นภูมิคุ้มกัน
.
ให้น้อม​บุญ​กุศล​ที่เกิดขึ้นจาก ทาน​ ศีล​ สมาธิ​ ภาวนา​ ที่เราได้ปฏิบัติมาอุทิศไปให้​เชื้อโรค ให้เขามารับอนุโมทนา​เอาส่วนบุญ​ส่วนกุศล​จากเรา อย่าได้เบียดเบียน ทำลายชีวิตมนุษย์​ มันจะเป็นบาปเป็นกรรมต่อกัน​ และให้พวกเราชาวพุทธ​ ไม่ตื่นตระหนก ตกใจ จนเป็นกลายเป็นมงคลตื่นข่าว​ ให้มีจิตตั้งมั่น​ ยึดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ​ เป็น​ที่พึ่ง
.
ถ้าหากเรายึด​ พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์​ ว่าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งจริง​ ท่านเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์​ คุณ​ของท่านจะคุ้มครองพวกเราทั้งหลายเอง
.
#ศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ เรื่องโรคระบาดที่มันระบาดมากมาย ขยายเป็นวงกว้างมาก จะแก้ไขได้มั้ยคะ
.
#หลวงปู่ : ก็ทำให้มันแคบลงสิ เราอย่าไปที่มันเป็นชุมชน ที่มันเป็นชุมนุม เราอยู่ในที่ของเรา อยู่ที่มันสงบ เค้าจะไม่แพร่กระจาย อะไรที่มันไม่สงบมันแพร่กระจายได้ไว เหมือนอารมณ์ของจิต ถ้าจิตโยมไม่สงบมันจะแพร่กระจายไปยังที่คนอื่น มันไปสร้างเวรสร้างพยาบาท แต่ถ้าจิตเราสงบแล้ว เยือกเย็นแล้ว อารมณ์เหล่านั้นจะแพร่กระจายได้มั้ย
.
#ศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ อย่างเรานี่ เราไม่ไปที่แออัด หรือที่ๆมีคนเยอะ แต่คนทำงาน หรือลูกต้องไปโรงเรียน ต้องไปในที่ชุมชน อย่างเช่นเดินทางรถเมล์หรือรถไฟฟ้า ต้องเจอผู้คน เราจะช่วยเค้ายังไงคะไม่ให้ติดต่อ
.
#หลวงปู่ : โยมต้องเข้าใจคำว่า"กรรม" อะไรจะเป็นกรรม..ไม่ว่าโยมจะไปอยู่กับคนที่เป็น เมื่อโยมไม่ส่งจิตออกไปภายนอก จิตโยมมีภาวนาแห่งจิต มีองค์บริกรรม จิตโยมก็ไม่ติดเชื้อ เพราะในขณะจิตที่โยมภาวนาอยู่ จะมีกระแสแห่งพระรัตนตรัยคุ้มครอง ก็คืออำนาจแห่งศีล
.
ถึงได้บอกว่าองค์ภาวนานี้จะคุ้มครองภัยโยม ไม่ว่าโรคระบาดก็ตาม มันจะเป็นภูมิคุ้มกัน โยมก็สอนให้ลูกหลานภาวนาสิ มันยากมั้ย (ศิษย์ : ไม่ยากแต่เค้าอาจจะยาก) เค้าอาจจะไม่ชอบพุทโธก็ได้ เค้าอยากภาวนาอะไรให้เค้าภาวนาไป
.
แต่คนเรามันกลัวตายเหมือนกันทั้งนั้น เอาสิ่งที่กลัวนี้แหละบอกเค้า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จงจำเอาไว้ ถ้าเรามีองค์ภาวนาแล้วจิตเราไม่ส่งออกไปภายนอก เชื้ออะไรก็ตามมันก็เข้าเราได้ยาก ถ้าเข้า มันก็ออก ทำไมมันเข้าแล้วมันถึงอยู่ไม่ได้ แล้วมันถึงออก
.
ก็จิตเรานั้นไม่ได้ไปกักอารมณ์นั้นไว้ มีจิตที่ปล่อยวางและมีองค์ภาวนาอยู่ เค้าเรียกว่าเชื้ออะไรก็ตามวิญญาณอะไรก็ตาม มันก็จะผ่านไป แต่ถ้าอย่างที่โยมกังวล เราจะทำยังไงให้ลูกหลาน หรือบุคคลอันเป็นที่รักรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ โยมต้องรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า"กรรม"มันเป็นของๆตน
.
ถ้าเค้าไม่เชื่อก็ไม่มีอะไรจะบังคับเค้าได้ นอกจากให้กรรมนั้นมันให้ผล คนที่เค้าเชื่อและศรัทธาในพระรัตนตรัยจริงๆ ถึงบอกว่าเป็นผู้มีบุญมีวาสนาบารมีนั่นเอง คนที่มีบุญวาสนาบารมีย่อมมีเทพเทวดารักษา คำว่ารักษาหมายถึงว่า แม้จะเป็นโรคเป็นภัยก็ต้องมีหมอดีรักษา แล้วยาดีอะไรก็จะเจอ แต่คนที่มีกรรมแม้มีเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถรักษาได้ เพราะเรียกว่ายาไม่ถูกกับโรค รักษาไม่ถูกหมอ
.
ดังนั้นแล้วขอให้โยมจงมีองค์ภาวนา ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องไปที่ตรงที่มีชุมชนมากก็ดี ให้เรามีสติมีองค์ภาวนาไว้ เชื้อโรคทั้งหลายมันไม่ค่อยชอบอากาศที่ถ่ายเท การที่เราภาวนาจิตอยู่ ลมหายใจเราเดินสะดวก อากาศถ่ายเทดี เชื้อโรคพวกนี้ไม่ชอบอยู่
แต่ไอ้พวกที่มีจิตอาฆาตพยาบาทจิตอิจฉาริษยา จิตที่มีโลภมีโกรธมีหลงอยู่ แต่ไม่รู้อารมณ์ของตัวเองนี้แล มันจะดึงพวกเชื้อพวกนี้เข้ามาได้ง่าย ดังนั้นแล้วให้เราฝึกจิตออกจากบ้านมาก่อน เมื่อจิตสงบภาวนาจิตแล้วให้แผ่เมตตา อานิสงส์ของการแผ่เมตตานี้จะคุ้มครองเราได้ จิตที่ไม่ปรารถนาจะมุ่งร้ายใคร เรียกว่าจิตเมตตา
.
แม้เราไม่ตายด้วยโรคนี้ เราก็ต้องตายด้วยโรคอื่น อย่าได้ไปกลัวโรคเลย เพราะตัวเราก็เต็มไปด้วยสารพัดโรค จะเพิ่มอีกซักโรคจะเป็นอะไรไป
.
#ศิษย์ : แล้วกรณีคนที่เป็นแล้ว มีวิธีการวางจิตยังไงล่ะคะ
.
#หลวงปู่ : เออ ไม่ต้องไปวางใจ ก็เตรียมตัวตาย เตรียมตัวตายวาระสุดท้ายก็ยังได้อานิสงส์ แต่คนเราที่ไม่เคยฝึกจิตเลย จะไปบอกให้เค้าเตรียมตัว มันไม่ทัน เหมือนภัยมาแล้วบอกให้ต่อแพโยมว่าทันมั้ย นี่แหละเมื่อกรรมมันให้ผลแล้วจะให้ทำยังไงได้
โยมเชื่อกรรมเถอะ ถ้าโยมเชื่อกรรมแล้ว โยมจะมีสติ คือยอมรับความเป็นจริง กรรมอันใดที่เราไม่เคยทำมา ถึงแม้เราจะเจอ เราก็จะพ้นมันได้ แต่ถ้าเราทำมา แม้โยมไม่อยากเจอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอให้โยมมีองค์ภาวนาไว้ โรคภัยที่มันมาตอนนี้มันก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างหนึ่ง มันมากับอากาศ
.
เจ้ากรรมนายเวรมันมาหลายรูปแบบ คำว่าเจ้ากรรมนายเวร ทำไมจึงเป็นเจ้ากรรมนายเวร ก็สิ่งที่เราไม่สามารถเหนือมันได้ มันจึงเรียกเป็นเจ้ากรรมนายเวรเหนือเรา ถ้าโยมอยู่เหนืออารมณ์เท่าทันอารมณ์ได้ ถ้าโยมควบคุมได้โยมจะเห็นกรรม
.
เมื่อเห็นกรรมแล้วก็ไม่อยากเป็นเวรเป็นภัยกับใคร เมื่อไม่อยากเป็นเวรเป็นภัยกับใคร เจริญเมตตาอโหสิกรรมอยู่บ่อยๆ เวรพยาบาทมันก็เบาบาง จนจิตเราไม่มีความอาฆาตพยาบาท มีแต่ความคิดดีปรารถนาดีกับคนอื่นอย่างนี้ สิ่งนี้ต่างหากที่จะปกป้องเรา
.
เมื่อเราอยู่เหนืออารมณ์ เราก็อยู่เหนือกรรม คำว่าอยู่เหนือกรรมไม่ได้บอกว่าจะพ้นกรรม โยมต้องเห็นกรรมก่อน เมื่อเห็นกรรมแล้วจึงมาแก้ไขกรรม จึงแก้ไขพฤติกรรมของตัวเรา เมื่อเราแก้ไขแล้วนั่นแลกรรมมันถึงจะเบาบาง เมื่อกรรมมันเบาบางแล้ว กรรมที่มันจะให้ผลในอดีต คำว่า"เบาบาง" มันจะผดุงกรรมไว้ได้
.
แต่คนที่มันเจอวิบากกรรมตอนนี้ เค้าเรียกว่ากรรมมันให้ผล ดังนั้นโยมต้องรักษากายสังขารไว้ให้ดี ให้รอดพ้นจากช่วงเวลานี้ไป โยมพ้นปีนี้ไปได้โยมก็หายใจคล่องขึ้นอีกหน่อย ปีนี้หายใจฝืด เพราะอากาศเป็นพิษ..
.
หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร










.

เห็นทุกข์เสียตัวเดียว
เห็นทุกข์ตัวเดียวเท่านั้นแหละพอ
เห็นทุกข์จงอย่าเมาในทุกข์
อย่าตกใจในทุกข์
เห็นว่ามันเป็นทุกข์จริง
โลกนี้มันเป็นทุกข์

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔๐๗ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๘ หน้า ๕๘ พิมพ์คำสอนของหลวงพ่อนี้โดย คณะบุญสุประวีณ์











ธรรมะของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ

ไม่รู้จักผูกใจ

คนเราเมื่อร้อนก็ต้องหาทางแก้ร้อน เมื่อหนาวก็ต้องหาทางแก้หนาว เมื่อหิวก็หาทางแก้หิว เมื่อปวดเมื่อยก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าร้อนใจจะเอาอะไรมาแก้? ร้อนใจก็ต้องรักษาศีล ทำสมาธิ ให้ดีจ จึงจะมีเครื่องแก้ แก้ภายนอกพอแก้ได้ แต่แก้ภายในต้องแก้ด้วยสติปัญญา ถ้าใจเป็นบุญกุศลแกล้วไม่ต้องไปแก้ เราต้องพยายามศึกษาและประพฤติปฏิบัติ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนอื่น พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักหาทางไปของตัวเองว่าตายแล้วเราจะไปอย่างไร เราเกิดมาแล้วก็ต้องหาทางไปให้ดีกว่าที่เรามา เพราะเราจะยืนอยู่กับการเป็นมนุษย์นี่เป็นร้อยๆ พันๆปีไม่ได้ ถ้าเราจะอยู่ยืนๆ เราก็ต้องสร้างฐานะตัวเองให้จิตมี ศีล มีสมาธิ เป็นเทวดา เทวดามีอายุเป็นโกฏิๆ ล้านๆปี เป็นมนุษย์นี่แป๊บเดียว ไม่นานเราก็ต้องจากกันไป พระพุทธเจ้าท่านให้เรามองดูชีวิตของเราที่เคลื่อนคล้อยลับไปทุกวันๆ ความดีเราทำแล้วหรือยัง? ถ้าเราทำบาปได้ เราก็ต้องทำบุญได้ เรียกว่าละบาป บำเพ๊ญบุญให้มากเท่าไร จิตเราก็ยิ่งดีมากเท่านั้น แต่ถ้าเราไปทำบาปมากเท่าไรจิตใจของเราก็ยิ่งเศร้าหมองขุ่นมัวมากเท่านั้น จะเก็บแต่อารมณ์ไม่ดีฝังไว้ กินก็ใจไม่ดี นอนก็ใจไม่ดี คิดนึกอะไรก็ไม่ดี ที่พระพุทธเจ้าสอนเรา ถ้าทำตามได้เราก็เป็นสุขสงบ พระพุทธเจ้าทรงสอนแต่ทางสงบ สอนแต่ทางเป็นสุข สอนเพื่อให้ดับทุกข์ ท่านบอกว่าใจคนเรานี้มันร้อนง่ายแต่เย็นยาก มันทุกข์ง่ายแต่มันสุขยาก มันชั่วง่ายแต่มันดียาก ถ้าเราได้มารู้ใจตัวเองแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าดีที่ใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีไปหมด เหมือนวันไหนจิตใจของเราปลอดโปร่งวันนั้นรู้สึกว่าจะมองไปทางไหนก็สบายใจ จะคุยกับใคร จะคิดอะไร จะยืนเดินนั่งนอนมันก็สบายใจ เพราะใจของเราเป็นบุญกุศล แต่วันไหนใจของเราหมกมุ่นขุ่นมัวเศร้าหมองมีแต่ความไม่สบายใจ วันนั้นจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสบายกายสบายใจเลย เป็นมนุษย์ก็เหมือนตกนรก เพราะใจมันอึดอัด หากตายไปดวงใจดวงนี้มันก็จะต้องไปอึดอัดอีก ฉะนั้นเราต้องหาทางสงบใจให้ได้ อย่าให้ใจกระด้างกระเดื่อง อย่าให้ใจออกนอกลู่นอกทางนอกศีลนอกธรรม เราต้องรู้จักผูกใจตัวเอง รู้จักเครื่องอยู่ของใจ เครื่องอยู่ของใจก็คือภาวนานี่แหละ! หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” จับความรู้สึกไว้ที่สองช่องจมูก เห็นใบหน้าตัวเอง เห็นจมูกตัวเอง เห็นลมหายใจเข้า-ออก สั้น-ยาว หยาบ-ละเอียด ร้อน-เย็น เห็นรูปร่างหน้าตาของเรา นุ่งห่มผ้าสีใดใส่เสื้อสีใด คิดนึกอะไรเราก็ “พุท” ลมเข้า “โธ” ลมออก จนกว่าใจของเราจะว่าง เรามีเงินก็ใช่ว่ามีความสุข เงินซื้อบุญกุศลทางจิตใจไม่ได้ เงินเป็นส่วนประกอบภายนอกให้สบายใจ หรือว่าให้ความสะดวกเท่านั้นเอง แต่ที่จะดับความทุกข์จริงๆนั้นต้องดับด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา คนเราวิ่งหาแต่เงิน วิ่งหาแต่วัตถุอย่างเดียว ไม่ได้วิ่งหาธรรมะ ถ้าคนเราวิ่งหาแต่ธรรมะก็จะเจอทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกันไว้ที่เดียวคือที่ใจของเรา ฉะนั้นเราต้องพยายามพิจารณากายใจของเรา ภาวนา “พุทโธ” วันละ ๕ นาที ๑๐ นาที ภาวนาบ่อยๆ ก็ทำให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญามากขึ้นๆ อันนี้แหละ! เราจะได้ไปสวรรค์บ่อยๆ ได้ใกล้พระนิพพานบ่อยๆ ท่านบอกว่าบุญนี่เหมือนน้ำหยดทีละหยด ที่เราเอาตุ่มมารองไว้ แม้ต้ำจะหยดทีละหยด แต่ถ้ามันหยดไม่หยุดเลย ในไม่ช้าก็ต้องเต็มตุ่ม การที่เรารักษา ศีลบ่อยๆ เจริญภาวนทำใจให้สงบบ่อยๆ ก็เหมือนน้ำหยดทีละหยดๆ ถึงแม้ไม่มากแต่หนักเข้าๆ ก็เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำเป็นนิจศีลทุกวันๆ นี่มันก็เต็มได้เหมือนกันฉันนั้น แต่ถ้าทำบุญไม่เป็น ทำแล้วเกิดความโกรธ เกิดความโลภ เกิดความหลง ก็เหมือนกับเอาน้ำไปหยดในตุ่มรั่วนั่นเอง กี่ร้อยกี่พันปีน้ำก็ไม่เต็มตุ่มสักที เราจะต้องทำสมาธิด้วย เพราะสมาธินี่เป็นที่เก็บบุญ ทำใจแล้วบุญจะไม่รั่ว สมาธิจะกำจัดนิวรณ์ได้ สมาธิสามารถกำจัดความรั่วไหลของอารมณ์ได้ ทำให้ไม่คิดโน่นไม่คิดนี่ ไม่ปรุงแต่งวุ่นวาย มันก็เลยกลายเป็นตุ่มดี บุญอะไรเข้ามาสักอย่างก็ขังอยู่ในใจเราหมด

จากหนังสือ ธรรมะ ของหลวง พ่อสนอง กตปุญโญ









เรื่อง เวลาไหนบาปให้ผล บุญเข้าไม่ได้

"การที่เราเกิดมาในชาตินี้ รับผล ๒ ประการของชาติก่อน คือว่าในชาติก่อนถ้าทำความดีไว้มาก ผลความดีก็สนองในชาตินี้ ชาติก่อนทำบาปไว้มาก ผลของบาปก็สนองในชาตินี้
คำว่าความดีและความชั่ว บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศลก็ตาม บุญและบาปที่เราได้รับในชาตินี้ มันเป็นเศษ
คือส่วนใหญ่ของบาป เราตายจากความเป็นคนชาติโน้น เราก็ตกนรกเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้ว มันก็ตามมาเบียดเบียนให้มีทุกข์ในชาตินี้ แต่ส่วนใดที่เป็นบุญกุศลในชาติก่อนก็ดลบันดาลให้เราเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง แล้วก็ดลบันดาลให้มาเกิดเป็นคนในชาตินี้
ก็รวมความว่า ชาติที่เป็นคนรับผลของเศษ ๒ อย่าง เป็นเศษนะไม่ใช่เนื้อแท้นะ คือ เศษของบุญและก็เศษของบาป ขณะใดที่เศษของบาปให้ผล เวลานั้นมีความเดือดร้อน ขณะใดที่เศษของบุญให้ผลขณะนั้นเรามีความสุข
ฉะนั้น คนที่เกิดมาในโลกนี้ จะมีทั้งความสุขและความทุกข์ เพราะกรรมที่เป็นบุญและบาปในชาติก่อนตามสนองในชาตินี้ มันจะแบ่งเวลากัน บุญกับบาปนี่มันจะไม่รวมกัน <<เวลาไหนบาปให้ผล เวลานั้นมีแต่ความทุกข์ ความสุขไม่มี บุญเข้าไม่ได้>> เพราะบาปกับบุญนี่มันไม่ถูกกัน มันเข้ามารวมกันไม่ได้ มันเข้ามาคนละคราว ถ้าบาปเข้าสนองจิตใจหรือร่างกายของเรา ร่างกายก็มีแต่ความทุกข์ จิตใจก็จะมีแต่ความทุกข์ คราวต่อไปถ้าบาปคลายตัว บุญเข้ามาสนองจิตใจ ร่างกายก็จะมีแต่ความสุข
ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมโดยถ้วนหน้า จงสนใจในเรื่องความดีหรือความชั่วบาปบุญนี้ให้มาก เพราะมันเป็นของมีจริง"

คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง











…คนฉลาดดูคนโง่ออก
แต่คนโง่ดูคนฉลาดไม่ออก

.เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า
คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดนั่นแหละ คือ คนโง่

.เพราะไม่มีโอกาสที่จะฉลาดได้
เมื่อคิดว่าตัวเองฉลาดแล้ว ก็ไม่ต้องเรียนรู้
ไม่ต้องศึกษาอะไรอีกแล้ว

.แต่คนที่รู้ว่าตนยังโง่อยู่
มีโอกาสที่จะฉลาดได้

…” ตราบใดที่เรายังไม่พ้นทุกข์
ก็อย่าไปคิดว่าฉลาดเป็นอันขาด “

..ถ้าฉลาดจริง ต้องไม่ทุกข์กับอะไร..
…………………………………………..
.
กำลังใจ ๓๒, กัณฑ์ที่ ๓๓๕
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี











อารมณ์พระโสดาบัน

วันนี้ ก็ขอย้อนต้นอีกนิดหนึ่ง เพื่อทวนความทรงจำ หรือว่าทวนผลแห่งการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัท

อันดับแรก พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย มีศีล 5 บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เป็นอันว่าพระโสดาบันนี้ไม่มีอะไรมาก เคยพูดไว้ในที่หลายสถานว่า พระโสดาบัน ก็คือ ชาวบ้านชั้นดี นั่นเอง แต่ที่เรียกว่า พระโสดาบัน ก็ถือว่าเป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงกระแสพระนิพพาน เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลัง เดินก้าวไปตามลำดับ จากพระโสดาบันไปสกิทาคามี ไปอนาคามี และอรหันต์ นี่พูดถึงเดินช้าๆ ถ้าคนที่เดินเร็วๆ จากพระโสดาบันแล้วก็ถึงอรหันต์เลย เรื่องจะถอยหลังลงมากลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาอีก ไม่มีสำหรับพระอริยเจ้า

พระโสดา ที่แท้จริง อารมณ์จิตที่ทรงได้ ก็คือ

มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์

2. มีศีล 5 บริสุทธิ์

3. มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์

สำหรับอารมณ์จิตของท่านที่เข้าถึง เอกพิซี มีความเข้มแข็ง แนะนำเพียงเท่านี้ก็ได้เลย เป็นของไม่ยาก เว้นไว้แต่ว่าท่านที่มีอารมณ์จิตอ่อน หรือว่าพวก ปทปรมะ พวกปทปรมะนี่พระพุทธเจ้าไม่สอน เพราะว่า ถ้าขืนสอนก็เหนื่อยเปล่า ซึ่งไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี่ อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่า ความดีขั้นพระโสดาบัน ทำได้แล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำได้ กำหนดเวลาไว้ให้สั้นที่สุด เพราะว่ามันเป็นของปกติธรรมดา ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของยาก ไม่มีอะไรเป็นของหนัก

ถ้าเราอยากทราบว่าเรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ดูกำลังใจของเราเพราะว่า พระโสดาบัน ไม่ใช่เป็นบุคคลผู้ถือมงคลตื่นข่าว เขาว่าดีไหน ก็ไปนั่น เขาเฮไหนก็ไปนั่น วิเศษที่ไหน ก็ไปนั่น ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่หวงท่านไม่ให้ไปไหน แต่ความจริง ต้องการให้ท่านมีกำลังใจแน่วแน่ แม้แต่ท่านจะอยู่บ้านของท่านเอง ไม่จำเป็น ต้องมาที่วัด คำว่า "ไป" หมายความว่า ฮือตามข่าวเขาลือกัน เขาลือว่าดีที่ไหน ก็ไปที่นั่น ไปแล้วก็ยังไม่พอใจ เขาลือต่อไปว่าที่โน่นดีกว่าก็ไปที่โน่นอีก

ก็เป็นอันว่า เป็นคนที่มีกำลังใจไม่แน่นอน อย่างนี้ยังถือว่า ไม่ได้มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ถ้าเคารพจริงก็ไม่ต้องไปไหน อยู่ที่บ้านเราก็ใช้ได้ การเคารพพระพุทธเจ้า การเคารพในพระธรรม การเคารพในพระสงฆ์ เราต้องไปศึกษาที่ไหนกัน? แล้วการที่เราจะทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์ มันยากนักรึ? ศีล 5 ที่เราจะพึงทำมันก็เป็นของที่เราจำได้จนขึ้นใจ เมื่อมีอารมณ์ขึ้นใจอย่างนี้แล้ว ก็แถมอีกนิดหนึ่งว่า มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เราปฏิบัติอย่างนี้เพื่อพระนิพพาน

(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 72 เดือนกุมภาพันธ์ 2530 หน้า 70-71)
ตอบกระทู้