นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 6:49 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สงบดี
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ก.ย. 2021 11:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
แผ่เมตตาให้กับบิดามารดาเป็นของสำคัญ เพราะขันธ์ ๕ เอามาจากพ่อแม่ ที่เอามาทำบุญสุนทาน ทำคุณงามความดีนี่ ถ้าไม่มีขันธ์นี้จะเอาอะไรมาทำเล่า ถึงจะไปสวรรค์ไปพรหม มันก็ต้องอาศัยขันธ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาภาวนา จะพ้นความมืดไปได้ ก็เพราะเอามาจากพ่อแม่นี่ละ

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปันฑิโต







"หลวงพ่อฉันข้าวมื้อเดียว
หลวงพ่อไม่ใช้เงิน
หลวงพ่อไม่อ่านหนังสือพิมพ์
หลวงพ่อไม่ดูทีวี
หลวงพ่อไม่เล่นอินเตอร์เน็ต

หลวงพ่อ...มีใจที่สบาย"

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา








#บุญไม่ต้องปรารถนา
เรื่องทำคุณงามความดีไม่ต้องสงสัย สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิภาวนา ทำไปเถอะ
บุญก็มีเวลา บาปก็มีเวลา
ถ้าเมื่อบุญมันให้ผลก็จะมีความสุขความสบาย ไม่ต้องปรารถนามันก็ได้ บาปก็เหมือนกัน ทำไปเถอะเมื่อถึงเวลามันให้ผล แผ่นดินนี้ไม่มีที่จะอยู่ เห็นมั้ยหละ
ให้พากันตั้งใจนะ ทำเอาอย่ามัวแต่อ้างนู้นอ้างนี่ อ้างไม่มีเวลา ให้รีบทำเข้าใจมั้ย

คติธรรม คำสอน ณ วัดป่าภูคั่ง
#พระราชวัชรญาณเวที
หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล







#อย่าลืมเณรน้อย

".. ผู้ใฝ่ธรรมจำนวนไม่น้อยเมื่อได้เยือน
จังหวัดนครราชสีมามักหาโอกาสหยุดแวะที่
วัดป่าสาลวัน เพราะหลวงพ่อพุธ ฐานิโย หรือพระราชสังวรญาณ เคยเป็นประธานสงฆ์ที่วัดนี้นานร่วม ๒๐ ปี แม้ท่านละสังขารเกือบ ๒๐ ปีแล้ว แต่คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่านก็ยังส่องสว่างนำทางแก่ผู้ประพฤติชอบจวบจนทุกวันนี้

หลวงพ่อพุธเป็นศิษย์คนสำคัญของ
#หลวงปู่เสาร์_กนฺตสีโล ผู้เป็นสหายธรรมของ​#หลวงปู่มั่น_ภูริทตฺโต ท่านมีชีวิตวัยเยาว์ที่ลำบากเนื่องจากกำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่อายุ
๔ ขวบ สมัยเด็กนอกจากทำนาแล้ว ยังต้องหาเงินเรียนหนังสือ เสื้อผ้าก็ต้องเย็บเอาเอง ไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าที่ซื้อจากตลาด ความยากลำบากตั้งแต่เล็กทำให้ท่านคิดอยู่เสมอว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ จึงอยากหาทางพ้นทุกข์ ดังนั้นเมื่อได้บวชเณรขณะอายุ ๑๕ จึงตั้งปณิธานว่า “#เราจะบวชตลอดชีวิต...#ชั่วชีวิตนี้เราจะไม่กลับมาใส่กางเกงอีก”

หลวงพ่อพุธมีความสนใจธรรมะตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ได้เรียนมาก ครูบาอาจารย์ด้านธรรมะก็ไม่มี แต่สติและสมาธิมีมาตั้งแต่เล็ก คราวหนึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ ลอมฟางกลางทุ่งนาพอล้มตัวลงนอน งูเห่าตัวใหญ่ก็เลื้อยมาข้าง ๆ แล้วเลื้อยขึ้นมาตรงกลางตัว ตอนนั้นทั้งกลัวทั้งสั่น แต่สติดี ไม่ขยับเขยื้อนสักพักมันก็เลื้อยข้ามตัวไป ท่านว่าหากไม่มีสติ เผลอขยับตัวงูคงตกใจและฉกกัดเอาได้

