Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

เสวยกรรมดี

อาทิตย์ 05 ก.ย. 2021 5:37 am

#อุบายคลายโกรธ..!!

#หลวงพ่อโต_พฺรหฺมรํสี
".. เป็นพระที่มีบุคคลิกโดดเด่นที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๔ แม้ได้รับสมณศักดิ์เป็นถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ แต่ท่านกลับใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่มีพิธีรีตองราวกับเป็นพระธรรมดา ความรู้ทางพระธรรมวินัยของท่าน.. จัดว่า แตกฉาน แต่ท่านกลับไม่เคร่งครัดในแบบ
แผน ขนบธรรมเนียมหลายอย่างที่ผู้คนยึดติดถือมั่น ท่านไม่สนใจเอาเลย ปฏิบัติตนอย่างผ่อนคลาย เป็นกันเองและเปี่ยมด้วยเมตตา.."

เป็นที่ร่ำลือกันว่า ใครมานิมนต์ท่าน ไม่ว่า
ยากดีมีจน ท่านไม่เคยปฏิเสธ แต่จะไปเทศน์เมื่อใด ท่านไม่เคยกำหนดเวลา บางคราวเจ้าของบ้านหลับแล้ว ท่านไปถึงก็นั่งเทศน์ที่ประตูบ้านเทศน์ตรงหัวบันไดบ้านก็เคย คราวหนึ่งท่านไปเทศน์ต่างจังหวัดถึงที่หมายตอนยามสาม (ประมาณตี ๓-๖ โมงเช้า) ผู้คนนอนหลับกันหมดแล้ว ท่านสั่งให้คนแจวเรือตีกลองดังตูม ๆ แล้วก็เทศน์ชูชกอยู่แต่ผู้เดียว ชาวบ้านต้องลุกมาฟังท่านจนสว่าง

ท่านเคยนั่งเรือไปทอดกฐินที่อ่างทอง ระหว่างทางได้แวะจำวัดบนโบสถ์แห่งหนึ่ง กลางดึกขณะที่คนเรือนอนหลับ ขโมยได้ล้วงเอาเครื่องกฐินไปหมด เมื่อท่านรู้ แทนที่จะโมโหกลับดีใจ ขณะที่นั่งเรือกลับ ชาวบ้านถามท่าน ว่าทอดกฐินเสร็จแล้วหรือ ท่านตอบว่า “#ทอดแล้วจ้าแบ่งบุญให้ด้วย”

กลางทางท่านซื้อหม้อบรรทุกเต็มลำ ใครถามท่านว่าซื้อไปทำไมมากมาย ท่านตอบว่า “#ไปแจกชาวบางกอกจ้า” กว่าจะถึงวัดระฆัง ท่านก็แจกหม้อจนหมดปรากฏว่าวันนั้นหวยออก ม. หันหุนเชิด คนที่คอยดูหวยจากท่านถูกกันมากมาย

คราวหนึ่งท่านกำลังจำวัดในกุฏิที่วัดระฆัง ขโมยได้เจาะพื้นกุฏิเพื่อล้วงเอาข้าวของที่วางเกลื่อน แต่ล้วงไม่ถึง ท่านเห็นแล้วก็สงสาร ช่วยเอาไม้เขี่ยของเหล่านั้นให้ใกล้มือ ขโมย ได้ของไปแล้วก็ยังไม่พอใจ ขโมยยังจะเอาเรือใต้ถุนกุฏิไปด้วย ระหว่างที่เข็นเรืออยู่ ท่านก็เปิดหน้าต่างแล้วบอกขโมยว่า “เข็นเบา ๆ หน่อยจ้า ถ้าดังไปพระท่านได้ยินเข้า ท่านจะตีเอาเจ็บเปล่าจ้า”

ท่านยังแนะนำขโมยด้วยว่า “#เข็นเรือบนที่แห้ง_เขาต้องเอาหมอนรองข้างท้ายให้โด่งก่อนจ้า #ถึงจะกลิ้งสะดวกดี_เรือก็ไม่ช้ำไม่รั่วจ้า”

ขโมยได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกเกรงใจท่าน ไม่เข็นต่อ แล้วค่อย ๆ ย่องออกไปพร้อมกับของที่ล้วงมาได้

หลวงพ่อโตมีวิธีสอนธรรมแปลก ๆ ท่านเคย
ไปเทศน์คู่กับ​#พระพิมลธรรม (ถึก) แห่งวัดพระเชตุพน ขณะอยู่บนธรรมาสน์เจ้าคุณ
พิมลธรรมได้ตั้งประเด็นขึ้นว่า “โทโสเป็น
กิเลสสำคัญ พาเอาเจ้าของต้องเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียงเงินทอง เสียน้องเสียพี่ เสียที่เสียทาง เสียเหลี่ยมเสียแต้ม ก็เพราะลุแก่อำนาจโทโส ให้โทษให้ทุกข์แก่เจ้าของมากนัก”

