“เวลาปฏิบัติ พอจะได้ดีหน่อย มันอยากจะพูด อยากจะเล่าให้ใครฟัง จริงไหมล่ะแก ข้ารู้ ข้าก็เคยเป็นมา” ...หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านกล่าว แล้วเล่าเรื่องเป็นอุทาหรณ์ว่า
“มีพระองค์หนึ่งปฏิบัติจิตสงบดี แล้วเกิดนิมิตเห็นพระพุทธเจ้านับร้อยองค์เดินเข้ามาหา ท่านมีความปีติเอิบอิ่มยินดีมาก อยากจะเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง ตอนเช้าจึงเล่าผลการปฏิบัติของตนให้หมู่เพื่อนทราบ ผลปรากฏว่าพระรูปนั้นทำสมาธิอีกเป็นเดือนก็ยังไม่ปรากฏจิตสงบดีถึงระดับที่เคยนั้นเลย”
ถึงตรงนี้ ท่านสั่งเลยว่า
“แกจำไว้เลยนะ คนที่ทำเป็น เขาไม่พูด คนที่พูดนั่นยังทำไม่เป็น”
วัดสะแก หลวงปู่ดู่ พระนครศรีอยุธยา
…ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม “ ความทุกข์นี้ จะรอเราอยู่เสมอ “
.เราจะหนีมันไปเที่ยว หนีมันไปทำอะไร เดี๋ยวมันก็มารอเราอยู่
.ร่างกายของเราเดี๋ยวมันก็ต้องแก่ เดี๋ยวมันก็ต้องเจ็บ เดี๋ยวมันก็ต้องตาย
.ไม่มีใครที่จะหนีความทุกข์จากความแก่ ความเจ็บ ความตายไปได้
.ไม่มีใครหนีความทุกข์จาก การพลัดพรากจากกันไปได้
.เดี๋ยวก็ต้องมีการพลัดพรากจาก สิ่งที่เรารัก..สิ่งที่เราชอบไป. …………………………………….. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต สัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓
"...กรรมกับจิต..."
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
...อย่าตั้งอยู่ในความประมาท จงพากันสร้างคุณงามความดี มีการให้ทาน รักษาศีล พวกฆราวาส ให้ถือศีลห้า ศีลแปด วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เดือนหนึ่งมี ๔ หน อย่าให้ขาด ให้มีความตั้งใจ การเข้าวัดฟังธรรม รักษาศีล ภาวนา อันนี้เป็นทรัพย์ภายใน เป็นสมบัติภายในของเรา ควรใช้ปัญญาพิจารณาค้นคว้าร่างกาย ให้มันเห็นว่า ความจริงของมันตกอยู่ในไตรลักษณ์ ตกอยู่ในทุกขัง ตกอยู่ในอนิจจัง ตกอยู่ในอนัตตา มีความเกิดอยู่ในเบื้องต้น มีความแปรไปในท่ามกลาง มีความแตกสลายไปในที่สุด อย่างนี้แหละ อย่าให้เรานอนใจ ให้สร้างแต่คุณงามความดี อย่าไปสร้างบาปอกุศล อย่าไปก่อกรรม ก่อเวรใส่ตน ผู้อื่นไม่ได้สร้างให้เรา คุณงามความดีเราสร้างของเราเอง ตนสร้างใส่ตนเอง ผู้อื่นบ่ได้ทำดอก เมื่อเราเป็นบาป ก็เราเป็นผู้สร้างบาปใส่เราเอง ความดีก็แม่น เราสร้างใส่เราเอง จึงได้เรียกกุศลกรรม อกุศลกรรม สัตว์ทั้งหลายจะดี หรือจะร้าย จะเป็นคนมั่งคั่งสมบูรณ์ หรือยากจนข่นแค้นก็ดี เป็นเพราะกรรมดอก
พระพุทธเจ้าว่านั่นแหละ สัตว์ทั้งหลายเป็นแต่กรรม สัตว์มีกรรมของตน เป็นเพราะกรรมดอก กรรมเป็นผู้จำแนกแจกสัตว์ให้ได้ดีได้ชั่วต่างๆ กัน ครั้นเป็นผู้ทำกรรมดี มันก็ได้ความสุข ไปชาติหน้าชาติใหม่ก็จะได้ความสุข ผู้ทำความชั่ว มันก็มีความทุกข์ มีอบายเป็นที่ไป มีนรกเป็นที่ไป