เมื่อบวชเณรแล้วก็ตั้งใจศึกษาปฏิบัติ สามารถท่องปาฏิโมกข์และขึ้นเทศน์ได้ อย่างไรก็ตามบางครั้งก็มีอุปสรรคมาทดสอบ มีช่วงหนึ่งท่านชอบสาวคนหนึ่ง ชื่อ “ประยูร” เวลาภาวนาหลวงตาสอนให้นั่งบริกรรมด้วยการท่องพุทโธ แต่ท่านภาวนาพุทโธได้ไม่นาน ก็ทิ้งพุทโธ ไพล่ไปนึกถึงประยูรแทนท่านว่า “#ตอนนั้นจะตายเพราะยายประยูรนี้ละ”

แต่ท่านไม่ยอมแพ้ เอาชื่อของหญิงสาวมาใช้เสียเลย คือบริกรรมว่า “ประยูร” แทน พอจิตตั้งมั่น คำว่าประยูรก็หายไปเมื่อจิตสงบ ก็เกิดนิมิตเป็นภาพสาวประยูรขึ้นมา ท่านก็พิจารณาว่า ผมสวย สักพักผมก็ร่วงหลุดลงมา พอพิจารณาว่าตาสวย ตาก็หลุดออกมา พอนึกว่าคนสวยนี้แม้แต่กระดูกก็ยังสวย กระดูกก็ร่วงหล่นจมหายไปกับแผ่นดิน พอออกจากสมาธิ ร่างกายของเธอก็หายไป ผลก็คือความระลึกนึกถึงหญิงสาวจางคลายลงและไม่รบกวนจิตของท่านอีกต่อไป

ประสบการณ์อีกตอนหนึ่งที่น่าสนใจสมัยเป็นเณรก็คือวันหนึ่งท่านฉันเสร็จ กำลังล้างบาตร เหลือบเห็นหมาขี้เรื้อนหิวโซเดินโซซัดโซเซใกล้หมดแรงเต็มที ท่านเกิดความเมตตาสงสารจับใจ อยากให้อาหาร แต่ในบาตรไม่มีข้าวเหลือเลยสักเม็ด มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นอาหารที่จะประทังความหิวของหมาน้อยได้ ท่านจึงตัดสินใจเอามือล้วงคอเพื่อให้อาเจียนออกมา อาหารใหม่ที่เพิ่งฉันพุ่งออกมาจนหมด หมาตัวนั้นเห็นเข้าก็คลานมาฟุบตรงเศษอาหารกองนั้น เมื่อได้กินอาหาร มันก็เริ่มมีเรี่ยวแรง และวิ่งตามท่าน

ท่านเล่าว่านับแต่นั้นเรื่องอาหารการกิน ท่าน
ไม่เคยขาดแคลนเลย มีมากมายจนฉันไม่หมด ประสบการณ์สมัยเป็นเณร ทำให้หลวงพ่อพุธเข้าใจหัวอกของเณร ท่านจึงแนะนำญาติโยมเสมอว่า อย่าละเลยเณรน้อย

“ทำบุญกับเณรน้อยน่าจะได้บุญมาก เพราะเณรไม่ค่อยมีใครสนใจจะมาทำบุญให้ ได้อะไรมานิดหน่อยก็ดีใจมาก ถ้าเราจะเลือกทำบุญเฉพาะกับพระอริยะ ก็ต้องนึกเสมอว่ากว่าท่านจะได้เป็นพระอริยะ ท่านต้องผ่านชีวิตเณรน้อยมาก่อน”

ท่านเล่าว่า...
#เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส พาเด็ก ๆ มาบวชเณรนับร้อยจะได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ แต่มีญาติโยมบางคนไม่เห็นด้วย ทักท่านว่าลูกศิษย์เจ้าคุณมีแต่หัวขี้กลาก กินข้าวเย็น ท่านจึงย้อนว่า “#อย่าไปว่ามัน #อีกหน่อยพวกหัวขี้กลากนี้แหละมันจะค้ำจุนพระศาสนา” กาลเวลาได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านกล่าวนั้นถูกต้อง.. "