จากนั้นก็ถามหลวงพ่อโตซึ่งมีสมณศักดิ์สูง
กว่าท่านว่า “#โทโส(เมื่อ)จะเกิดขึ้น เกิดตรงที่ไหนก่อนนะขอรับ ขอให้แก้ให้ขาว”

ระหว่างนั้นหลวงพ่อโตแกล้งทำเป็นหลับ ไม่ได้ยินคำถามซ้ำยังกรนเสียด้วย เจ้าคุณพิมลธรรมจึงถามซ้ำ ๒-๓ ครั้ง ท่านก็นั่งเฉย เจ้าคุณพิมลธรรมจึงโมโห ตวาดเสียงดังว่า “#ถามแล้วไม่ฟังนั่งหลับใน”

ว่าเช่นนี้ถึง ๒ ครั้ง หลวงพ่อโตแกล้งตื่นแล้ว
ด่าออกไปว่า “อ้ายเปรต อ้ายกาก อ้ายห่า อ้ายถึก กวนคนหลับ”

ท่านเจ้าคุณพิมลธรรมได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัด คว้ากระโถนปามายังหลวงพ่อโต แต่พลาดไปโดนเสาศาลา แตกดังเปรี้ยง ผู้คนแตกตื่นตกใจ แต่หลวงพ่อโตนิ่งสงบ แล้วกล่าวกับญาติโยมว่า โทโสโอหังเกิดขึ้นเมื่อ อนิฏฐารมณ์ คือรูปที่ไม่น่าดู เสียงที่ไม่น่าฟัง กลิ่นที่
ไม่น่าดม รสที่ไม่น่ากิน สัมผัสที่ไม่สบาย และความคิดที่ไม่ถูกใจมากระทบกับตา หู จมูก
ลิ้น กาย และใจ...

“เมื่อสำรวมไม่ทันจึงดันออกข้างนอกให้คนอื่นรู้ว่าเขาโกรธ ดังเช่นเจ้าคุณพิมลธรรมเป็นตัวอย่าง ถ้าเขายอท่านว่าพระเดชพระคุณแล้วท่านยิ้ม พอเขาด่าก็โกรธ”

อย่างไรก็ตามท่านได้ชี้ว่า แม้โทโสเกิดขึ้น “โทโสก็ไม่มีอำนาจกดขี่เจ้าของได้เลย เว้นแต่เจ้าของโง่เผลอสติ เช่นพระพิมลธรรมถึกนี้ โทโสจึงกดขี่ได้”

หลวงพ่อโตสรุปด้วยการบอกญาติโยมให้ดูท่านเจ้าคุณพิมลธรรมเป็นตัวอย่าง “ตัวท่านเป็นเพศพระ ครั้นท่านขาดสังวร ท่านก็กลายเป็นโพระ กระโถนเลยแตกโพละ เพราะโทโสของท่าน....จงจำไว้ทุกคนเทอญ”

นอกจากมีความสามารถในการชี้ให้คนเห็น
ถึงสาเหตุและโทษของความโกรธแล้ว
หลวงพ่อโตยังมีอุบายในการเตือนสติให้คลายความโกรธด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งความโกรธ
ของพระเจ้าแผ่นดินปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ได้นิมนต์พระมาสวดอภิธรรม

ในงานบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัววังหน้า ซึ่งเพิ่งเสด็จสวรรคต เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงพระที่นั่งจัดงาน พระทั้ง ๘ รูปก็ตกใจ ด้วย
เกรงพระบรมราชานุภาพ พากันวิ่งหนีไปแอบในม่านที่กั้นพระโกศ พระองค์จึงกริ้วมาก ตรัสว่า“ดูซิ ดูซิ ดูถูกข้า มาเห็นข้าเป็นเสือ เป็นยักษ์ เอาไว้ไม่ได้ต้องให้มันสึกให้หมด” ว่าแล้วก็ทรงมีพระราชหัตถเลขาไปยังหลวงพ่อโต เพื่อให้ทำการสึกพระเหล่านั้น

