Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ทำใจให้สบาย

ศุกร์ 13 ส.ค. 2021 6:25 am

"ผู้ถาม: ที่หลวงตาได้กล่าวว่า บุคคลที่เอารัดเอาเปรียบพ่อแม่มากที่สุดคือลูกนี่ หมายความว่าอย่างไรขอรับ

หลวงตา: นี่เราพูดตามหลักความจริง แต่ลูกก็ไม่มีเจตนา การพูดนี้เพื่อให้ลูกได้เห็นโทษของตนบ้าง อย่ามีตั้งแต่เอาท่าเดียว อยากได้เท่าไรก็จะเอาท่าเดียว แม้ไม่มีเจตนาก็ตาม หลักธรรมชาติก็เป็นเจตนาที่เอารัดเอาเปรียบพ่อแม่อยู่โดยตัวของมันเอง ถึงจะถือสิทธิ์ว่าเอากับพ่อกับแม่ด้วยความรัก ถือสิทธิ์ว่านี้เป็นพ่อเป็นแม่ของเรา เราอยากได้อะไรเราก็เอา ๆ อย่างนี้ก็ตาม แต่เรื่องของธรรมนั้นไม่ได้เข้ากับพ่อกับแม่กับลูก คืออยู่กลาง ๆ เมื่อลูกทำอย่างนี้มันมีลักษณะเอารัดเอาเปรียบอยู่ในตัวของมันเอง

แต่ลูกไม่มีเจตนานะ พ่อแม่ก็ไม่มีเจตนาว่าลูกเอารัดเอาเปรียบ แต่หลักธรรมมีอยู่ในนั้น ก็ต้องบอกตามหลักธรรมว่ามีอยู่ในนั้น แต่จำเป็นก็ต้องเอารัดเอาเปรียบกันธรรมดา เมื่อพึ่งตัวเองไม่ได้แล้วก็ต้องพึ่งพ่อแม่ พี่เลี้ยงทั้งหลายก็ต้องพึ่ง ความเอารัดเอาเปรียบอันนี้ก็ต้องจำยอมรับกัน ทางเดินอื่นไปไม่ได้ ต้องยอมรับกันที่ว่าต้องพึ่งผู้อื่นไปก่อน ความเอารัดเอาเปรียบในขั้นนี้ยังแก้ไม่ได้ เมื่อรู้ตัวแล้วก็ให้แก้ตัวเองต่อไปอย่าให้เป็นเหมือนเด็ก ๆ เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วเอารัดเอาเปรียบพ่อแม่ตลอดไปอย่างนี้ไม่ดี ความหมายว่าอย่างนั้น"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๑








"ชีวิตของเราไม่เป็นของยั่งยืน เป็นของที่ต้องตายลง
โดยแน่นอน เวลานี้ เราอาจได้ยินข่าวการมรณกรรม
ของผู้อื่น พระอื่น แต่อีกไม่นาน ข่าวนั้นจะต้องเป็น
ของเราบ้าง เพราะชีวิตทุกชีวิต จะต้องเป็นไปใน
ลักษณะนี้ทั้งนั้น ฉะนั้น อย่าประมาทเรื่องความตาย
ให้เร่งภาวนา ทำจิตใจให้หมดกิเลส หมดทุกข์ หมดร้อน
ให้ได้ก่อนความตายมาถึง"

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร




.



“แม่นั่นแหละ คือผู้สร้างโลก
เขาจะพูดว่าพระเจ้าคือผู้สร้างโลก
ก็ตามใจเขา

เดี๋ยวนี้เรามามองดูว่า
ผู้ที่เป็นแม่นั่นแหละ เป็นผู้ที่สร้างโลก
คือแม่สร้างลูก สร้างเด็กขึ้นมา
ในลักษณะอย่างไร คนเหล่านี้
ก็ประกอบกันขึ้นเป็นโลก

โลกนี้ทั้งหมด จะชั่วจะดีอย่างไร
มันก็แล้วแต่ว่า คนทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้น
เป็นโลกนั่นแหละ มันดีมันชั่วอย่างไร
แล้วคนเหล่านี้ จะดีจะชั่วอย่างไร
ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ที่แม่ที่ปั้นดวงวิญญาณ
ของเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก”

ท่านพุทธทาสภิกขุ









.

#วิจารย์พระที่ไม่ดี

ผู้ถาม : การวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่เพื่อนถึงพระที่ไม่ได้อยู่ในพระวินัยจะถือว่าเป็นบาปไหมครับ...?