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล







#สมาธิแบบหมูขึ้นเขียง

".. ในยุคนี้ไม่มีศิษย์หลวงปู่มั่นท่านใดที่ผู้คนรู้จักและเคารพนับถืออย่างกว้างขวางเท่า.. #หลวงตามหาบัว_ญาณสมฺปนฺโน หรือ
#พระธรรมวิสุทธิมงคล ขณะเดียวกันท่านก็เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้สาธุชนทั้งประเทศรู้จักหลวงปู่มั่นและเลื่อมใสปฏิปทาของท่าน.."

".. หลวงตามหาบัว ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวง
ปู่มั่นตั้งแต่ยังเด็ก เพราะหลวงปู่เคยมาจำพรรษาที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ไม่ไกลจากบ้านเกิดของท่าน ต่อมาเมื่อท่านอุปสมบทเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ตามประเพณี ได้ศึกษาพุทธประวัติและประวัติพระอรหันต์แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ปรารถนาความพ้นทุกข์ แต่ท่านเห็นว่าควรศึกษาปริยัติธรรมก่อนจะได้เข้าใจวิธีการปฏิบัติ

เจ็ดพรรษาแรกของท่านจึงเป็นช่วงแห่งการเล่าเรียนปริยัติธรรม เมื่อสำเร็จเปรียญธรรม
๓ ประโยค ท่านก็มุ่งหน้าสู่การปฏิบัติอย่างเต็มที่ โดยบุคคลแรกและบุคคลเดียวที่ท่านปรารถนาให้เป็นครูบาอาจารย์ก็คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

ท่านได้จาริกข้ามจังหวัดจนได้พบ หลวงปู่มั่น
ที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงปัจฉิมวัยแล้ว เมื่อได้ศึกษากับท่าน ก็รู้สึกประทับใจ และมั่นใจว่า “#นี่แหละอาจารย์ของเรา” ท่านจึงตั้งสัจจะอธิษฐานว่าจะไม่หนีจากหลวงปู่มั่นจนกระทั่งวันที่ท่านล่วงลับ

หลวงปู่มั่นแนะนำพระหนุ่มว่า ให้ยกปริยัติไว้ก่อนแล้วการปฏิบัติจะประสานกลมกลืน นับแต่นั้นท่านก็ทำความเพียรอย่างจริงจัง หักโหมทั้งร่างกายและจิตใจ นั่งสมาธิจนถึงรุ่งเช้าติดต่อกันหลายวันอยู่เนือง ๆ เป็นเช่นนี้ตลอดสองพรรษาแรกที่ได้อยู่กับหลวงปู่มั่น เมื่อถึงพรรษาที่สิบแห่งการบวช จิตของท่านก็เป็นสมาธิอย่างมั่นคง

ท่านได้พูดถึงภาวะตอนนั้นว่า “สมาธิมีความแน่นหนามั่นคงถึงขนาดที่ว่าจะให้แน่วอยู่ในสมาธินั้นสักกี่ชั่วโมงก็อยู่ได้ และเป็นความสุขอย่างยิ่งจากการที่จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน รำคาญ ไม่อยากจะออกยุ่งกับอะไรเลย ตาก็ไม่อยากดู หูก็ไม่อยากฟัง เพราะมันเป็นการยุ่งรบกวนจิตใจให้กระเพื่อมเปล่า ๆ”

ท่านเล่าว่า “เราติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี จิตสงบแน่วแน่ไม่หวั่นไหวดั่งภูผาหิน อยู่ที่ไหนสงบสบายหมด” ความสุขที่เกิดขึ้นจากสมาธิทำให้ท่านเข้าใจว่า “#นี่ละจะเป็นนิพพาน” ท่านจึงหยุดนิ่งไม่ก้าวสู่การเจริญปัญญา เพื่อถอดถอนกิเลสให้สิ้นซาก ไม่ว่าจาริกไปไหน จิตของท่านก็แน่วแน่อยู่ในสมาธิ

อาการดังกล่าวอยู่ในความรับรู้ของหลวงปู่มั่นโดยตลอด วันหนึ่งท่านจึงเรียกพระมหาบัวมาแล้วถามว่า..