".. หลวงพ่อโตอ่านแล้ว ก็จุดธูป ๓ ดอก จี้ที่กระดาษบริเวณที่ว่างจากลายพระหัตถ์ แล้ว
ส่งคืน โดยไม่พูดอะไร และไม่ได้ทำตามรับสั่ง ครั้นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นรู ๓ รูในกระดาษ ก็ทรงทราบความหมาย รับสั่งว่า “อ้อ ท่านให้เราดับราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นไฟ ๓ กอง งดที งดที เอาเถอะ ๆ ถวายท่าน” จากนั้นทรงมีรับสั่งให้ไปนำตัวพระทั้ง ๘ รูปมานั่งประจำที่ แล้วทรงแนะนำสั่งสอนให้ท่านรู้ระเบียบจรรยาในการรับเสด็จหน้าพระที่นั่ง.. "

#เป็นอันว่าเรื่องนี้จบลงด้วยดีเพราะปรีชาญาณของหลวงพ่อโต

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล






ผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง จะสำรวมระวัง วาจา ใจ..

โอวาทธรรม
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








…สติ
นี้เป็นธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง
เป็นธรรมที่จำเป็นในทุกกรณี
ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศีลก็ตาม
ไม่ว่าเป็นการเจริญสมาธิก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นการเจริญปัญญาก็ตาม

.ถ้า”ขาดสติ”แล้ว
จะไม่สามารถทำให้ธรรมเหล่านี้
ปรากฏขึ้นมาได้.
……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๓








#ทำไมหลวงปู่จึงนั่งอาบน้ำครับ..!!”

“ยืนอาบมันเหมือนคฤหัสถ์เขาอาบกัน
เรานักบวช ต้องสำรวมให้มาก ยืนอาบ
เวลาสาดน้ำมันก็เหมือนผู้หญิงเขาอาบ”

องค์หลวงปู่จามไม่เคยเลยที่จะไม่นุ่งผ้า
เวลาอาบน้ำ ต้องนุ่งผ้าอาบน้ำเสมอ ยิ่งมี
ลูกศิษย์คอยปรนนิบัติเวลาอาบน้ำดูเหมือนท่านยิ่งต้องระวังตัว

“เปลือยกายอาบน้ำมันเหมือนเปรตไม่มี
เสื้อผ้า ไม่มีใครให้อาย ก็อายหมู่เทวดา”

สบู่ที่ใช้จะไม่ใช้ชนิดมีกลิ่นหอมมากเกินไป แปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนจึงอาบน้ำสรงน้ำ
ใช้น้ำไม่มากนัก

“อาบล้างคราบเหงื่อไคล ความรื่นของสบู่
หมด ก็พอ อาบหลาย อาบนานมันเปลืองน้ำเปลืองไฟ.. ”

#ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม_มหาปุญโญ








"#ภาวนาไปพร้อมทำงานบุญก็เกิดงานก็ได้"

​หลวงปู่มั่น เพิ่นว่า บุญบ่ต้องเสียเงินเสียทอง บ่ต้องไปแสวงหาที่ไหน พวกทำนาก็ ทำนาไปนำ พุทโธไปนำ นาก็ได้ บุญก็ได้ พวกเฮ็ดงานก็ เฮ็ดงานไปนำ พุทโธไปนำ งานก็ได้ บุญก็ได้ บ่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มันบ่เอา เอาแต่เฮ็ดงานไปนำ เบิ่งโทรทัศน์ไปนำ จิตก็หมุนอยู่ในวัฏวน จำคำหลวงปู่มั่นไว้เด๊...!!!

หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร









"ที่พึ่ง ที่ป้องกันภัยได้จริง"

" .. เรามีกรรมจึงต้องมาเกิด เกิดมาแล้วก็ต้องแก่
เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ความเจ็บความตายป้องกัน
ไม่ได้ แต่ที่ช่วยได้ก็คือ การระลึกถึง "คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" เอาเป็นที่พึ่งอย่างแน่วแน่

ทำให้จิตพ้นเสียจากความเจ็บ ความตาย ด้วย
การไม่ยึด จิตมันไม่คิดถึงความเจ็บ ความตาย
เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป อันนั้นเป็นการระลึกถึง
พระรัตน​ตรัยและระงับภัยอันตรายได้อย่างหนึ่ง

การระลึกถึง "คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ป้องกันภัยได้จริง .. "

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี







" การภาวนานี้
มิใช่ท่านหมายเอา
การเดินจงกรมตลอดวัน
นั่งสมาธิตลอดคืน

ความจริงแล้วท่านหมายเอา
ผู้ที่มี "สติ" จดจ่อ
อยู่กับกายอยู่กับใจ

ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน
นั่ง นอน เป็นประจำอยู่ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่คำดี ปภาโส







" การนั่งสมาธิ
สำคัญที่สุดคือ "ใจ"

ไม่ว่าจะอยู่อริยาบถใด
ใจไม่นิ่งก็ใช้ไม่ได้
ถ้าใจนิ่งก็ถือว่าใช้ได้ "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร







อานิสงค์ของการถวายทาน…

ท่านได้เล่าอานิสงค์ของการถวายทานต่างๆ
ตามที่ท่านได้พบในนิมิตในพรรษาที่ ๘

เช่น ผู้สร้างโรงฉันถวาย มีปราสาทเกิดอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เป็นปราสาท ๖ ชั้น ผู้ร่วมสร้างบางรายเสียชีวิตแล้ว
ก็ได้ขึ้นไปอยู่ในปราสาทด้วย แม้เป็นเพียงผู้ร่วมสร้าง

โรงฉันสร้างด้วยไม้ บางชิ้นเป็นรูทะลุได้
แต่เมื่อเป็นทิพยปราสาทก็ดูสวยงาม
เพราะผู้ถวายทานได้ถวายด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ใช้ไม้เท่าที่หาได้ และมีอยู่ไปก่อสร้าง

ส่วนผู้ที่เข้ามาช่วยงานวัดที่มีความไม่บริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง

หลวงปู่เปลี่ยนได้เห็นคนผู้นั้นมาหาท่านในนิมิต ตั้งแต่ก่อนตาย
เป็นเปรตท้องใหญ่โตมาก มีปากเท่ารูเข็ม
มีลูกอัณฑะใหญ่ยาวจนลากพื้น และลุกเดินไม่ไหว

คนผู้นั้นมาทำหน้าที่หิ้วปิ่นโตให้พระเณรออกบิณฑบาต
เมื่อชาวบ้านถวายกับข้าวใส่ปิ่นโตให้
เขาจะแอบเอากับข้าวดีๆในปิ่นโตเก็บ
กลับบ้านก่อนจะมาถึงวัด

เมื่อท่านถามเขา คนนั้นก็ยอมรับว่า ขโมยของวัดจริง

โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป







เฉพาะเรื่องอสุภะ จำเป็นสำหรับเรา ที่จิตยังมีความหยาบอยู่มาก

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







เราควรพิจารณาเนืองๆ
เรามีความแก่เป็นธรรมดา
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
เรามีความตายเป็นธรรมดา

นั่นท่านบอกพิจารณาทุกวันทุกวัน

แต่งไปเถอะ เสริมเข้าไปแต่งเข้าไป คิ้วเขียนเข้า ผมก็สางเข้านั่นทั้งเพชร ทั้งพลอยอะไรต่อมิอะไรภายนอกเสื่อมหมดนั้น

แต่งสวยขนาดไหนหลวงปู่ก็ไม่ว่า แต่อันนี้มันเหลือเกิน ค่ำมาก็ล้างออกเหมือนเดิมนั่น

สู้แต่งจิตแต่งใจตัวนี้ไม่ได้ ศีล5 นั่น แต่งเข้าไปเข้าไป พอถึงเวลาแล้วสว่างจ้าหมด เลิศทันทีนั่น ไม่มีเฒ่ามีแก่ชราคร่ำคร่าเหมือนร่างกายนะนั่น

๔ กันยายน มุฑิตาสักการะ ๘๙ปี
หลวงปู่ปรีดา (หลวงปู่ทุย) ฉันทกโร วัดป่าดานวิเวก จ.บึงกาฬ









พระคุณย่าจันดี โลหิตดี สอนว่า อย่าเอาจิตไปเกาะอยู่กับความเศร้าหมอง คนเราเกิดมามันก็ทำทั้งถูกทั้งผิดนั่นแหละ เพราะจิตยังไม่รู้ ยังไม่เข้าถึงธรรม สำคัญอยู่ที่อย่าส่งจิตไปเกาะกับความผิดที่เคยทำผ่านมาแล้ว ให้แผ่เมตตาไป

คุณย่าจันดี โลหิตดี








#หมาแมวทุกตัว_สัตว์ทุกตัว_มีจิตเหมือนเรา

บางตัวอาจดีกว่าเรา
แต่กรรมก่อนตายบังคับ ให้เขา
มาเกิดอย่างนี้..

อาจจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
ในอดีตก็ได้ หากเราไปเตะเขา
เบียดเบียนเขา ก็เท่ากับ เตะญาติ
ของตัวเอง...

เมื่อเขาตาย ก็ไปเสวยกรรมดีต่อ
อาจเป็น เทวดา พรหม แล้วบำเพ็ญ
บารมีต่อไปนิพพานก็ได้ ฉะนั้น เตะสัตว์
อาจมี บาปไม่มีประมาณ ก็ได้... "

#หลวงปู่บุดดา_ถาวโร
ตอบกระทู้