กรรมเป็นผู้จำแนกไป ให้เกิดเป็นมนุษย์ ให้เกิดเป็นคนยากจนข่นแค้น มันเป็นเพราะกรรมของเขา ที่จะไปเกิดเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์มีความสุขเอง อย่างนี้ไม่มี นั่นแหละบาปมันเป็นผู้แจกให้ไป ไปเกิดในแดนคนยากคนจน เหมือนกันนั่นแหละกับเข้าไปหาเจ้านาย เราต้องระวังปานหยัง เข้าไปเราต้องทำอย่างใด จะทำท่าทางอย่างใด จะพูดอย่างไร ผู้เข้ามาหาคนยากคนจน มันไม่ต้องสนใจอะไร ไม่ต้องมีท่ามีทาง มันไปเกิดอยู่นั่นแหละ เราจะไปเกิดในที่ดีมันยากแล้ว บุญมันบ่ถึงเขา เราต้องทำเอา
เกิดเป็นมนุษย์เป็นสัตว์อันสูงสุด ก็เป็นเพราะ “ปุพฺเพจกตปุญฺญตา” บุญหนหลังมาติดตามตนให้เกิดเป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ ครั้นเป็นผู้สมบูรณ์แล้วก็ ให้ตั้งตนอยู่ในที่ชอบ อย่าไปตั้งอยู่ในที่ชั่ว รักษาศีล ให้ทาน หัดทำสมาธิอย่าให้ขาด ศีลห้าให้รักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีลแปดให้รักษา ให้พากันภาวนาอยู่
สมาธิมันไม่มีที่อื่น ให้นั่งภาวนา พุทโธๆ ไม่ต้องร้องให้มันแรงดอก ให้มันอยู่ในใจซื่อๆ ดอก การภาวนาก็เป็นอริยทรัพย์ภายใน มันจะติดตามไปทุกภพทุกชาติ ติดไปสวรรค์ ลงมามนุษย์ มาตกอยู่ในที่มั่งคั่งสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ยากไม่จน ทรัพย์อันนี้ติดตามไป บ่มีสูญหายดอก ตามไปจนสิ้นภพสิ้นชาติ หรือจนเหนื่อยหน่ายต่อความชั่ว เบื่อหน่ายไม่มีความยินดี ไม่อยากเกิดอีก ภาวนาไปๆ ก็จะไปสู่พระนิพพานตามเสด็จพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ก็สบายเท่านั้นแหละ
คนเรามันมักอยากมาเกิดอยู่เสมอ ให้พากันตั้งใจ วันหนึ่งๆ เราจะนั่งภาวนา นั่งภาวนาก็ให้นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติ อย่าปล่อยใจ ให้ตั้งสติอยู่กับใจ ให้เอาพุทโธเป็นอารมณ์ ทีแรกว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ, พุทโธ ธัมโม สังโฆ, พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้ว จึงเอาแต่พุทโธอันเดียว ทำงานอะไรอยู่ก็ได้ พระพุทธเจ้าบอก ทำได้ทุกอิริยาบถ ได้ทั้งสี่อิริยาบถ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ นอนไม่เป็นท่าดอก เอนลงไปเดี๋ยวก็เอาสักงีบเถอะ เดินนั่นแหละดี นั่งกับยืนก็ได้ ได้หมดทั้งสี่อิริยาบถ
พากันทำเอา ความมีอัตภาพนี่มันเป็นทรัพย์ภายนอก เงินทองแก้วแหวน บ้านช่องเรือนชานต่างๆ ที่หามาได้ก็เป็นทรัพย์ภายนอก ติดตามเราไปไม่ได้ดอก เมื่อตายแล้วก็ทิ้งไว้ กายอันนี้เมื่อตายแล้วก็นอนทับถมแผ่นดินอยู่ ไม่มีผู้ใดเก็บ กระดูกก็กระจายไป กระดูกหัวก็ไปอยู่ที่อื่น กระดูกแขนก็ไปอยู่ที่อื่น กระดูกขาก็ไปอยู่ที่อื่น กระดูกสันหลังก็ไปอยู่ที่อื่น กระจายไปเท่านั้นแหละ
คนเรามันกลัวตัณหาหลาย มันเชื่อตัณหาหลาย คนหนึ่งๆ มันมีสองศาสนา ศาสนาหนึ่งตัณหามันสั่งสอน อีกศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า เรามันยึดถือตัณหานี่ ชอบกันนัก หมอนี่มันก็บังคับเอา เราก็ยึดถือหมอนี่ มันสอนให้เราเอา ให้ตีเอา ลักเอา ฉกชิงวิ่งราวเอา มันสอนอย่างนี้ ตัณหาน่ะ
พระพุทธเจ้าว่าให้ทำมาหากินโดยชอบธรรม ให้เป็นศีลเป็นธรรม อย่าเบียดเบียนกัน มันไม่อยากฟัง มันเกลียด ตัณหานี่ มันกลัวพระยามัจจุราช พระยามารก็เป็นผู้ช่วยมัน มันไม่อยากให้เราไปฟังอื่น ให้ฟังมัน มันผูกใจเราไว้ ครั้นจะไปดำเนินตามทางของพระพุทธเจ้า มันไม่พอใจ พอจะรับศีล รับทำไม มันว่า อย่าไปรับมัน อย่าไปทำมัน นี่มันก็ถูกใจมันเท่านั้นแหละ มันสอนนะ มันชอบอย่างนั้น
ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้า ครั้นอุตส่าห์ทำไป ปฏิบัติดีแล้ว เราก็มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป ทำความเพียรภาวนาหนักๆ เข้า ก็ได้บรรลุพระนิพพาน กำจัดทุกข์ อันนี้ไม่อยากไป ไม่อยากฟัง ไม่เอา ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นต้องระวังตัณหา กิเลสที่มันชักจูงใจเราไม่ให้ทำความดี อย่าไปเชื่อมัน พยายามฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้อยู่ในศีลในธรรม
พระพุทธเจ้าว่า ให้เป็นผู้หมั่นขยันในทางที่ชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แม่นในหน้าที่ของตน เป็นความบริสุทธิ์ ผู้ขยันหมั่นเพียรนั่นแหละจะเป็นเจ้าของทรัพย์ เป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ มิใช่ว่าจะรักษาศีลภาวนาแล้วเฮ็ดหยังบ่ได้ มันบ่แม่น นั่นมันความเห็นผิดไป
พระพุทธเจ้าว่าให้ขยันหมั่นเพียร อะไรที่ชอบธรรมก็ทำได้ กลางคืนจนแจ้งก็ทำไป กลางวันก็ทำได้หมดตลอดวัน ทำไร่ ทำสวน ทำนา ให้ทำสุจริต ไม่เบียดเบียนใครเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าให้หยุด ไม่ให้เบียดเบียนกัน ทำใจให้สะอาด วาจาให้สะอาด กายให้สะอาด อย่าให้สกปรก ทำใจให้สะอาด คือให้หมั่นภาวนา ให้เอาพุทโธนั่นแหละเป็นอารมณ์ของใจ ให้ตั้งสติทำไปๆ ใจมันจะสงบสะอาดและผุดผ่อง
“มนสาเจ ปสนฺเนน ภาสติวา กโรติวา ตโตนํ สุขมเนวติ” ครั้นผู้ชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วสดใสแล้ว แม้จะพูดอยู่ก็ตาม ทำการงานอยู่ก็ตาม ความสุขนั้นย่อมติดตามเขาไป “มนสาเจ ปทุฏฺเฐน ภาสติวา กโรติวา ตโตนํ ทุกฺขมเนวติ จกฺกํ วหโตปทํ” ครั้นบุคคลมีใจขุ่นมัววุ่นวาย มีใจเศร้าหมอง ใจมืด ใจดำอำมหิตแล้ว แม้จะพูดอยู่ ความทุกข์ย่อมครอบงำมันอยู่อย่างนั้น แม้จะทำอยู่ ความทุกข์ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ท่านเปรียบว่า เหมือนล้อที่ตามรอยเท้าโคไป ความทุกข์ตามบุคคลไปอยู่อย่างนั้น คนไม่รักษาใจ คนทำแต่ความชั่ว ก็มีแต่ความทุกข์นำไปอยู่อย่างนั้น
ให้พากันทำภาวนาไป วันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป ภาวนาไป ชั่วโมงหรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด อาศัยอบรมจิตใจของตน ทำมันไป ขัดเกลาใจของตน ใจมันมี “โลภะ โทสะ โมหะ” เข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง ธรรมชาติจิตเดิมแท้นั้น เป็นธรรมชาติผ่องใส “ปภสฺสรมิตํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปฺกิเลเสหิ อุปฺกกิลิฏฺฐํ” ธรรมชาติจิตเดิมเป็นของเลื่อมประภัสสร เป็นของใสสะอาด แต่มันอาศัยอาคันตุกะกิเลสเข้าครอบงำย่ำยี ทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัวไป เพราะฉะนั้นให้พากันทำ อย่าประมาท อย่าให้มันเสียชาติ อย่าให้มันโศกเศร้าเป็นทุกข์
“มนุสฺสปฏิลาโภ” ความได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ให้พากันทำ อย่าให้มันเสียไป วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ อย่าให้มันล่วงไปเปล่า ประโยชน์ ภายนอกก็ทำประโยชน์ของตนนั่นแหละมันสำคัญพระพุทธเจ้าว่าให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน แล้วจึงค่อยทำประโยชน์อื่น...
จาก หนังสืออนาลโยวาท พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ขาว อนาลโย
#จำวัดผิดกันกับคำว่า_นอน
"หลวงปู่ขาว เล่าถึงคำสอนของ หลวงปู่มั่น เกี่ยวกับการหลับนอนของพระ ต่อไปดังนี้ ท่านควรขบคิดคำว่า จำวัด กับคำว่า นอน ซึ่งเป็นคำทั่วๆ ไป เทียบกันดูจะเห็นว่าผิดกันและมีความหมายต่างกันอยู่มาก ระหว่างคำว่า จำวัดของศากยบุตร กับคำว่า นอนของคนและสัตว์ทั่วไป ดังนั้นความรู้สึกของพระผู้เป็นศากยบุตรที่จะปลงใจจำวัดแต่ละครั้ง จึงควรมีความสำคัญติดตัวในขณะนั้นและเวลาอื่นๆ จึงจะสมชื่อว่า ผู้ประคองสติ ผู้มีปัญญา คิดอ่านไตร่ตรองในทุกกรณี ไม่สักว่าคิด สักว่าพูด สักว่าทำ สักว่านอน สักว่าตื่น สักว่าฉัน สักว่าเดิน สักว่านั่ง สัก เป็นอาการปล่อยตัว เกินเพศเกินภูมิของศากยบุตรที่ไม่สมควรอย่างยิ่งในวงปฏิบัติโดยมากมักเข้าใจกันว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนิพพานไปแล้ว สาปสูญไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเกี่ยวกับท่านและตนเองเสียแล้ว ก็พระธรรมอันเป็นฝ่ายเหตุที่สอนกันให้ปฏิบัติอยู่เวลานี้ เป็นธรรมของท่านผู้ใดขุดค้นขึ้นมาให้ได้เห็นและได้ปฏิบัติตามเล่า..!! ความจริง พุทธะ และ สังฆะ ก็คือ ดวงใจบริสุทธิ์ที่พ้นวิสัยแห่งความตาย และความสาปสูญอยู่แล้วโดยธรรมชาติ จะให้ตายให้สาปสูญให้หมดความหมายไปได้อย่างไร เมื่อธรรมชาตินั้นมิได้เป็นไปกับสมมติ"... #มิได้อยู่ใต้อำนาจแห่งความตาย #มิได้อยู่ใต้อำนาจแห่งความสาปสูญ #มิได้อยู่ในอำนาจแห่งการหมดความหมายใดๆ #พุทธะ_จึงคือพุทธะอยู่โดยดี #ธัมมะ_จึงคือธัมมะอยู่โดยดี #และสังฆะ_จึงคือสังฆะอยู่โดยดี "มิได้สั่นสะเทือนไปกับความสำคัญใดๆ แห่งสมมติ ที่เสกสรรทำลายให้เป็นไปตามอำนาจของตน ฉะนั้นการปฏิบัติด้วย ธัมมานุธัมมะ จึงเป็นเหมือนการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ตลอดเวลาที่มี ธัมมานุธัมมะ ภายในใจ เพราะการรู้พุทธะ ธัมมะ สังฆะ โดยหลักธรรมชาติจำต้องรู้ขึ้นที่ใจ ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งธรรมอย่างเหมาะสมสุดส่วน ไม่มีภาชนะใดยิ่งไปกว่า ดังนี้.. "
#โอวาทธรรมของพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตฺโต #เล่าไว้โดยพระอาจารย์ขาว_อนาลโย #จากหนังสือหลวงปู่ขาว_อนาลโย โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๔ หน้า ๒๗๗ - ๒๗๘
บางคนอาจจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ชาตินี้ ชาติก่อน ชาติหน้ามี บุญนี้จะให้ผล บาปนี้จะให้ผล บางคนอาจจะเชื่อ บางคนอาจจะไม่เชื่อ
ถ้าคนที่ยังไม่เชื่อนี้อันตรายหน่อย พระพุทธเจ้าตีราคาไว้เลย คนไหนที่ไม่เชื่อว่าบาปมี บุญมี ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติก่อนมี ท่านตีราคาไว้ว่า นตฺถิ ปาปํ อการิยํ ไม่ทำบาปทำชั่วไม่มีแน่นอน
พระอาจารย์ สมภพ โชติปัญโญ
#การตายของเทวดานางฟ้า..
..ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโปเล่าว่า ปกติเวลาเทพบุตร เทพธิดาจะจุติลงมาเป็นมนุษย์ ทุกองค์มีความตั้งใจจะลงมา สร้างคุณงามความดีเพื่อยกภูมิของตนให้สูงขึ้น แต่พอมาเป็นมนุษย์จะลืม และหลงไปในอบายมุขในโลก ไม่สร้างกรรมดีตามที่ตั้งใจ ซ้ำกลับต้องตกต่ำลงกว่าที่ตนเคยเสวยสุขอยู่เสียอีก บนสวรรค์เมืองแมนแดนสวรรค์ท่านว่าสุขทุกขณะจิต ..ส่วนผู้เสวยบาปต้องลงนรก ลำพังความเดือดร้อนจากไฟนรก ก็แสนสาหัส.ไม่ต้องถูกลงทัณฑ์ ทรมาน ชาวนรกก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่แล้ว ในนรกท่านก็ว่าเป็นทุกข์ไม่มีเวลาสุข ทุกขณะจิตเช่นกัน.. ..พวกเราเองเป็นอย่างไร สว่างมา สว่างไป หรือ สว่างมา มืดไป หรือ มืดมา สว่างไป หรือ มืดมา มืดไป ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่หามาจากโลกนี้ ยศตำแหน่งหน้าที่การงาน คำสรรเสริญติชมทุกสรรพเสียง ความสุขรื่นรมณ์ทุกประการ คนรักสัตว์เลี้ยงสิ่งของที่สะสมห่วงหาอาลัย สุดท้ายคืนโลกหมด เหมือนฝันไปจำต้องตื่น เหมือนอายุงานที่จำต้องเกษียณ ประกันชีวิตที่ทำชาตินี้ ควรเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเอาไปใช้ในชาติหน้าได้จริง..
“โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป”
“ให้ปล่อยวาง อย่าไปหอบไว้ อย่าไปหิ้วไว้ อย่าไปแบกไว้ ให้โยมยอมรับเสียว่า สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างไรๆ ก็ตามมันเถอะ เราก็ได้อาศัยสกนธ์ร่างกายนี้มาตั้งแต่กำเนิดขึ้นมา จนถึงวันเฒ่าแก่ป่านนี้ก็พอแล้ว” ..... หลวงปู่ชา สุภทฺโท
.วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๔ ... หลวงพ่อโสภณ โอภาโส วัดบึงลัฏฐิวัน (สาขาที่ ๒๐ วัดหนองป่าพง) จ.พระนครศรีอยุธยา ...... ท่านเมตตามาเป็นองค์แสดงธรรมภาคปฏิบัติ ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม เริ่มแต่เวลา ๑๓.๐๐ น.
#หลวงปู่ตื้อพูดถึงการเชื่อถือเรื่องวิญญาณ
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเผชิญภูตผีวิญญาณที่ผ่านมาว่า
“...หากวิญญาณเหล่านั้นได้รู้ความเป็นจริงแล้วก็จะไม่หลงวนเวียนอย่างนั้น กิเลส ทิฏฐิ มานะ นี่ร้ายกาจมาก มันสามารถดึงเอาคนตกเป็นทาสของมันให้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารได้อย่างง่ายดายมาก
ในโลกนี้ คนที่ตกเป็นทาสของมันมีมาก เพราะขาดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง การนับถือผีสางอันเป็นจำพวกวิญญาณที่หลงทางเดิน เมื่อตายแล้วนั้น เป็นการเชื่อแบบขอความอ้อนวอน จึงเป็นการเชื่อที่ไม่แน่นอน
พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำไม่ให้พุทธศาสนิกชนหลงเชื่อในเรื่องเช่นนี้ พระองค์สอนให้เชื่อเรื่องกรรมคือ เชื่อการกระทำของตนเองดีกว่า” ลูกศิษย์ลูกหาผู้ใกล้ชิดต่างยืนยันว่า หลวงปู่ตื้อ ท่านก็สอนศิษย์และประชาชนทั่วไปในทำนองนี้มาโดยตลอด
พระบูรฉัตร พรหฺมจาโร ศิษย์ผู้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ ได้บันทึกไว้ว่า “ตอนหนึ่งท่านหลวงตา (หลวงปู่ตื้อ) ได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องของวิญญาณต่างๆ ในโลกนี้มีหลายจำพวกเหลือเกิน บางพวกเป็นวิญญาณที่มีความเป็นอยู่ดีมาก มีศีลธรรม แต่พวกเราชอบเรียกรวมไปหมดว่า ผี
ความจริงแล้ว ผีหรือวิญญาณต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมเลย เพราะในโลกนี้มีทั้งน่ารัก น่าชังทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ ครบถ้วนอยู่แล้ว เหตุการณ์ทั้ง ๔ อย่างนี้ มีครบอยู่ในโลก และมีพร้อมๆ กันเลย
มันก็น่าแปลก คนเราเวลาตาย เกิดอารมณ์ร้องไห้ ทำให้เศร้าใจแต่เวลาเกิด กลับหัวเราะชอบใจ ทำให้ดีใจ คนที่หัวเราะก็หลง คนที่ร้องไห้ก็หลง หลงในฐานะที่ไม่รู้อะไรเป็นเหตุเป็นผล ความจริงแล้ว ตายหรือเกิดก็อันเดียวกันนั่นเอง เป็นแต่ว่าเขาเปลี่ยนกันทำหน้าที่เท่านั้นเอง”
หลวงปู่ตื้อ อาจลธัมโม
#คนบุญมากเห็นโทษในการครองเรือน
เพราะว่าบุคคลเมื่อสั่งสมบุญมากๆ เข้าไปแล้วนะ บุญกุศลนั้นก็ดลบันดาลให้มีปัญญาเกิดขึ้น มองเห็นอัตภาพของร่างกายนี้ล้วนแต่ไม่ยั่งไม่ยืนไม่เป็นแก่นเป็นสารอะไรเลย ไม่สวยไม่งามเลย แล้วก็มองดูนอกร่างกายนี้ออกไปก็เหมือนกัน มีสภาวะเหมือนกันหมดเป็นอย่างนี้นะ ผู้ใดมีความรู้สึกนึกคิดได้อย่างนี้แสดงว่าผู้นั้นมีบุญมากสมควรนะ ให้เข้าใจนี้แหละบุญนะ มันย่อมหนุนบุคคลให้ถอนตัวออกจากทุกข์ไปโดยลำดับๆ ไป เป็นอย่างนั้น
เมื่อผู้ใดใครมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นอย่างนั้นแล้วก็อย่างว่า พุทธศาสนานี้มันก็มีขั้นตอน ก็มีนักบวชผู้ที่มีบุญหลายมาดลใจในการครองเรือน เห็นว่าการครองเรือนนี้มันลำบากมากแล้วก็มันชักจะเว้นจากบาปจากกรรมได้ยากเหลือเกิน ก็เราหนีไปบวชเสียดีกว่า เราจะได้สำรวมกายวาจาใจ ไม่ทำบาป ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่นอย่างนี้นะ แล้วก็มีโอกาสได้ภาวนา ได้ฝึกฝนจิตใจให้สงบระงับ มีโอกาสได้ฟังธรรมบ่อยๆ อันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา มีโอกาสที่จะละอาสวกิเลสให้น้อยเบาบางออกไปจากจิตใจได้ ผู้ใดคิดเห็นได้อย่างนี้ก็มาบวชก็อย่างที่บวชกันอยู่นี่
สตรีก็ต้องบวชเป็นชี นุ่งขาวห่มขาว โกนผมโกนคิ้ว เพราะระเบียบนางภิกษุณีนั้นหมดสูญไปจากโลกนี้แล้ว จะไปบวชเป็นพระภิกษุณีสงฆ์ไมได้แล้วผู้หญิงก็จึงต้องบวชชีบวชขาว รักษาศีลแปดเป็นนิจศีลไป บำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติไป ผู้เป็นผู้ชายบาดนิเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีแก่กล้ามันก็ดลใจให้เบื่อหน่ายกับความเป็นอยู่ในโลกอย่างที่ว่านั้นแหละ มองไปไหนก็เห็นแต่ทุกข์ มองไปไหนก็เห็นแต่ความไม่เที่ยง เห็นแต่ความวุ่นวาย หาความสงบระงับได้ยากอย่างนี้นะ มองเห็นแต่วัดวาอารามนี่แหละเป็นที่สงบสงัดไม่วุ่นวาย
ผู้เข้ามาบวชอยู่ในวัดวาศาสนานี่ก็ล้วนแต่เป็นผู้เห็นทุกข์เห็นโทษภัยเหมือนกัน เหตุนั้นบวชเข้ามาแล้วจึงไม่กระทบกระทั่งกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ต่างคนต่างก็สำรวมกายวาจาใจของตนให้ตรงต่อธรรมต่อวินัยเรื่อยไป อย่างนี้แล้วการอยู่ร่วมกันมันก็ไม่เดือดร้อนนะบาดนินะ มันก็อยู่ด้วยความสงบสุขทั้งร่างกายและจิตใจ นี่ลองพิจารณาดูให้ดี นี่อานุภาพแห่งบุญกุศลทั้งนั้นแหละอันหมู่นี้น่ะ หากคนบุญน้อยน่ะก็มาอย่างนี้ไม่ได้ มาทำอย่างนี้ไม่ได้เลย ไม่มีความสามารถ ไอ้คนที่บุญน้อยน่ะมีเยอะในโลกนี้น่ะ คนที่มีบุญมากมีจำนวนน้อยเต็มทน
เพราะฉะนั้นเมื่อพุทธบริษัทได้สดับตรับฟังแล้วก็ขอให้พิจารณาดูตัวของเราเองว่าพิจารณาดูความประสงค์ของตนเองให้รู้ให้เข้าใจ ครั้นเมื่อบุญของตนมีมากจริงมันก็ดลบันดาลให้คิดเบื่อหน่ายในการอยู่ครองเรือนอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ถ้าบุญของตนยังไม่มากพอมันก็ทำให้ยินดีในการครองเรือนอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ทำบาป หาทางเว้นจากบาปจากโทษทั้งหลายให้ได้แล้วอย่างนี้ ก็เป็นหนทางพ้นทุกข์ภัยในสงสารตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จริงๆ ดังแสดงมา
"พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ" วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย จาก หนังสือ “วรลาโภ” ผู้ให้ธรรมเป็นพรอันประเสริฐ
พิจารณาร่างกายของเราให้แตก. แล้วเราก็จะได้ธรรมะ..
ร่างกายก็มีให้พิจารณาว่าเป็นของเน่า เป็นของเหม็น แต่เราพิจารณาว่าเป็นของหอม น่ารัก
โง่ไหม.?.คนเรา..
#หลวงปู่ตื้อ_อจลธัมโม
คนที่รับไม่ได้ว่า เขาตีเรา เขาด่าเรา เขาเคยรักเรา เขาทำไม่ดีกับเรา ให้อภัยไม่ได้ มันก็จะต้องผูกเวรกันต่อไป แต่ถ้าเข้าใจความทุกข์นี้ได้ เข้าใจว่าสังสารวัฏมันเป็นอย่างนี้ มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ก็จะสามารถให้อภัยกันได้ สามารถที่จะระงับเวรกันได้ สามารถที่จะทำความดีให้เกิดขึ้นที่จิตใจของเราได้ “ความสงบระงับ” จะมีได้เพราะเหตุนี้
...เพราะความเป็นมงคล ความดีความงาม มันไม่ได้อยู่ที่ปากคนอื่น แต่อยู่ที่การกระทำของเรา...
บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บรรยายพระธรรมวินัย | ปาจิตตีย์ สิกขาบทที่ ๗๔ - ๗๘ การทะเลาะเบาะแว้งกัน การระงับเวรด้วยการไม่จองเวร วันศุกร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๔
“อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตน และคนอื่น เพราะจะได้แต่บุญโดยฝ่ายเดียว”
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
" เมื่อมาก็ตัวเปล่า เมื่อไปก็ไปตัวเปล่า ให้เร่งสร้างความดีงาม เพราะความดีงาม เท่านั้น ที่คงอยู่
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นเครื่อง ทำให้โลกไม่วุ่นวาย "
โอวาทธรรม หลวงปู่อินตอง สุภวโร
ผู้บริหารจิตทั้งหลาย พึงมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ทรงพระคุณ
อันความกตัญญูกตเวทีนั้น หาได้ยากในผู้มีจิตใจไม่ปราณีต เพราะความไม่ปราณีตแห่งจิตใจ จะทำให้ไม่ตระหนักชัดในความกตัญญูกตเวที ทำให้เห็นไปว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็นความงมงาย เป็นความเปล่าประโยชน์
ผู้มาบริหารจิตทั้งหลาย พึงพินิจให้รู้จักความกตัญญูกตเวทีให้ถูกต้อง พึงมีกตัญญูกตเวทีต่อผู้ทรงพระคุณ ไม่เพียงแต่เฉพาะท่านที่ยังดำรงชีวิตอยู่ แต่ต้องตลอดถึงท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าสถิตอยู่ ณ ภพภูมิใด ที่ไม่อาจตามไปรู้ไปเห็นด้วยความสามารถของตน
พระนิพนธ์ ธรรมเพื่อความสวัสดี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
|