“เป็นยังไงท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ?”

“สงบดีอยู่ สงบดีอยู่ครับ”

หลวงปู่มั่นนิ่งสักพัก ก็ถามอีกว่า “เป็นยังไงจิตสงบดีอยู่เหรอ?”

“สงบดีอยู่ครับ”

และแล้วหลวงปู่มั่นก็พูดเสียงแข็ง สีหน้าเอาจริง “ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ? สมาธิมันเหมือนหมูขึ้นเขียง มันถอดถอนกิเลสตัณหา
ที่ตรงไหน? สมาธิทั้งแท่ง เป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม? สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันเรามันเป็นสุขที่ไหน? ท่านรู้ไหม?”

ฝ่ายพระหนุ่มก็แย้งว่า “ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่ง แล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหนในมรรคแปด”

หลวงปู่มั่นตอบว่า “มันก็ไม่ใช่สมาธิตายนอนตายอยู่อย่างนี้ซิ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนสมาธิแบบหมูขึ้นเขียงอย่างท่านนี่นะ สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่ สมาธินอนตายอยู่
นี้เหรอเป็นสัมมาสมาธิน่ะ เอ้า ๆ พูดออกมาซิ”

การสนทนาแบบร้อนแรงอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในสำนักของหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวเล่าว่า ตอนนั้นพระทั้งวัดแตกฮือกัน มายืนอออยู่ใต้ถุนกุฏิ เพื่อฟังการโต้เถียงระหว่างท่านกับหลวงปู่มั่น

หลังจากที่โดนอาจารย์สั่งสอนอย่างแรง พระหนุ่มก็ได้คิด

หลวงตามหาบัวพูดถึงความรู้สึกตอนนั้นว่า “พอท่านซัดเอา เราก็หมอบ พอลงมาจากกุฏิท่านแล้วก็มาตำหนิตัวเอง เราทำไมจึงไปซัดกับท่านอย่างนี้ เรามาหาท่านเพื่อหวังเป็นครูเป็นอาจารย์ มอบกายถวายตัวกับท่านแล้ว แล้วทำไมจึงต่อสู้กับท่านแบบนี้ล่ะ ถ้าเราเก่งมาหาท่านทำไม ถ้าไม่เก่งไปเถียงท่านทำไม”

นับแต่นั้นท่านก็ออกจากสมาธิ หันมาพิจารณาธาตุขันธ์ ปัญญาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมีสมาธิเป็นฐานอยู่แล้วทำให้สามารถแก้กิเลสได้เป็นลำดับ ท่านได้เห็นด้วยตัวเองว่า กิเลสนั้นแก้ไม่ได้ด้วยสมาธิ แต่ต้องแก้ด้วยปัญญาต่างหาก ข้อสรุปดังกล่าวทำให้การทำกรรมฐานของท่านก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องจนสามารถรื้อถอนกิเลสได้ในที่สุด..

เมื่อย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงตา
มหาบัวกล่าวด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณของหลวงปู่มั่นว่า “#หากไม่มีท่านอาจารย์มั่นมาฉุดมาลากออกไป #ก็จะติดสมาธิอยู่เช่นนี้กระทั่งวันตายเลยทีเดียว.. ”

#จากหนังสือ_ลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล
ขออนุโมทนาขอขอบคุณ​และ​ ขออนุญาตนำ
มาเผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่มีความศรัทธา









สวดมนต์บทใดก็ดีอยู่ สวดแต่น้อย ให้ปฏิบัติหลายๆ /-

หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญโญ





#ขอให้เข้าใจว่าผู้เลื่อมใสพระพุทธศาสนา_เหนือสิ่งใดๆทั้งปวงในโลกแล้ว

แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นสร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว เป็นคนดีพอจะสนเข็มได้แล้ว และเป็นผู้ปิดประตูนรก สัตว์เดรัจฉาน และเปรตทุกจำพวกได้แล้ว