หลวงพ่อ : ถ้าวิพากษ์วิจารณ์เฉย ๆ
ไม่แกล้งว่านี่ไม่บาปเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเขาไม่ดี เราก็ว่าไม่ดี ถ้าดีเราชม
ถ้าไม่ดีเราก็ว่า ไม่ควรทำแบบนี้
บาปนี่เขาแปลว่าชั่ว
วิพากษ์วิจารณ์หรือพูดถึงไม่บาป
ถ้านินทานี่แกล้งว่า เขาดีแกล้งว่าเขาไม่ดี
เรื่ิองที่ไม่เป็นความจริงหาว่าเป็นความจริง อันนี้บาป

ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ บางทีลูกน้อยใจหลวงพ่อ จะตกนรกไหมเจ้าคะ...?

หลวงพ่อ : น้อยใจไม่เป็นไร
อย่าต่อว่าก็แล้วกัน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดท่าซุง
จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม" ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๗๒
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์










.

#หนีนรกแบบง่ายๆ

"ใช้วิธีบูชาพระเป็นประจำ"
การบูชาพระ การสวดมนต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดมนต์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสวดมาก
ถ้าว่าอะไรไม่ได้มากก็ว่า อิติปิ โสฯ
บทเดียวก็พอ
ว่า นะโม ตัสสะ แล้วว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เสร็จ อิติปิ โสฯ บทเดียวก็พอ
หลังจากนั้นถ้ามีเวลาติดต่อกันเลยนั่งภาวนาพุทโธสัก ๒ - ๓ นาที เท่านี้พอแล้ว

ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันตามเวลากำหนดไว้
ว่าเวลาไหนเป็นเวลาที่เราว่าง
เราควรจะมีการบูชาพระ ให้ทำประจำเวลา แล้วก็ทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ
จนกว่าต่อไปในวันหน้าถ้าถึงเวลานั้นแล้ว
ไม่ได้บูชาพระใจไม่สบาย อย่างนี้

"ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ"

คือพอถึงปั๊บต้องบูชาพระถ้าไม่ได้บูชาพระรำคาญใจ ต้องทำ ถ้าอย่างนี้ตายแล้วลงนรกไม่ได้ต้องไปสวรรค์ก่อน
อีกประการหนึ่ง ถ้าจะยิ่งไปกว่านั้น
ก็จัดการ "ถวายอาหารแก่พระพุทธรูปทุกวัน" การถวายอาหารนี่ความจริงไม่ใช่ทาน เป็นการบูชา จะเป็นอาหารหวานอาหารคาวก็ได้ เป็นผลไม้ก็ได้ เป็นประจำวัน
ถ้าถึงเวลาแล้วต้องถวายท่าน
ถ้าไม่ถวายไม่สบายใจ
อย่างนี้ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติ
เป็นฌานในจาคานุสสติด้วย
ถ้าอย่างนี้ทุกคนเวลาตายลงนรกไม่ได้
#นี่เอาหนีนรกแบบเบาๆ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธรรมปฏิบัติ ๔๕" หน้า ๗๘ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์









ขึ้นต้นให้ดีๆ หลับตา นั่งตัวตรงๆหลังตรงๆให้มีสติอยู่ก้บตัว ดูลมหายใจเข้า-ออก
ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไรเหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน ดูไป เห็นไป รู้ไป ว่าลมหายใจเดินไปทางไหนก็เห็นรู้ๆไม่ต้องไปคิด
ดูลมเห็นลม เห็นก็ไว ได้ยินก็ไว เกิดเดี๋ยวนั้น รู้เดี๋ยวนั้น นั่นเรียกว่าวิญญาณ คือธรรมชาติรู้

เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา รู้ธรรมดา เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ
พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา
ก็เหมือนฝ่ายวัตถุมีไฟฟ้าบวกไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง ร่างกาย วัตถุ คิด นึกรู้
มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที เรียกว่าขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตรธรรม เห็นก็สักแต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึดจึงจะไปรอด ด้วยสติ
ตัวสติแท้ๆเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบ แปล็บเดียวมันก็เห็นหมด
แลบหนเดียวไม่แลบมาก เจริญสติ หนทางเดียวไปรอด เห็นได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถามไปตอบอะไร
ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา พระเจ้าไม่มีเป็นfactไม่ใช่fiction เสียงถูกหูได้ยินปั๊บนี่เป็น fact
มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ก็เป็นfact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรใดาไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน
ไม่ต้องไปหยุดวิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ ไม่มีเรื่องมันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว
เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้วจะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร ไม่ต้องไปคิดแล้ว
สำเร็จแล้วนี่จะไปสงสัยอะไร ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร

จุดหมายปลายทางคือทำความโง่(อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว
การภาวนาเป็นกุศลสูงสุดเป็นกุศลชั้นเยี่ยม ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิ เป็นบุญชั้นเยี่ยมยิ่งกว่าทานและยิ่งกว่าศีล
พระพุทธเจ้าทรงเรียกอริยทรัพย์ แจกเท่าไหร่ไม่หมด นึกแผ่ไป send good will to all
ตั้งแต่ยอดพรหมโลก กว้างขวางแค่ไหนไปจนถึงก้นนรก

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต










.

