นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 12:06 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ยึดมั่นพระรัตนตรัย
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 30 ต.ค. 2021 8:15 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
บางคนจะทำบุญแต่ละที ก็คอยแต่จะให้มีเงินมากๆเสียก่อน เลยไม่ได้ทำสักที เห็นคนอื่นทำก็ออนซอน* กับท่าน คิดว่าเพิ่นบุญหลายหนอคนไม่รู้จักบุญ บุญไม่ใช่อย่างนั้น การละความชั่ว ละความผิดมันก็เป็นบุญแล้ว การรักษาศีล การเจริญภาวนา การฟังพระธรรมเทศนาทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมา เหล่านี้ก็ทำให้เกิดบุญขึ้นได้ แล้วคนเราสมัยนี้เข้าใจว่า การทำบุญ ก็คือการให้ทานเท่านั้น เพราะส่วนมากได้ยินพระท่านเทศน์เรื่อง ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถ-บารมี แต่ไม่ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจ

คนส่วนมากจึงมักเข้าใจกันว่า การทำบุญคือ การนำเอาสิ่งของไปถวายพระมากๆ คนยากจนก็เลยทำไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจภาษาบาลีดังที่กล่าว

ความจริงเรื่องการให้ทาน ท่านแบ่งไว้ ๓ ระดับ คือ การเสียสละสิ่งของภายนอก จัดเป็นทานบารมี การสละอวัยวะ จัดเป็นทานอุปบารมี การสละชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม

เหล่านี้ถ้าเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหา ไม่ว่าคนรวยคนจนก็สามารถทำบุญให้ทานได้ โดยเฉพาะทานที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองคือ อภัยทาน ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ และทานชนิดนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญด้วย ดังนั้นการสร้างคุณงามความดีมีอยู่หลายอย่าง ให้พากันเข้าใจ บางคนคิดว่าการทำบุญให้ทานได้ผลอานิสงส์มาก ก็ทุ่มเทใส่จนหมดเนื้อหมดตัว ไม่รู้เรื่อง

ส่วนคนรู้เรื่อง มีขนาดไหนก็ใช้ไปขนาดนั้น มันอยู่ที่การกระทำถ้าทำถูกมันเป็นบุญเป็นกุศลทุกอย่างนั้นแหละ ตัวอย่างเช่น การช่วยเขาขุดบ่อน้ำริมถนน เราผ่านไปก็ได้เห็น เขาทำอะไรก็ช่วยทำ ถามว่าได้บุญไหม ตอบว่าได้ ได้อย่างไร การช่วยเขาขุดบ่อน้ำต่อไปภายหน้าเราก็ไม่ต้องซื้อน้ำ ใครผ่านมาก็ไม่ต้องซื้อกิน เพราะเป็นน้ำสาธารณะให้ความสุขแก่มนุษย์ทั่วๆไป อย่างนี้เป็นต้น

อย่างเราอยู่ศาลา ก็ช่วยเขาปัดกวาด เขาถอนหญ้า เราก็ช่วยเขาทำอะไรก็ช่วย ไปอาศัยบ้านเขาอยู่ก็เหมือนกัน จะเป็น ๒ วัน๓ วัน ก็ต้องช่วยเขาทำในสิ่งที่เราทำได้ นี้เรียกว่าบุญ บุญมันอยู่ที่ใจของเรา บ้านไหนมีบุญเรารู้ได้ คนในบ้านรู้จักเคารพพ่อแม่ เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ทำอะไรก็มีความสุข มีความหมาย คนไม่รู้จักบุญก็วุ่นวายอยู่นั่น จะทำบุญแต่ละครั้งต้องฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ไม่รู้จักเสียเลยจริงๆ บุญไม่ลำบากอย่างนั้นนะ ง่ายๆทำไปแล้วสบาย คิดขึ้นมาตอนไหนก็สบายใจ จะอยู่บ้านไหนเมืองไหนก็สบาย ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเข้าถึงธรรมะแล้วเป็นอย่างนั้น

#ที่มา> จากหนังสือกบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว
จัดพิมพิ์โดย วัดหนองป่าพง
โอวาทธรรม, หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง








"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าอะไรจะตั้งอยู่
ไม่ว่าอะไรจะดับไป
ให้เห็นเป็นธรรมดา"

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ





"พวกเรามีบารมี มีทุนเก่า ทำให้พวกเรามาเข้าวัด
มาทำบุญเพิ่มมากขึ้น มีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น

ครูบาอาจารย์ หรือคนที่ปฏิบัติธรรมอยู่เนืองนิจ
ถึงจะมีอายุเยอะ หรือเป็นคนเฒ่าคนแก่
เขาก็ยังยิ้มแย้ม นั่นเป็นเพราะเขามีจิตใจที่แจ่มใส
มีคุณธรรมเป็นของดีติดตัว

พวกเราเสียอีก ที่เป็นคนหนุ่มคนสาว
กลับหน้าเหี่ยว ยิ้มกันไม่ค่อยออก"

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








#ถ้าวันไหนความตายมาถึงเรา
#ถึงจะอยากทำดีมันก็ไม่ทันแล้ว

วันหนึ่งๆ ให้เราสำรวจตัวเอง ว่าเราได้ทำความดีอะไรแล้วหรือยัง อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่า อย่าคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ มะรืนนี้ค่อยทำ

ทำความดีทำวันไหนก็ดีวันนั้นหละ

ถ้ามัวแต่เลือกวันนั้นวันนี้ คือยังเป็นผู้ประมาทอยู่ คนประมาทก็เหมือนคนตาย คือตายจากคุณงามความดี

ถ้าวันไหนความตายมาถึงเรา
ถึงจะอยากทำดีมันก็ไม่ทันแล้ว

ธรรมชาติของจิตเป็นนักเดินทาง
คิดนั่น คิดนี้ คิดไม่จบไม่สิ้น อย่างที่เราฝันอะไรต่างๆ คือการเดินทางของจิต ถ้าเราจะหยุดการเดินทางของจิต เราต้องมาบริกรรม พุธโธ. ฝึกสมาธิ เเนวมันสิพ้นทุกข์

“..มาว่ามื้อนั่นดี มื้อนี่บ่ดี
มันบ่เกี่ยวกับมื้อดอก
ถ้ารู้ว่ามื้อนั่น มื้อนี่บ่ดี
กะบ่ต้องมาเกิด สิบ่ดีกว่าติ
เกิดมากะสิมีมื้อนั่น มื้อนี่..อยู่คือเก่า..”

น้อมกราบหลวงปู่

#เพชรเม็ดงามอีกหนึ่งรูปของหลวงปู่ผาง

" หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต "
...หลานชายแท้ๆของหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต... มีความรักและสนิทสนมกับ " หลวงปู่จื่อและหลวงปู่นงค์มาก "








ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ แล้วอุโบสถศีลที่รับในวันพระที่ผ่านมา ไม่ทราบกำลังบุญกุศลจะมากกว่าศีล ๘ หรือต่างกันยังไงเจ้าคะ

หลวงปู่ : ก็บัญญัติ ๘ ข้อมันก็เหมือนศีล ๘ ก็หาว่าต่างกันไม่ คำว่าอุโบสถศีลแปลง่ายๆแบบชาวบ้านก็คือรับศีลในวันพระ เรียกว่าอุโบสถศีล เมื่อเรามีเจตนารับศีล "เจตนา"เป็นที่ตั้งของกรรมบท มีศรัทธาในวันพระวันเจ้า..ละจากที่จะไปทำล่วงเกินในกรรมใดๆก็ดี คือตั้งใจจะมาเจริญศีลรักษาศีล

เมื่อเรามาตั้งใจมารักษาศีลในวันพระ วันที่พระเจ้าเค้านั้นเจริญกุศลความดีก็ดี..มันจึงมีกำลังมาก เพราะในวันพระเทพเทวดาเค้าจะมาฟังสวดมนต์ ฟังเทศน์ฟังธรรมกันอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเมื่อว่าเราไปรับอุโบสถศีลในวันพระ..เค้าก็จะมีกำลังของอานิสงส์นั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

เพราะวันปรกติธรรมดามนุษย์นั้นจะหาการเจริญในศีลนั้นก็หาได้ยาก เพราะไม่รู้จะเอาอะไรกำหนดว่าเราจะทำความดีในวันไหน ดังนั้นเมื่อก่อนที่พระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้น คนเราที่เค้าสร้างความดีก็มี เค้าก็อยากจะสร้างกรรมดีขึ้นมา เค้าก็อาศัยดูฤกษ์ดูยามในวันพระนี้แลเป็นการตัดอกุศลกรรม คือมาสร้างกุศลความดีให้เกิดขึ้นอย่างนี้..ก็ถือว่าเป็นขนบธรรมเนียมเป็นประเพณีขึ้นมา

ไม่ว่าแม้แต่จะเป็นพระราชาพระจักรพรรดิ์ก็ดี ถ้าปรารถนาจะมีอำนาจศักดิ์วาสนาบารมีที่จะปกครองทวีปน้อยใหญ่ก็ดี ก็ต้องอาศัยอย่างนี้..เจริญอุโบสถศีลขึ้นมา แม้แต่พญานาคพิภพก็ดีไม่ว่าจะมีกี่ตระกูลก็ดี ถ้าปรารถนาจะพ้นจากความเป็นสภาพของนาคราช..ที่เค้าเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ แต่ก็เป็นกึ่งสัตว์เดรัจฉานกึ่งเทพกึ่งเทวดา ถ้าปรารถนาที่อยากจะพ้นภพภูมิเหล่านี้ เพื่อจะเป็นมนุษย์เพื่อจะสร้างกุศลบารมี เพื่อการพระนิพพานพ้นทุกข์ก็ดี ก็ต้องถืออุโบสถศีล

นั้นแสดงว่าขณะที่ว่าโยมมาเจริญอุโบสถศีลก็จะมีเทพเทวดา คนธรรพ์นาคาหรือว่านาคราชนี่เค้าได้มาเจริญอุโบสถศีลเช่นเดียวกัน

อ้อ..ฉันจะกล่าวถึงเรื่องของพญานาคราชสักนิดนึงนะ..ว่าในยุคนี้เป็นยุคของนาค ทำไมว่าเป็นยุคของนาค เพราะว่ามนุษย์ต่อไป..คำว่ายุคศิวิไลซ์เค้าเรียกว่าเป็นยุคของศีล เป็นยุคของความเสมอภาคความเท่าเทียม คือเอาศีลเป็นบรรทัดฐานเป็นเบื้องบาทแห่งความดีนั่นเอง

นั้นว่าเป็นนาคราชเป็นยุคนาค หมายถึงว่าเหมือนที่โยมใส่ชุดขาว..นี่ก็เป็นยุคของนาค เค้าเรียกการบวชจิต เพราะว่ากายนั้นยังบวชไม่ได้ ว่าด้วยมีเหตุปัจจัยหลายอย่างทางในโลกที่ข้องอยู่ หรือในกรรมยังมีหนี้สินอยู่ ในภาระใดๆก็ตามไม่ว่าจะเป็นภาระอะไรก็ตามที่จะมีเป็นข้อแม้ทั้งหลายเหล่านี้ ที่ยังไม่สะดวกหรือยังไม่สามารถจะตัดทางโลก ละอกุศลทั้งหลายทั้งปวงเพื่อจะมาเข้ามาสู่ทางธรรมได้ เข้ามาสู่ในทางเดินแห่งมรรคได้ ในทาน ศีล ภาวนา..อย่างนี้ก็เลยต้องบวชจิตไปก่อน

อาศัยชุดขาวห่มขาวนี้แลเป็นอนุสติ ทำให้เป็นเครื่องเตือนใจให้เรานั้นเข้าถึงความดี เข้าถึงความสะอาด เข้าถึงศีล เข้าถึงความบริสุทธิ์ ก็เลยเอาชุดขาวเหล่านี้มาห่มกาย เค้าเรียกว่าห่มศีลกายไปก่อนอย่างนี้..แล้วก็บวชจิต "บวชจิต"คืออธิษฐานรับศีลแล้วภาวนา เอาข้อบัญญัติของศีลนี้มารักษาที่เราจะไม่ละเมิดล่วงเกินตามที่เรากำหนด ตามที่เรานั้นพอใจอย่างนี้

นั้นเมื่อเป็นยุคของนาค..นาคพิภพทั้งหลายทั้งปวง การที่โยมนั้นมาประพฤติปฏิบัตินี้ เกิดมาในยุคนี้ ก็หมายถึงว่าเป็นนาคที่จะเปลี่ยนภพภูมิใกล้เคียงกับนาคมาก นั้นเค้าเรียกว่าเราเกิดจากลูกหลานนาคนั่นเอง เป็นบรรพบุรุษของนาค อย่างนั้นแล้วถ้าเรานั้นเป็นลูกหลาน แล้วเรานั้นมาประพฤติปฏิบัติแล้ว..บรรพบุรุษเค้าก็ได้อานิสงส์ได้กุศลไปด้วย เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ

เค้าจึงบอกว่า..ทำไมถึงจะเป็นยุคนาค ก็จะเห็นได้ว่าพื้นพิภพของเราของมนุษย์ชาติเรานี้ เค้าเรียกว่าใกล้ที่สุดแล้วของความเป็นบาดาล เป็นแอ่ง เป็นที่ลุ่ม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเมื่อเป็นที่ลุ่มแล้วต่อไปภายภาคหน้านี้น้ำก็ดี ทะเลมันก็จะเริ่มหนุน หนุน หนุนเข้ามาเรื่อย พอมันหนุนเข้ามาเรื่อยแล้วมันเป็นยังไงจ๊ะ มันก็จะเป็นทะเลสาบกลืนกินสิ่งทั้งหลาย เค้าเรียกว่าเค้าก็กลืนกินไปหมด ไปอยู่ใต้พิภพเหมือนเดิม..อย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

นั้นก่อนที่ว่าโลกทั้งหลายมันจะเข้าสู่สภาวะแบบนั้นแล้ว น้ำแข็งขั้วโลกทั้งหลายที่มันร้อนแล้วก็ดี ทรัพยากรทั้งหลายที่มันจะมีความวิปริตแปรปรวนของโลกธาตุแล้ว เราก็ยังมีเวลาที่จะภาวนาออกจากภัยในวัฏฏะ สร้างกุศลความดีให้มีวิมานเป็นที่รองรับก็ดี

นั้นการถืออุโบสถศีลแล้วจึงมีอานิสงส์มาก เพราะว่าทำให้นาคตระกูลทั้งหลายทั้ง ๔ ตระกูลก็ดี เค้าได้มาร่วมโมทนาร่วมประพฤติปฏิบัติกัน เพราะอะไรเล่า เพราะนาคนี้เค้าไม่ได้ขึ้นมาบนโลกมนุษย์ได้ง่าย ถ้าว่าที่ใดสถานที่ใดนั้นมีการเจริญศีล หรือเจริญกรรมฐาน หรือเจริญอุโบสถศีลแล้วนี้แล พวกนาคเหล่านี้ที่เค้ามีสัมมาทิฏฐิ เค้าก็ชอบที่จะมาร่วมประพฤติปฏิบัติมาฟังธรรม มาประพฤติปฏิบัติด้วยกายทิพย์ของเค้านั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

เพราะในโลกนาคในพิภพของโลกของนาคนี้ เค้าไม่สามารถอาศัยพระจันทร์พระอาทิตย์เป็นแสงสว่างได้ แต่เค้าได้บุญบารมีบุญญาธิการแห่งแสงสว่างของลูกแก้วที่เค้าได้สะสมบำเพ็ญมา เป็นแสงสว่างอยู่ประจำที่ประจำเมืองเป็นนครของเค้า นั้นเมื่อเค้าได้เจริญภาวนาแล้ว หรือเรานั้นเป็นลูกหลานเป็นตระกูลของเค้าที่เรานั้นได้เกิดมาแล้ว มาอธิษฐานสร้างบารมี..

แล้วนาคนี้เค้าอธิษฐานสร้างมาเพื่อมารักษาพระศาสนา เหตุผลของกรรมทั้งหลายที่เกิดมาเป็นนาคนี้ ต้องมาเฝ้ารักษาพระศาสนา ก็เพราะวิบากกรรมนั้นเคยไปเบียดเบียน เคยไปล่วงเกินด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดีในสงฆ์ทั้งหลาย ในของสงฆ์ก็ดีเหล่านี้..ก็เลยเกิดมาเป็นนาคก็ดีเหล่านี้

บัดนี้เราเกิดมาแล้ว ได้เป็นมนุษย์มีเชื้อสายนาค คำว่าเชื้อสายนาคนี้หมายถึงว่าจะมาบำรุงพระศาสนา จะมาจรรโลงพระศาสนา แต่ด้วยเหตุว่ากิเลสก็ดี กรรมก็ดี วิบากกรรมก็ดี ที่เรายังไม่พร้อมที่จะสละทั้งกายและใจนั้นไปบวช ไปภาวนา ไปบำเพ็ญในทางเดินแห่งมรรคโดยสุดทางเลย ก็เพราะเหตุว่าเรายังมีวิบากกรรมอยู่ เค้าเรียกว่าการติดหนี้กรรม

ติดหนี้สงฆ์ก็ดี ติดหนี้แผ่นดิน ติดหนี้บุญคุณก็ดี เหล่านี้เรียกว่าเชื้อสายนาคมักจะเป็นอย่างนั้น..เลยต้องมาตอบแทน ดังนั้นก็ต้องอาศัยการบวชกายหยาบนี้ด้วยการห่มชุดขาวแล้วก็บวชจิต ดำริออกจากกามมาเป็นการเจริญเนกขัมมบารมีให้เกิดขึ้น นั้นการที่โยมมาเจริญศีลอุโบสถ มันจึงมีการเกี่ยวข้องโดยตรงกับโลกทิพย์..มีอานิสงส์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต









ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้แนะนำสอนพระฝรั่ง ที่ได้มาพบสนทนา ภายในโบสถ์วัดเทพศิรินทร์ฯ หลังจากท่านได้ปฏิบัติกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูปัญญาภรณ์โสภณ (มหาอำพันบุญ-หลง) จึงเห็นว่ามีความสำคัญมาก ได้ขออนุญาตจากท่านบันทึกไว้พิมพ์แจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ เพราะจะได้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชน โดยท่านพระครูปัญญาภรณ์ ฯ ได้พิมพ์ทั้งในด้านภาษาไทย-อังกฤษไว้ ดังมีใจความดังนี้

Sensual craving arises through unwise thinking on the agreeable and delightful.

กามฉันท์ หรือกามตัณหา เกิดขึ้นจากความไม่ฉลาด หลงคิด เห็นอารมณ์ต่าง ๆ เป็นที่ถูกใจและน่ายินดี

It may be suppressed by the following ๖ methods:-

สามารถข่มไว้ได้ด้วยวิธีทั้ง ๖ ดังต่อไปนี้:-

๑. Fixing the mind upon an idea that arouses disgust.

เพ่งใจให้เห็นอสุภารมณ์ คือ อารมณ์ที่ปฏิกูล น่าเกลียดไม่งามของสังขารร่างกาย จนให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความรักใคร่ หายความกำหนัดยินดี

๒. Meditation upon the impurity of the body.

เพ่งพินิจ พิจารณาความปฏิกูลของร่างกาย (แยกออกเป็นอาการ ๓๒ ที่เรียกว่า กายคตาสติภาวนามี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น กระดูก เป็นต้น)

๓. Watching over the sin doors of sense.

ใช้สติสำรวมอินทรีย์ เฝ้าระวังทวารทั้ง ๖ (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อได้ประสบพบเห็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมมารมณ์ อย่าให้ความรักใคร่ กำหนัด ยินดียินร้าย เกิดขึ้นภายในจิตใจ)

๔. Moderation in eating

ให้รู้จักประมาณการบริโภคอาหาร อย่าให้อิ่มมากจนเกินไป จะเป็นเหตุให้เกิดความกำหนัดทางกายและลุกลามเข้าไปถึงจิตใจ ให้เกิดความเศร้าหมองด้วยฉันทราคะ

๕. Cultivation friendship with the good.

ทำความวิสาสะคบหาสมาคม สนทนาปราศรัย สนิทสนมคุ้นเคยกับกัลยาณมิตร เพื่อนผู้ดีงาม ที่จะชักชวนให้สนทนาไปในทางที่จะให้เสื่อมคลาย หายความรักใคร่ กำหนัด ยินดี และยินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

๖. Right instruction

ฝึกฝนปฏิบัติตนในทางที่ถูกต้อง ตามไตรสิกขา คือ :- ศีล สมาธิ ปัญญา

๑. พยายามกำจัดตัดกิเลส เครื่องเศร้าหมองอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมา ทาง กายวาจาด้วยศีล

๒. พยายามกำจัดตัดกิเลส เครื่องเศร้าหมองอย่างกลาง คือ นิวรณ์ ทั้ง ๕ มี กามฉันท์ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ด้วยสมาธิ ย่นย่อ นิวรณ์ ๕ ลงเป็น ๓ คือ:-

๑. ราคะโลภะ ๒. โทสะ ๓. โมหะ

๑. กามฉันท์นิวรณ์ ความพอใจในกามเป็น ฝ่ายราคะโลภะ

๒. พยาบาทนิวรณ์ ความขึ้งเคียดโกรธ เคือง เป็นฝ่ายโทสะ ที่เหลือ อีก ๓ คือ ถีนะมิทธะ ความหดหู่ง่วงเหงา อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน รำคาญ และ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยทั้ง ๓ นี้ เป็นฝ่ายโมหะ

๓. พยายาม กำจัด ตัดกิเลส อย่างละเอียด ที่เกิดจากทิฐิความเห็นด้วย ปัญญา ด้วยการพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งมี ลักษณะเกิดขึ้น เสื่อมสิ้นกันไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

The sensual craving is forever destroyed upon the entrance into Anagamiship.

กามฉันท์ หรือ กามตัณหานี้ สลัดกำจัดตัดได้อย่างเด็ดขาด ต่อเมื่อเข้าสู่กระแส พระอนาคามิมรรค บรรลุถึงพระอนาคามิผล

#ธมฺมวิตกฺโก #ภิกฺขุ
#พระยานรรัตนราชมานิต
(ตรึก จินตยานนท์)








เมื่อยามทุกข์ จงสลัดความกังวลทั้งหมด ให้เหลือแต่ใจเรา

หลวงพ่อปริญญา ธีรปัญโญ






#ขอเตือนญาติโยม

เมื่อเรายึดมั่น เอาพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งแล้ว อย่าเอาศาสนาอื่น ลัทธิอื่น เป็นที่พึ่งอีก

อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ดูหมอ แต่งแก้บูชา เสียเคราะห์เสียขวัญ เว้นจากการนับถือพระภูมิเจ้าที่ เทวดาบุตรเทวดา มนต์กลคาถาต่างๆ

#ถ้านับถือเมื่อไหร่
#ก็ขาดจากคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น

ปภากโรวาท
คติธรรมคำสอนหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร เกี่ยวกับการยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด
คัดลอกจากหนังสือ ร่มธรรม ร่มเย็น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO