Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

การให้ทาน การเสียสละ

ศุกร์ 06 ส.ค. 2021 6:25 am

ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละจะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรมรูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจ ที่ฝึกปฏิบัติจนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน

แต่ถ้าพวกเราไม่สนใจในการฝึกจิตรักษาใจสร้างคุณงามความดีแล้วละก็ คนประเภทนี้ก็อาจเรียกได้ว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อก้อนขี้หมา”เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่รู้จักคุณค่าของคนแล้วยังไม่พอ ยังกลับไม่รู้จักค่าของคุณงามความดีด้วย คือการปฏิเสธความดี แต่จิตนี้มั่งมีไปด้วยความชั่วเสีย เกิดเป็นคนแต่ใจไพล่ไปในทางเปรตผี รูปร่างแบ่งแยกมนุษย์ให้รู้ว่าสวยขี้เหร่อย่างใด
ใจก็แบ่งแยกมนุษย์เรื่องดี-ชั่ว สะอาด-สกปรก ได้อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี








…การทำบุญทำทานนี้
“ ได้ความสุขแบบ..อิ่มใจสุขใจ “

.การซื้อของตามความอยาก
ได้ความสุขแบบหิว
ได้แล้วไม่พอ อยากจะได้เพิ่มอีก .
…………………………………………
ธรรมะบนเขา 5/1/2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







.. ครั้นล่วงถึงปัจฉิมวัยที่สุด ทรวดทรงสัณฐานอันใดที่สดใสผุดผ่องงดงาม ทรวดทรงสัณฐานนั้นก็อันตรธานสูญหาย ร่างกายก็กลับวิการไปสิ้น ฟันหลุด ผมหงอก หนังเป็นเกลียว เส้นเอ็นรึงรัดประหนึ่งเถาวัลย์พันต้นไม้

ตามืด หูตึง ใจฟั่นเฟือน หลงใหล กำลังที่บริบูรณ์ก็เสื่อมถอยน้อยลง ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร เมื่อเทียบเคียงรูปกายและสมบัติวิบัติของรูปกาย ซึ่งเป็นไปในวัยนั้นๆ เข้าแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าที่เป็นอย่างนี้ เพราะความแก่ชักให้แปรมา

เปรียบเหมือนดอกไม้ เมื่อแรกก็ยังเล็กและอ่อนอยู่ ครั้นกาลล่วงไปๆ ก็แก่ขึ้น จนถึงแย้มและบาน กำลังเป็นที่ปรารถนาชอบใจของบุคคล ครั้นแล้วก็ร่วงโรยเหี่ยวแห้งไป ข้อนี้ฉันใด

รูปกายนี้ จำเดิมแต่ต้นก็ยังอ่อน ความแก่ชักแปรมาจนถึงประถมวัยเป็นหนุ่มสาว บริบูรณ์ด้วยทรวดทรงสัณฐาน เปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังแย้มบาน ครั้นแล้วก็ทรุดโทรมเสียทรวดทรง สัณฐานคร่ำคร่าไป เปรียบเหมือนดอกไม้ที่ร่วงโรยเหี่ยวแห้ง

ความแก่นี้ไม่เป็นที่ปรารถนาชอบใจของใครเลย อยากแต่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ทุกเมื่อ ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้สมความปรารถนา เมื่อเกิดญาณความรู้อย่างนี้แล้ว พึงพิจารณาว่า เราเป็นผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ พึงก่อให้เกิดความสังเวชในสังขารที่ต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ..

ความตอนหนึ่งจาก
พระมหาสมณานุศาสน์ อภิณหปัจจเวกขณกถา

พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส









"สิ่งไหนก็ตาม ถ้ามีอยู่ในจิตใจ
ก็อโหสิให้ซึ่งกันและกัน อย่าถือโทษโกรธเคืองให้กับใครทั้งหมด

ถ้าถือโทษโกรธเคือง เราก็เดินทางไม่ถึงไหน เพราะจิตใจของเรา ไปเกาะเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นอยู่

ถ้าเราไม่เกาะเกี่ยว เราก็เดินไปข้างหน้า เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือ เพื่อมรรคผลนิพพาน

#ขอให้ข้าพเจ้า #อย่ามาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

ตามแนวแถวของพระพุทธเจ้า ที่ท่านอบรมแนะนำสั่งสอน"

#หลวงพ่ออินทร์ถวาย #สันตุสสโก







วิธีฝึก 8 อย่าง จะได้ไม่ “ทุกข์”

1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป

2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย

3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง

4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว

5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย

6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่อง ของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา

7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจาก ความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน

8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช











"โลกเราอยู่ด้วยกันได้ ด้วยอำนาจแห่งการเสียสละ
คือการให้ทานต่อกัน ความช่วยเหลือกัน มีแต่การเสียสละทั้งนั้น โลกถ้าไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีการให้ทาน
เฉลี่ยเผื่อแผ่กันแล้ว ไม่มีความหมาย โลกมีความหมาย
มากน้อยอยู่ที่การเฉลี่ยเผื่อแผ่มีน้ำใจต่อกัน ความมีน้ำใจ
ต่อกันนี้สำคัญมาก ผู้มีน้ำใจต่อกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่กัน
ความเสียสละก็ย่อมมีได้"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน








“ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด
ถ้าคิดไม่ได้ ให้ช่วยทำ
ถ้าทำไม่ได้ ให้ความร่วมมือ
ถ้าร่วมมือไม่ได้ ให้กำลังใจ
แม้ให้กำลังใจก็ไม่ได้ ให้สงบนิ่ง”

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณฯ
ตอบกระทู้