#ทำใจให้สบาย

ถ้าท่านพุทธบริษัททุกท่านมีทั้งทาน มีทั้งศีล จะมีความสุขมาก

ถ้าปฏิบัติตามคติขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกสักนิดคือ

"ทำใจให้สบาย"
ที่เรียกว่าทำจิตให้เป็นสมาธิ ก็คือเอาจิตตั้งไว้ในอารมณ์ที่เป็นกุศล
ไม่คิดทำลายตนและไม่คิดทำลายบุคคลอื่น

สร้างความแช่มชื่นให้ปรากฎ
โดยยึดถือคุณของพระพุทธเจ้า
คุณของพระธรรม
คุณของพระสงฆ์เป็นประจำใจ

"นึกถึงทานการบริจาคเข้าไว้"
ว่าเราตั้งใจจะสงเคราะห์บุคคลอื่น
ให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะทำได้

"นึกถึงศีลที่เคยรักษาเข้าไว้"

"นึกถึงความดีของเทวดา"
ว่าท่านจะเป็นเทวดาได้ก็อาศัยความอายบาป
อายความชั่วหรือเกรงกลัวความชั่ว

ถ้าทำได้อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท
หากว่าท่านทั้งหลายยังไม่ตายจากชาตินี้
ก็จะมีแต่ความสุขใจ
จะไปสถานที่ใดก็จะพบแต่คนที่เป็นมิตร จิตใจก็จะมีความสุข

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๔๓๗ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐ หน้า ๒๘ - ๒๙
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์










"พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้แจ้งว่า

โลกนี้จะพ้นโง่มันก็ยาก

การที่จะได้เกิดเป็นคนนี่ยากที่สุด

แล้วเป็นคนจะเอาคนชนิดไหน

คนมีบุญ คนลำบาก คนพิการง่อยเปลี้ย จะหาคนสบายมีกี่คน

ถ้าเทียบจำนวนทั้งหมด

อย่างเดียรัจฉานนี่มันกินกันเอง กัดกันเอง

คนบ้าฆ่ากันเอง กระดูกของแต่ละคนนี้ท่านว่ากองเท่าภูเขา

น้ำตาและเลือดของแต่ละชีวิตที่ผ่านมามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร

ดูซิมันยาวนานแค่ไหน

การจะเกิดเป็นคนนั้นมันยากมาก ยากอย่างที่ท่านเปรียบว่า ..

เต่าตาบอด..มันจะว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ทะเลมีตาข่ายกั้นอยู่

และมีรูเท่าตัวเต่าอยู่รูเดียว

ถ้าหัวไปโดนตาข่ายมันจะจมลงไปอีก100 ปี

จึงจะได้โผล่มาใหม่ คือจะจะลอดได้มันต้องฟลุ๊คที่สุด

แต่อย่างนั้น..โอกาสก็ยังง่ายกว่าโอกาสจะได้เกิดมาเป็นคน

และเป็นคนอยู่ในพระพุทธศาสนา

มันยากไม่พ้นวัฏสงสารไปได้"

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต







.

#ตายแล้วไม่สูญ

คนเราตายแล้ว ถ้ามีสภาพสูญ
ก็ไม่มีศัพท์ว่าตกนรก หรือเป็นเปรต
เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
และก็ไม่มีคำพูดว่า ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน
แต่นี่อาศัยว่าการตาย ร่างกายมันตาย

อทิสสมานกายไม่ตาย
ถ้ากำลังใจของเราเลวก่อนตาย
จิตน้อมไปในด้านของอกุศล
อกุศลจะนำไปในแดนอบายภูมิทั้ง ๔
มีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ถ้าจิตของเราก่อนตาย
น้อมไปในด้านของกุศล
กุศลก็จะพาไปในแดนของความสุข
มีสวรรค์ มีพรหมโลก

ถ้าหากไม่ติดในร่างกาย #ก็พาไปนิพพาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๔๓๗ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐ หน้า ๒๖
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์
ตอบกระทู้