Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

อย่าเบื่อ อย่าหน่าย

พุธ 15 ก.ย. 2021 8:47 am

จิตดวงนี้ก็เหมือนกัน ต้องหล่อเลี้ยงด้วยศีลด้วยธรรม ซักฟอกจิต จิตจะไม่มีเรื่องมีราว ไม่มีความยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่คำว่าซักฟอกไม่ได้หมายความว่าวันเดียว พระพุทธเจ้าท่านว่า :วิริเย ทุกขมัจเจติ" บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ให้พยายาม พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนสัตว์โลกไม่มีผิดพลาด ขอให้นำคำของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ จิตดวงเดียวของเรานี้ แก้ด้วยสัตย์ด้วยศีลเท่านั้น อย่าไปแก้ด้วยอย่างอื่น เริ่มจากการซักฟอกด้วยบุญ แล้วก้าวขึ้นไปถึงศีลห้า...

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร







…รีบตักตวงเวลาที่..” เรายังไม่ตายนี้ ”
เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์

.ด้วยการ “ ปฏิบัติธรรม “ดีกว่า
อย่าไปเสียเวลากับการมานั่งคิดเลยว่า
เราจะตายเมื่อไหร่
ตายด้วยเหตุอะไร

.มันไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงความจริง
“ มันก็ต้องตายอยู่ดี “.

……………………………………..
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔







"ให้ภาวนาไว้ตลอดนะ จิตว่างเป็นบุญ จิตวุ่นเป็นบาป จิตเป็นกลางพ้นทุกข์ ใจความสำคัญมันก็มีอยู่แค่นี้...เท่านี้"

หลวงปู่สงวน ยุตตธมฺโม
อายุ ๙๓ ปี พรรษา ๗๓
วัดธุดงคนิมิต (เขาพุรางล่าง) อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
(ศิษย์ในองค์ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)







"...ระยะก่อนที่ท่านจะเข้าอยู่ปฏิบัติกับ ท่านอาจารย์มั่นนั้น ท่านได้ไปพักอยู่ ณ บ้านตาดซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ท่านประสบภาวะจิตเสื่อม ด้วยเหตุที่ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำกลดเพื่อเตรียมออกวิเวก ขณะที่เริ่มทำยังไม่ทันเสร็จดี กลับปรากฏว่าในด้านสมาธิของท่านเริ่มเสื่อมลงๆ ท่านเล่าถึงภาวะจิตเสื่อมนี้ว่า..

เป็นภาวะที่จิตรู้สึกเข้าสมาธิไม่ค่อยสนิทเหมือนที่เคยเป็นมา บางครั้งเข้าสงบได้ แต่บางครั้งเข้าไม่ได้ ภาวะเสื่อมนี้มันถึงขนาด
จะเป็นจะตายจริงๆ เพราะทุกข์มาก

เหตุที่ทุกข์มาก เพราะได้เคยเห็นคุณค่าของสมาธิที่แน่นปึ๋งมาแล้ว และก็กลับเสื่อมเอาชนิดไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเลย มีแต่ฟืนแต่
ไฟเผาหัวใจตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน ทั้งยืนทั้งเดิน ทั้งนั่งทั้งนอน จึงเป็นทุกข์เพราะอยากได้สมาธินั้นกลับมา มันเป็นมหันตทุกข์จริงๆ ก็มีคราวที่จิตเสื่อมนั้นแลที่ทุกข์มากที่สุด..."

"ความทุกข์นี้ท่านเปรียบให้ฟังเหมือนกับเคยเป็นมหาเศรษฐีมีเงินหมื่นแสนล้านมาก่อน แล้วจู่ๆ มาล่มจมสิ้นเนื้อประดาตัวด้วยเหตุการณ์อันใดอันหนึ่ง ผู้ที่เคยมีเงินมากมายขนาดนั้นย่อมร้อนกว่าผู้ที่หาเช้ากินค่ำ และไม่เคยมีเงินหมื่นแสนล้านนั้นมาก่อนเลย ผู้นั้นจะเอาอะไรมาเสียใจในความล่มจมของเงินก้อนนั้นได้เล่า สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน ภาวะที่จิตเจริญด้วยสมาธิ ก็เปรียบเหมือนกับผู้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินก้อนใหญ่นั่นเอง

ความเด็ดเดี่ยว ความมุ่งมั่นจริงจังของท่านเพื่อที่จะครองชัยชนะในการต่อสู้กับกิเลสให้ได้นี้ ท่านพูดเสมอว่า

#ถ้ากิเลสไม่ตาย_เราก็ต้องตายเท่านั้นจะให้อยู่เป็นสองระหว่างกิเลสกับเรานั้น_ไม่ได้...!!

ด้วยจิตใจที่หนักแน่นเข้มแข็งดังกล่าวนี้ จึงไม่มีสิ่งใดจะมาเป็นอุปสรรคต่อความตั้งใจจริงของท่านได้ เพราะยอมต่อสู้ชนิด "#เอาชีวิตเป็นเดิมพัน" นั่นเอง

หลังจากที่ท่านอาจารย์มั่นเมตตารับไว้ เมื่อโอกาสอันควรมาถึง ท่านก็กราบเรียนปรึกษาถึงภาวะจิตเสื่อมว่าควรแก้ไขอย่างไร และด้วยกุศโลบายแยบยลของครูบาอาจารย์ ท่านอาจารย์มั่นกลับแสดงเป็นเชิงเสียใจไปด้วย พร้อมกับให้กำลังใจศิษย์ว่า

"...น่าเสียดาย มันเสื่อมไปที่ไหนกันนา เอาเถอะ ท่านอย่าเสียใจ จงพยายามทำความเพียรเข้ามากๆ เดี๋ยวมันจะกลับมาอีกแน่ๆ มันไปเที่ยวเฉยๆ พอเราเร่ง ความเพียรมันก็กลับมาเอง หนีจากเราไปไม่พ้น

เพราะจิตเป็นเหมือนสุนัขนั่นแลเจ้าของไปไหนมันต้องติดตามเจ้าของไปจนได้ นี่ถ้าเราเร่งความเพียรเข้าให้มาก จิตก็ต้องกลับมาเอง ไม่ต้องติดตามมันให้เสียเวลา มันหนีไปไหนไม่พ้นเราแน่ๆ...

จงปล่อยความคิดถึงมันเสีย แล้วให้คิดถึง
พุทโธ ติดๆ กันอย่าลดละ พอบริกรรม พุทโธ ถี่ยิบติดๆ กันเข้า มันวิ่งกลับมาเอง คราวนี้แม้มันกลับมาก็อย่าปล่อย พุทโธ มันไม่มีอาหารกิน เดี๋ยวมันก็วิ่งกลับมาหาเรา

จงนึก พุทโธ เพื่อเป็นอาหารของมันไว้มากๆ เมื่อมันกินอิ่มแล้วต้องพักผ่อน เราสบายขณะ
ที่มันพักสงบตัวไม่วิ่งวุ่นข่นเคืองเที่ยวหาไฟ
มาเผาเรา ทำจนไล่มันไม่ยอมหนีไปจากเรา นั่นแลพอดีกับใจตัวหิวโหยอาหาร ไม่มีวันอิ่มพอ ถ้าอาหารพอกับมันแล้ว แม้ไล่หนีไปไหนมันก็ไม่ยอมไป ทำอย่างนั้นแล จิตเราจะไม่ยอมเสื่อมต่อไป..."

พรรษาที่ ๙ นี้ เป็นพรรษาแรกที่ท่านได้จำพรรษาด้วยกันกับท่านอาจารย์มั่น ณ บ้านโคก จังหวัดสกลนคร คำสอนดังกล่าวของท่านอาจารย์มั่นทำให้ท่านตั้งคำมั่นมัญญาขึ้นว่า

"...อย่างไรจะต้องนำคำบริกรรม พุทโธ มากำกับจิตทุกเวลา ไม่ว่าเข้าสมาธิ ออกสมาธิ
ไม่ว่าจะที่ไหน อยู่ที่ใด แม้ที่สุดปัดกลาดลานวัด หรือทำกิจวัตรต่างๆ จะไม่ยอมให้สติพลั้งเผลอจากคำบริกรรมนั้นเลย..."

#จากนั้นท่านก็หมั่นทำจนกระทั่งตั้งหลักลงได้จิตเป็นสมาธิ_ไม่เสื่อมอีกต่อไป

#จากหนังสือ_หยดน้ำบนใบบัว
หลวงตามหาบัว






#ครูบาอาจารย์ยุคนี้ก็ดูยากนะครับ #จะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าองค์ไหนเป็นอย่างไร.?

หลวงพ่อตั๋น : แต่เราดูรูปเราก็พอรู้ ว่าท่านทั้งสององค์นี่ดี แต่ว่าเราจะเลือกใครแค่นั้นเอง เราดูรูปนะ ดูรูปหลวงตา และหลวงพ่อชา ก็พิจารณาว่า ใครเท่านั้น เพราะดีทั้งสององค์ตอนนั้น แต่ว่าอาจจะวิบากกรรมเรามีความเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อชามากกว่า แต่ว่าจริงๆแล้วเราเอาทั้งสองมาผสมผสานกันโดยไม่รู้ตัว เราบวชกับหลวงพ่อชาอยู่กับหลวงพ่อชา แต่ว่าการปฏิบัติเนี่ยสายหลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัวมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติของหมู่คณะเรา

เพราะว่าท่านไม่มีการประชุมรวมกัน ท่านให้ต่างคนต่างภาวนา เราก็นำมาใช้ อย่างที่วัดหนองป่าพงเนี่ยโดยส่วนใหญ่แล้ว ๗๐ เปอร์เซ็นต์ จะมีการประชุมกันทำวัตรเช้าวัตรเย็น แต่เราเปลี่ยน เราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชาจริง แต่เราเอาข้อวัตรของหลวงตามาใช้ คือว่าวันพระจึงจะรวมกันครั้งหนึ่ง ถ้าวันธรรมดาไม่รวม ต่างคนต่างภาวนาหลายๆแบบ เพราะเราประทับใจทั้งสององค์ แล้วเอาทั้งสององค์มาผสมกัน แล้วมาเกิดเป็นเราขึ้นมา

ทีนี้ถ้าเป็นวัดหลวงตาเนี่ยท่านก็จะได้นิสัยของพ่อแม่ครูบาอาจารย์คือ หลวงปู่มั่น ท่านจะสมถะมาก ให้ลูกศิษย์สมถะ มักน้อย สันโดษ อันนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่จริตนิสัยเราถ้าพูดถึงเราก็ติดตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ก็ชอบอะไรที่สวยงาม ติดความสวยงาม ความมั่นคง จะทำอาคารเสนาสนะ เราก็ทำทีเดียวให้จบเลย ไม่ต้องมายุ่งยากนิสัยมันก็ชอบอย่างนั้น ถึงแม้มันวางสมมุติได้แล้ว แต่ก็ยังใช้สมมุตินั้นอยู่ เราก็เลยเป็นอีกนิสัยหนึ่ง

อย่างทำอาคารเนี่ย เราก็คิดว่าเราวางล่วงหน้าว่า ในอนาคตเราจะรับพระได้กี่รูป เราก็กะว่าไม่ต่ำกว่า ๕๐-๖๐ รูป เพราะฉะนั้นต้องเผื่ออาคารสำหรับพระ ๕๐-๖๐ องค์ ในเวลาปกติ แต่เวลามีงานเทศกาลอาจจะ ๑๐๐ องค์ ต้องเผื่อให้พอแล้วเราเผื่อว่าทำอาคารอันนี้ ถ้าเรามีชีวิตยืนยาวอีก ๒๐-๓๐ ปี หรือมากกว่านั้น เราจะใช้อาคารนี้ไปตลอดชีวิตของเรา ไม่ต้องไปยุ่งไม่ต้องมาก่อสร้างอีก เราเลยยอมที่จะทำใหญ่ทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าทำใหญ่แล้วทำใหญ่ไม่พอเดี๋ยวก็ต้องมาขยายอีก

แต่เรารู้เลยนะเนี่ย พอทำเสร็จนะ คอยดูนะ ทำเสร็จนะกฐินปีแรกเต็ม มันเต็มหมดน่ะ ยังไงก็เต็มคอยดูใหญ่ขนาดนี้มันก็เต็ม พอกฐินมันก็เต็มหมด มันก็แน่น แต่เราก็ใช้ปีหนึ่งก็ครั้งหนึ่ง เราอาจจะกางเต้นด้านนอกบ้างก็ได้ ก็รวมๆไป

หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี






"...พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรม อยู่ใต้ต้นโพธิ์ต้นเดียว ท่านกระจ่างไปหมด ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรนะ ท่านก็เจริญอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ท่านไม่ให้ออกจากนั้นนะ ให้รู้ลมหายใจเข้าออก พวกเรามันพอมีอะไรผ่านเข้ามาก็โกหกตัวเองไปด้วยหมด ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเหมือน “หมาเห่าบ่าง” (เป็นภาษาอีสาน คือเหมือนกับหมาตัวหนึ่งที่เห็นกระรอกหรือบ่าง ที่หนีขึ้นต้นไม้ไม่รู้ว่าบ่างนั้นอยู่ต้นไหนแหงนหน้ามองต้นไหนก็เห่าต้นนั้นเห่าไปทั่ว) ท่านว่าไม่รู้จักต้นที่ขึ้นนะ เห่าไปทั่วแหงนหน้าดูต้นไหนก็เห่าไปหมด นี่ก็เหมือนกันเลยไม่เกิดผลประโยชน์อะไร พอไม่เกิดผลประโยชน์ความเกียจคร้านก็เข้ามาทับหัวใจอีกนะ มีแต่กินแล้วก็นอนเท่านั้น แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วก็ดูแต่ลูกกระโปกตัวเองเท่านั้นแหละ เหมือนกับเป็ดนี่แหละ มันไม่เห็นแม่น้ำลำคลองสักหน่อยมีแต่พื้นดิน แต่มันก็วิ่งไปไม่รู้มันจะไปไหน นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละจิตใจจะวิ่งไปที่มันเกิด มันเทียวเกิดเทียวตายอยู่อย่างนั้น ภพไหนชาติไหนก็เกิดอยู่อย่างนั้น

พากันเร่งความพากความเพียรนะสักหน่อยก็ออกพรรษาแล้ว พอออกพรรษาแล้วมันก็ไม่แน่นอนกันนะ เดี๋ยวก็ไปนั่นไปนี่ ไม่มีสัจจะผูกมัดใจนะ ความแก่ความเจ็บความตายก็ไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเราวันไหนนะ ให้พิจารณาความแก่ความเจ็บความตาย จิตของเรามันจะได้อ่อน จะได้เกิดความสลดสังเวช พิจารณาสิ่งใดให้มันเกิดความสลดสังเวชในใจของเรา มันถึงจะเกิดธรรมในใจเราได้ปรากฏขึ้นได้ ..."

พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดป่าเกสรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ภูผาแดง)
อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี








#มรดกธรรมขององค์หลวงพ่อ

เราไม่ได้นั่งภาวนาเอาเวลา ไม่ได้นั่งเอาความสงบหรือไม่สงบ เปรียบเทียบว่า เราหาปลา บางทีก็ได้ปลาบ้าง ไม่ได้ปลาบ้าง

เรานั่งเพื่อสร้างสติ สร้างความอดทน และให้มีสัจจะให้มีความมั่นคงในข้อวัตร ทำให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ นั่งภาวนาให้มีพัฒนาการขึ้น ให้ได้นานขึ้นเรื่อยตามการฝึกฝนอบรม

เราไม่ได้มานั่งหาของ บางคนไปติดนิมิต ก็บ้าหลงนิมิต นิมิตนั้นถ้าน้อมเข้ามาพิจารณาก็เป็นธรรม ก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าไปยึดติด ไปหลงในนิมิตก็เสียเวลา

ให้มีสัจจะ ในตัวเอง มีการเดินจงกรม นั่งภาวนา สวดมนต์ไหว้พระเช้า-เย็นให้ได้ทุกวัน นอกจากนั้นก็อ่านประวัติของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นกำลังใจและแนวทางในการปฏิบัติ ก็จะมีความเจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ

#กุสลจิตโตวาท
#โอวาทธรรม วันที่ 14/4/2563
#ทิดไก่
พระครูโกศลกิจจาภรณ์ (บรรจง กุศลจิตฺโต) อดีตเจ้าคณะตำบลหมากแข้ง เขต ๒ ธรรมยุต อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าตูมทองวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี







#หลวงตามหาบัวท่านเทศน์เกี่ยวกับพระโมฆราชหลายครั้ง

อันนี้ก็ไม่พ้นสติ มันว่างก็ให้มีสติอยู่กับความว่าง

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ...

ทีนี้รวมลงมา เอาเถอะน่ะ ขอให้กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจเป็นพระโมฆราช โดยหลักธรรมชาติเหมือนกันหมด

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








#ถึงแม้ว่าทำน้อย #ก็ได้บุญมากขึ้นมา...

การทำบุญนี้ทำมากทำน้อย แต่คนทำมากก็เต็มใจ คนทำน้อยก็เต็มใจที่จะทำ
มันก็ได้มากได้น้อยต่างกัน

แต่หากคนทำมากๆ สักว่าทำเฉยๆ แต่คนทำน้อย เขาปลื้มปีติในชีวิตของเขามาก บุญได้มากตรงที่มีความพอใจมากๆ ก็ได้มาก ถึงแม้ว่าทำน้อย ก็ได้บุญมากขึ้นมา

สมมุติว่า เราทำน้อย เราปูกระดานสองแผ่นนี้ ได้กระดานสองแผ่น เหตุฉะนั้น
เมืองเหนือ เขาจึงจองเสา จองหน้าต่าง จองหลังคา จองช่อฟ้า คนที่จองช่อฟ้ามีแต่ช่อฟ้า ไม่มีกระเบื้อง มุงหลังคาแล้วจะอยู่ที่ไหน วิหารหลังนั้น

อาตมานี่. ไม่เอาหรอก ถ้าไม่มีกระเบื้องมุงซักแผ่น จะทำยังไงมีแต่ช่อฟ้า
ฝนตกมา บัดนี้อยู่ที่ไหนวิหารหลังนั้น ศาลาหลังนั้น ไม่คิดเลยคนชนิดนั้น
มันเป็นอย่างนี้ ต้องทำหมดเลย

เราจะขอถวายสัก ๑๐ บาท หรือ ๕ บาท นี่ เอาทุกอย่าง แหละวิหารหลังนี้ เอาไปอย่างนั้นเลย อย่าไปจองเป็นที่เป็นส่วน

บัดนี้ เวลามันไปเกิดเป็นปราสาทอยู่ในสวรรค์ สมมุติว่า เราไปปูกระดานแผ่นสองแผ่น เราจะได้ไม่ต่ำกว่า ๘ แผ่น หรือ ๑๐ แผ่น เพราะอานิสงค์ของมัน จะได้
สถานที่ของเรานั่ง อยู่นี่แหละ เกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดา ปุ๊บ.. มานั่งอยู่นี่แหละของตนเอง มันทำหลายคน ที่นั่งของใครของมัน เป็นอย่างนี้ ท่านบอกไว้

บัดนี้ ถ้าคนเป็นเจ้าของผู้ลงมือจริงๆ นั่งอยู่บนแท่นในเมืองสวรรค์ มีปูพรมด้วยอยู่บนแท่น นั่นแหละ เพราะ สร้างมากกว่าเพื่อน เป็นหัวหน้าหมู่ ก็นั่งอยู่บนสูงกว่าเพื่อน เพราะบุญเขามากที่พาคนมาทำบุญ เป็นอย่างนั้นในเมืองสวรรค์

หลวงพ่อ ท่านบอกว่า"ถ่ายเก็บไว้ต่อไปจะเป็นภาพประวัติศาสตร์"
#พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป #แชร์ส่งต่อก่อปัญญาธรรม








“ทุกวันนี้ คนเราไปแก้ทุกข์ทางโรค
ไม่ได้แก้ทุกข์ทางธรรม ไม่ได้ฝึกฝนอบรม
ไม่ได้เอาธรรมโอสถ ไม่ได้เอายาพระพุทธเจ้า
รักษาโรค ไม่ได้รักษาใจกัน
ธรรมะนี่ ถ้าเข้าถึงขั้นจริงๆ แล้ว
คนที่มีโรคก็เหมือนคนไม่มีโรค
คนที่มีความทุกข์ ก็ไม่มีความทุกข์

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ







"ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่า
ที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็น
ก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ
เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไมได้
เราจะควบคุมใจได้อย่างไร"

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก








“ความวิตกกังวล เป็นเพียงแขกที่มาเยือนจิตใจ
ไม่ใช่ผู้อาศัยประจำ เวลามา ก็ไม่ต้องต้อนรับ
หรือขับไส เพียงแค่รับรู้ว่าเป็นสักแต่ว่าความคิด
เป็นแขกที่เราไม่ยินดีต้อนรับ ถ้าฝึกฝนจิตใจอย่างนี้
ด้วยความอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจะสร้างอุปนิสัย
ทางใจที่เข้มแข็ง ความวิตกกังวลจะจางหายไปเอง”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ








"การให้ทานรักษาศีลนี้
ไม่ใช่ของใคร คนใดคนหนึ่ง
คือ ถ้าใครทำ ก็ได้รับผลด้วยกัน
อย่าเลือกเวลาการทำความดี
ทำได้ทุกเวลาสถานที่ ทุกเพศวัย
ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ คนหนุ่มคนสาว
ทำได้หมด ให้รีบทำความดีเสีย
เดี๋ยวจะตายก่อน ไม่ได้ทำนะ"

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต








"..อย่าเบื่อ อย่าหน่าย
อย่าคลายความเพียร
ทำความดีแล้ว ก็ให้ทำ
เรื่อยๆไป ต้องทำให้ถึงที่สุด

คนเราจะล่วงทุกข์ได้
เพราะความเพียรนี่แหละ.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
ตอบกระทู้