Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความไม่เที่ยง

เสาร์ 31 ก.ค. 2021 7:53 am

"เรามีบุญมากแค่ไหนให้ดูตอนตกทุกข์ได้ยาก
หากมีสติสัมปชัญญะครบ ไม่โวยวายไปวู่วามไม่วุ่นวายสามารถประคองกำลังใจให้ดีได้แสดงว่ามีต้นทุนเก่าสะสมมามาก ยอดของบุญกุศลคือสติปัญญาธรรม ทุกข์ก็ไม่เกินจะทน ถึงจะจนก็ไม่นาน ปัญหาคลี่คลายกลับร้ายเป็นดี"

- พระอาจารย์คม อภิวโร







ถาม : ..(ไม่ชัด)..ทำอย่างไรถึงจะส่งบุญของเราไปให้แม่ได้มากที่สุด ?

ตอบ : มากที่สุด ถ้าหากว่าเป็นทั่วๆ ไปอย่าง อามิสบูชา ที่เป็นข้าวเป็นของ เป็นเงินเป็นทอง เป็นอะไรที่ถวายพระเป็นชิ้นเป็นอันได้ ก็ให้ทำใน สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ซึ่งถือว่าเป็นทานสูงสุดของพระพุทธศาสนา

แต่ถ้าหากเป็นการปฏิบัติบูชา ให้ตั้งใจรักษาศีล บำเพ็ญภาวนา นั่งสมาธิของเราไป แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน

#บุญกรรมฐานเป็นบุญใหญ่มาก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผีหลายต่อหลายตนด้วยกัน เมื่อเขามาขอโมทนาบุญ ให้บุญอื่นจะรับไม่ได้เลย เพราะกรรมของเขาหนักมาก #แต่ว่าถ้าให้บุญกรรมฐานเขาโมทนาได้ #เพราะบุญกรรมฐานเป็นบุญที่ใหญ่จริงๆ

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕









".. อย่าไปคิดว่าเวลาเราแก่ หรือเวลา
เจ็บไข้ได้ป่วย​ หรือใกล้ๆ จะแตกจะตาย
แล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า
คิดผิด.. เพราะเวลาอยู๋ดี.. สบายนี้แหละ..
เป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่มภาวนา ให้ได้
ให้ถึงกิเลส อะไรที่ยังไม่ออกจากจิตใจเรา
ก็จะได้ละกิเลสนั้นเสีย.. "

#หลวงปู่สิม_พุทฺธาจาโร







อะไรที่ทำให้เราต้องกระทบ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
มันล้วนแต่กฎของกรรมทั้งนั้น ไปพบชาวโลก
เขาด่า เขานินทา เขาสรรเสริญ เขาใช้เราทำโน่นทำนี่
ก็ต้องถือว่าพบพอดี เราทำเขาไว้ก่อน
ถ้าไม่ทำไม่เจอหรอก พอดีอย่างนั้น

หลวงปู่บุดดา ถาวโร









#ชีวิตคนในสมัยของท่านอาจารย์มั่นและท่านอาจารย์เสาณ์นั้น..!!

".. สบายกว่าในสมัยนี้มาก ไม่มีความวุ่นวายมากเหมือนอย่างทุกวันนี้ สมัยโน้น พระไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับพิธีรีตรองต่างๆ เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ท่านอาศัยอยู่ตามป่า ไม่ได้อยู่เป็นที่หรอก ธุดงค์ไปโน่น ธุดงค์ไปนี่เรื่อยไป ท่านใช้เวลาของท่านปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่.."

สมัยโน้น พระท่านไม่ได้มีข้าวของฟุ่มเฟือยมากมาย อย่างที่มีกันทุกวันนี้หรอก เพราะมันยังไม่มีอะไรมาก อย่างเดี๋ยวนี้ กระบอกน้ำก็ทำเอา กระโถนก็ทำเอา ทำเอาจากไม้ไผ่นั่นแหละ

ชาวบ้านก็นานๆ จึงจะมาหาสักที ความจริง
พระท่านก็ไม่ได้ต้องการอะไร ท่านสันโดษกับสิ่งที่ท่านมี ท่านอยู่ไป ปฏิบัติภาวนาไป หายใจเป็นกรรมฐานอยู่นั่นแหละ

พระท่านก็ได้รับความลำบากมากอยู่เหมือนกัน ในการที่อยู่ตามป่าตามเขาอย่างนั้น ถ้าองค์ใดเป็นไข้ป่า ไข้มาลาเรีย ไปถามหาขอยา อาจารย์ก็จะบอกว่า "ไม่ต้องฉันยาหรอก เร่งปฏิบัติภาวนาเข้าเถอะ"

ความจริงสมัยนั้น ก็ไม่มีหยูกยามากอย่าง
สมัยนี้ มีแต่สมุนไพรรากไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่า พระต้องอยู่อย่างอดอย่างทนเหลือหลาย ในสมัยนั้นเจ็บไข้เล็กๆ น้อยๆ ท่านก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวนี้สิเจ็บป่วยอะไรนิดหน่อยก็วิ่งไปโรงพยาบาลกันแล้วบางที ต้องเดินบิณฑบาตตั้ง
ห้ากิโล

พอฟ้าสางก็ต้องรีบออกจากวัดแล้ว กว่าจะกลับก็โน่นสิบโมงสิบเอ็ดโมงโน่น แล้วก็ไม่ใช่บิณฑบาตได้อะไรมากมาย บางทีก็ได้ข้าวเหนียวสักก้อน เกลือสักหน่อย พริกสักนิด เท่านั้นเอง ได้อะไรมาฉันกับข้าวหรือไม่ก็ช่าง ท่านไม่คิด เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มี
องค์ใดกล้าบ่นหิวหรือเพลีย ท่านไม่บ่น เฝ้า
แต่ระมัดระวังตน

ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าอย่างอดทน อันตรายก็
มีรอบด้าน สัตว์ดุร้ายก็มีอยู่หลายในป่านั้น
แต่ท่านก็มีความอดความทนเป็นเลิศ เพราะ
สิ่งแวดล้อมสมัยนั้นบังคับให้เป็นอย่างนั้น

มาสมัยนี้ สิ่งแวดล้อมบังคับเราไปในทาง
ตรงข้ามกับสมัยโน้น ไปไหนเราก็เดินไป
ต่อมานั่งเกวียนแล้วก็นั่งรถยนต์ แต่ความทะยานอยากมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่รถปรับอากาศ ก็จะไม่ยอมนั่ง ดูจะไป
เอาไม่ได้เทียวแหละ

ถ้ารถนั้นไม่ปรับอากาศ คุณธรรมในเรื่อง
ความอดทนมันค่อยอ่อนลงๆ การปฏิบัติ
ภาวนาก็ย่อหย่อนลงไปมาก เดี๋ยวนี้เราจึง
เห็นนักปฏิบัติภาวนาชอบทำตามความเห็น ความต้องการของตัวเอง

เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงเรื่องเก่าๆ แต่ครั้งก่อน
คนเดี๋ยวนี้ฟังเหมือนว่าเป็นนิทานนิยาย ฟังไปเฉยๆ แต่ไม่เข้าใจเลยแหละ เพราะมันเข้าไม่ถึง พระภิกษุที่บวชในสมัยก่อนนั้นจะต้องอยู่กับพระอุปัชฌาย์อย่างน้อยห้าปี นี่เป็นระเบียบที่ถือกันมา และต้องพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุย อย่าปล่อยตัวเที่ยวพูดคุยมากเกินไป อย่าอ่านหนังสือ แต่ให้อ่านใจของตัวเอง

ดูวัดหนองป่าพงเป็นตัวอย่าง ทุกวันนี้มีพวก
จบจากมหาวิทยาลัยมาบวชกันมาก ต้องคอยห้ามไม่ให้เอาเวลาไปอ่านหนังสือธรรมะ เพราะคนพวกนี้ชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ได้อ่านหนังสือมามากแล้ว

แต่โอกาสที่จะอ่านใจของตัวเองน่ะ หายากมาก ฉะนั้นระหว่างที่มาบวชสามเดือนนี้ ก็ต้องขอให้ปิดหนังสือ ปิดตำรับตำราต่างๆ ให้หมดในระหว่างที่บวชนี้น่ะ เป็นโอกาสวิเศษแล้วที่
จะได้อ่านใจของตัวเอง

การตามดูใจของตัวเองนี้ น่าสนใจมาก ใจที่
ยังไม่ได้ฝึก มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมันยัง
ไม่เคยถูกฝึก

ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง การปฏิบัติภาวนา
ในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่องใจ ฝึกจิตฝึกใจของตัว ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละ เรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมี
เท่านี้ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต คือผู้ปฏิบัติธรรม
ในทางพุทธศาสนา

ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมี
เสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย ใจที่
มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ

นี้แหละที่เราเรียกว่า "#การฝึกใจ" พื้นฐาน
ของการปฏิบัติธรรมในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรม จะต้องมีศีลเป็นพื้นฐานหรือรากฐาน ศีลนี้เป็นสิ่งอบรม กาย วาจาซึ่งบางทีก็จะเกิดการวุ่นวายขึ้นในใจเหมือนกัน เมื่อเราพยายามจะบังคับใจ ไม่ให้ทำตามความอยาก

กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย นิสัยความเคย
ชินอย่างโลกๆ ลดมันลง อย่ายอมตาม ความอยาก อย่ายอมตามความคิดของตน หยุดเป็นทาสมันเสีย พยายามต่อสู้ เอาชนะ อวิชชาให้ได้ด้วยการบังคับตัวเองเสมอ นี้เรียกว่าศีล

เมื่อพยายามบังคับจิตของตัวเองนั้น จิตมันก็จะดิ้นรนต่อสู้ มันจะรู้สึกถูกจำกัด ถูกข่มขี่ เมื่อมันไม่ได้ทำตามที่มันอยาก มันก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้เห็นทุกข์ชัดละ

#ทุกข์_เป็นข้อแรกของอริยสัจจ์ คนทั้งหลายพากันเกลียดกลัวทุกข์ อยากหนีทุกข์ ไม่อยากให้มีทุกข์เลย ความจริง ทุกข์ที่แหละจะทำให้เราฉลาดขึ้นล่ะ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาทุกข์ สุขนั่นสิมันจะปิดหูปิดตาเรา

มันจะทำให้ไม่รู้จักอด ไม่รู้จักทน ความสุขสบายทั้งหลายจะทำให้เราประมาทกิเลส
สองตัวนี้ทุกข์เห็นได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องเอาทุกข์นี่แหละมาพิจารณา แล้วพยายามทำความดับทุกข์ให้ได้ แต่ก่อนจะปฏิบัติภาวนาก็ต้องรู้จักเสียก่อน ว่าทุกข์คืออะไร

ตอนแรกเราจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ทำไป ทำ
ไปก่อน ฉะนั้นเมื่อครูอาจารย์บอกให้ทำอย่างใดก็ทำตามไปก่อน แล้วก็จะค่อยมี ความอดทน อดกลั้นขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ให้อดทนอดกลั้นไว้ก่อน เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง..

อย่างเช่น เมื่อเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดียวแต่ก็จะไม่ได้ความสงบ เพราะมันไม่เคย ทำสมาธิมาก่อน ใจก็บอกว่า "จะนั่งอย่างนี้แหละจนกว่าจะได้ความสงบ" อย่าทอดทิ้งจิตแต่พอความสงบไม่เกิดก็เป็นทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น วิ่งหนีเลย การปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็น "#การพัฒนาจิต" แต่มันเป็นการ "#ทอดทิ้งจิต" ไม่ควรปล่อยใจไปตามอารมณ์

ควรที่จะฝึกฝน อบรมตนเอง ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขี้เกียจก็ช่าง ขยันก็ช่าง
ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ ลองคิดดูซิ ทำอย่างนี้
จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้น จะไม่มีวันถึงธรรม ของพระพุทธเจ้าเมื่อเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอารมณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ

"..การตามใจตัวเองไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติธรรมตามความคิดความเห็นของเรา เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่าอันใดผิด อันใดถูก จะไม่มีวันรู้จักใจของตัวเราเอง และไม่มีวันรู้จักตัวเอง ดังนั้นถ้าปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตนเองแล้วย่อมเป็นการเสียเวลามากที่สุด แต่การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเป็นหนทางตรงที่สุด.."

#หลวงพ่อชา_สุภัทโท








การวางภาระ ไม่ได้หมายถึงการปล่อยปละละเลยสิ่งที่เป็นหน้าที่ ตรงกันข้ามกลับอยู่ที่การรักษาความรู้สึกในการทำหน้าที่ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้มีความรู้สึกหนักเกิดขึ้นในจิตใจ

พระอาจารย์ชยสาโร








…Happy birthday…

…สิ่งที่บางท่านอาจจะไม่เข้าใจ
หรือไม่รู้ความหมายของ
“ การทำบุญทำทาน “

.บางทีก็
ชอบมาทำบุญทำทานช่วงวันเกิดกัน
เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรืองขึ้น ให้ร่ำรวยขึ้น
ให้แคล้วคลาดปลอดภัย
จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

. อันนี้มันเป็นการ
“ ทำบุญตามความอยากล้วนๆเลย “.
…………………………………………
ธรรมะหน้ากุฏิ
9 มิถุนายน 2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








" พระ​พุทธเจ้า​บอก
ไม่ให้หวั่นไหว
ได้ความสรรเสริญ​ก็ดีใจ​
แต่มันไม่เที่ยง
ความนินทาติเตียน
ก็มีในโลกนี้แต่มันไม่เที่ยง

ลาภเกิดขึ้นก็มีอยู่ในโลก
แต่มันก็เสื่อมไป
ความสรรเสริญ​เกิดขึ้น
แล้วก็เสื่อมไป

ความสุข​เกิดขึ้นแล้ว
ก็เสื่อมไป
ความนินทาเกิดขึ้นแล้ว
ก็เสื่อมไป

สิ่งไหนล่ะจะเอามา
เป็นสาระ​แก่นสาร
เราจะไปยึดไปถือทำไม
ปล่อยวางให้หมด
ทำจิตให้เป็นอารมณ์​เดียว​
ให้เป็นพุทโธ​ๆ

"พุทโธ​" คือ​ ผู้รู้​
ให้ใจเราเบิกบาน
อย่าให้ใจเราเศร้าหมอง "

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​ขาว​ อ​นา​ลโย







" น้ำมนต์​จะช่วยอะไร
ใครได้ ถ้าได้ดั่งใจก็หัวเราะ​
ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้
มันเป็นแต่อย่างนั้นกันทุกคน

ดังนั้นคนส่วนมากในโลก
จึงมีแต่คนโง่ ผู้มีปัญญา​
เขามักจะมาหาทางพ้นทุกข์
แสวงหาทางปฏิบัติ​
เพื่อให้เกิดปัญญา​จริงๆ

รู้ธรรม​ะ​ มีธรรมะอยู่​ในใจ​
เขาก็เป็นคนสงบ สอนตัวเอง
ได้ทุกเวลา​ มันก็สบายเท่านั้น
ไม่ต้องหัวเราะ​ไม่ต้องร้องไห้ "

โอวาทธรรม
หลวง​พ่อชา​ สุภั​ท​โท








"บางคนก็มาวัดทุกวัน วันพระก็มาฟัง หลับตาภาวนา
พอกลับไปบ้านก็ละเลย ทะเลาะกับลูกกับผัวกับใครต่อใคร
เขาเข้าใจว่าเวลานั้น เขาออกจากการภาวนาแล้ว"

หลวงปู่ชา สุภัทโท








พญานาคเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่หมดกิเลส เทวดาอินทร์พรหมก็ยังไม่หมดกิเลส จะไปกราบทำไม กราบพระพุทธเจ้านั่นแหละดีแล้ว บูชาพระพุทธเจ้านั่นแหละดีแล้ว

อันนี้แหละ บุญตรงนี้แหละ รักษาคุ้มครองพวกเรา

พระพุทธเจ้าบอกภัยพิบัติน่ะมี ภัยพิบัติต่างๆน่ะมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่ะมี แต่ยังช่วยตัวเองไม่ได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ภัยพิบัติน่ะมี แต่ถ้าเคารพพระตถาคต บูชาพระพุทธเจ้าแล้ว ภัยพิบัติต่างๆไม่สามารถกล้ำกรายเราได้ เค้าเรียกพร 10 ประการ ภัยพิบัติน่ะมี แต่ไม่สามารถทำลายเราได้เห็นไหม

คัดลอกบางตอนจากพระธรรมเทศนา/@หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร







ถ้าผู้ใด. เห็นทุกข์หลายๆ. ผู้นั้นจะพ้นทุกข์.

หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
ตอบกระทู้