มีธรรมเป็นเครื่องอบอุ่นอยู่ในใจก็ว่าได้ จิตใจย่อมเอนไป โอนไป โน้มไปในพระนิพพานอยู่ในตัว

#เพราะเหตุใดเล่า

เพราะเหตุว่าสรรพโลกทั้งปวงไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีแต่สรรพทุกข์ทั้งปวงอันเห็นชัดด้วยตาปัญญา แม้ตานอกๆ ก็เห็นแล้ว

เพราะเหตุว่าความแก่ เจ็บ ตาย ไม่มีอันใดปิดบัง เห็นทั้งตานอกทั้งตาในอยู่แล้ว เหตุนั้นจิตใจจึงเอนไปโอนไปหาพระนิพพานดังกล่าวแล้วนั้น


#เห็นอนิจจังขณะจิตเดียวก็เห็นสรรพโลกรอบแล้ว

เพราะสรรพโลกเต็มไปด้วยอนิจจังความไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์อยู่ในตัวด้วย แล้วก็เห็นโลกลึกลงไปอีกด้วยว่า สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์แล้ว สิ่งนั้นก็ไม่อยู่ในอำนาจวาสนาของใครเลย

ก็เรียกว่าเห็นโลกชัดลงไปอีกเป็นตอนที่ ๓ เมื่อเห็นโลกชัดลงไปตอนที่ ๓ แบบลึกซึ้งแล้ว ความเพลินและหลงในโลกทั้งปวงก็แตกกระเจิงตั้งอยู่ไม่ได้ ในดวงใจมีแต่พระสติพระปัญญารู้ตามเป็นจริงเท่านั้น ความหลงๆ เหลงๆ จะขี่ช้างสูบบุหรี่มาจากประตูใดเล่า


#ขอให้เข้าใจว่า โดยสังเขปพวกที่หลงโลกก็มีหลงอยู่ ๔ ประการ

๑. หลงของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง คือหนังหุ้มอยู่โดยรอบที่สมมติว่าเป็นเราๆ นี้

๒. หลงของเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข คือหนังหุ้มอยู่โดยรอบนี้อีกล่ะ

๓. หลงของไม่ใช่ตัวตน ว่าเป็นตัวตนเอาจริงๆ จังๆ จนแกะไม่ได้คลายไม่ออก

๔. หลงหนังหุ้มอยู่โดยรอบอันเป็นของบูดราเปื่อยเน่าว่าเป็นของสวยงาม


#ถ้าเราไม่หลงสิ่งเหล่านี้แล้ว

ภพชาติของเราก็จบใน ณ ที่นี้เอง จะภาวนาหรือไม่ภาวนามันก็จบอยู่ในตัวแล้ว แม้จะภาวนา ๗ วัน ๗ คืนไม่กินอาหารก็ตาม

ถ้าหากว่าหลงของ ๔ ประการดังกล่าวมาแล้วนี้อยู่ ก็ยังข้ามภาพข้ามชาติไม่ได้

#การข้ามภพชาติก็เอาสติปัญญาเท่านั้นข้าม

จะข้ามด้วยเครื่องบินหรือจรวดอะไรๆ ข้ามตั้งล้านๆ ปีก็ข้ามไม่ได้ หวังว่าคงเข้าใจดี

และขอให้เข้าใจอีกว่าความสำเร็จอยู่กับความพยายาม แม้เขาพยายามไปทางโจรทางมาร เช่นปล้นสะดมเป็นต้น บางรายเขาทำสำเร็จอยู่แต่ก็ให้ผลเป็นทุกข์ ไม่เหมือนพยายามทางโลกุตรธรรม


ปรารภมามากแล้วก็คงสมควรแก่เวลา ด้วยเดชพระพุทธศาสนา อันทรงพระคุณค่าไม่มีประมาณ และก็ทรงมีอยู่ทุกกาลด้วย ไม่ขึ้นอยู่กับผู้รู้และไม่รู้ เมื่อเป็นดังนี้ พวกเราทั้งหลายจงพ้นจากทะเลหลง คือกองทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือทุกเมื่อเทอญ...

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO