นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 1:36 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พ้นทุกข์ได้
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 02 พ.ย. 2021 8:02 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
...อาตมามาจากสังคมที่ศาสนาหายไป แต่ยังเจอพระพุทธศาสนาที่เป็นต้นฉบับสมบูรณ์ ทำให้เห็นทางสำหรับตัวเอง ในประเทศไทยนี้

ซึ่งพระพุทธองค์สอนอย่างชัดเจน และเข้าถึงจิตใจชาวพุทธในประเทศไทยโดยไม่รู้สึกตัว

ดังนั้น ถ้าคนไทยไม่รักษาไว้ก็หายได้เหมือนกัน เพราะเป็นการสอนที่มีการปฏิบัติที่ลึกมาก

เพราะหลักพระพุทธศาสนาสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ การนั่งสมาธิมีผลกับสมอง อารมณ์ดีชั่วมีผลต่อร่างกายและจิตใจ การละความคิดอกุศล ทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ

อาตมาเองได้สัมผัสกับประเทศของอาตมา ชาวเยอรมันล้วนให้เกียรติพระพุทธศาสนาเพราะมีเหตุผล ไม่ชักชวนในทางที่งมงาย สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง...

พระครูอุบลภาวนาวิเทศ
(พระอาจารย์เฮนนิ่ง เกวลี)
วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี








“คนฉลาดจะรอฉลองวันไม่เกิด”

ธรรมะรุ่งอรุณ
๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

พวกเรามักจะคิดว่าการเกิดนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะเราคิดว่าเมื่อเราเกิดแล้วเราจะได้ใช้ร่างกายไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ ไปหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เราจึงมักจะชอบฉลองวันเกิดกัน พอถึงวันครบรอบวันเกิดนี้แทนที่เราจะหวาดกลัวเสียใจ เรากลับไปดีใจที่เราได้มาเกิดกัน มาฉลองวันเกิดกัน เพราะว่าเรายังไม่ได้มองไปไกลกว่าปัจจุบันของร่างกายที่ยังแข็งแรง ที่ยังมีความสามารถที่จะหาความสุขต่างๆ ให้กับเราได้อยู่นั่นเอง แต่ถ้าเราเฉลียวสักนิดฉลาดสักหน่อย คือมองไกลจากปัจจุบัน เราก็จะเห็นอนาคตของร่างกายของพวกเราว่า นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่มองไปข้างหน้ากัน เรามองแต่ในปัจจุบัน มองในขณะที่ร่างกายของเราแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของเรา พร้อมที่จะพาเราไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เราก็เลยชอบฉลองวันเกิดกัน พอครบรอบวันเกิดครั้งหนึ่งก็ฉลองวันเกิดกันใหญ่โดยไม่รู้สึกตัวว่ากำลังฉลองความทุกข์กัน ฉลองความทุกข์ที่จะตามมาต่อไปในอนาคต

เพราะว่าร่างกายของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะรวยจะจนจะใหญ่จะเล็กนี้จะต้องเจอกับความแก่ เจอกับความเจ็บไข้ได้ป่วย เจอกับความตายด้วยกันทุกคน ดังนั้นคนฉลาดถึงมักจะไม่ฉลองวันเกิดกัน คนฉลาดนี้จะรอฉลองวันไม่เกิดกัน วันที่ไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขอีกต่อไป จะฉลองในวันนั้นว่า บัดนี้เราไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขให้กับเราแล้ว เราไม่ต้องพึ่งร่างกายอีกต่อไปแล้ว ร่างกายจะเป็นจะตายไม่เป็นปัญหากับเราอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป ร่างกายที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้จะเป็นร่างกายอันสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะเราไม่ต้องการที่จะมาเจอความทุกข์จากร่างกายนี้เอง นี่แหละคือพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ท่านเป็นคนฉลาด ท่านจะฉลองวันไม่เกิดกัน แต่พวกเรานี้เรายังเป็นคนไม่ฉลาด เรายังไม่เห็นความทุกข์ที่มีกับการมาเกิด กับการมามีร่างกายกัน เราก็เลยมาฉลองต้อนรับร่างกายของเรากัน เพราะเราคิดว่าเรามีเครื่องมืออันวิเศษ คือมีร่างกายที่จะคอยหาความสุขต่างๆให้กับเรานั่นเอง แต่เราลืมไปว่าร่างกายนี้ไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องเข้าสู่ความแก่ เข้าสู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย และเข้าสู่ความตาย และบางทีอาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยก่อนแก่ก็ได้ และตายก่อนที่จะป่วยหรือจะแก่ก็ได้ บางคนตายแบบกะทันหัน ร่างกายยังแข็งแรงเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ไปเจออุบัติเหตุอุบัติภัยเข้า รถคว่ำตายบ้าง ถูกเขาฆ่าตายบ้าง นี่เป็นเรื่องของร่างกายของพวกเราทุกคน ที่พวกเราไม่ควรที่จะประมาทนอนใจ ไม่ควรที่จะหลงใหลไปกับความเข็งแรงของร่างกายของเราในขณะนี้ เราต้องพยายามมองไปข้างหน้า เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเราทุกคนไม่มีข้อยกเว้น

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าร่างกายของพวกเราทุกคน “เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ได้ ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้” ให้เราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ และอีกอย่างหนึ่งที่เราล่วงพ้นไปไม่ได้ก็คือการพลัดพรากจากกัน เพราะเราจะไม่ได้อยู่ร่วมกันไปตลอดไม่ว่าจะรักกันมากขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหายเป็นพ่อแม่ลูกกันก็ยังต้องมีการพลัดพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ไม่จากกันตอนเป็นก็ต้องจากกันตอนตาย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเรามาศึกษามาสอนตัวพวกเราให้รู้ว่าอนาคตของร่างกายของพวกเราจะเป็นอย่างไร เราจะได้ไม่ไปหลงระเริงกับการมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงในขณะนี้ แล้วเราจะได้เริ่มคิดเปลี่ยนวิธีหาความสุขกันว่า วิธีที่เราหาความสุขแบบนี้มันจะต้องเจอกับความหายนะในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเหมือนเรือที่เรานั่งอยู่ก็เป็นเรือที่จะต้องจมลง

เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรือจะจมนี้เราจะต้องเตรียมชูชีพกันเอาไว้ ก่อนที่จะลงเรือที่จะจมนี้เราต้องเตรียมชูชีพเพราะว่าเวลาที่เรือจมเราจะได้อาศัยชูชีพช่วยพยุงร่างกายของเราไม่ให้จมลงไปกับเรือนั่นเอง ฉันใดร่างกายของพวกเรานี้ก็เป็นเหมือนเรือที่พาเราล่องในทะเลหาความสุข เหมือนพวกเรือสำราญต่างๆ เรือสำราญนี่เขามีเครื่องอำนวยความสุขเหมือนกับอยู่บนดินเลย มีความสุขทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย การบันเทิงมหรสพอะไรต่างๆ มีพร้อมให้ผู้ที่โดยสารในเรือนั้นเพลิดเพลินโดยไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางทะเล และมีโอกาสที่เรือจะล่มได้ ถ้าเกิดวันดีคืนดีเรือไปเจอมรสุมเกิดพายุทำให้เรือล่มลง ผู้ที่อยู่ในเรือถ้าไม่มีชูชีพเตรียมไว้ก่อนก็ต้องจมลงไปกับเรือ ร่างกายของพวกเรานี้ก็เป็นเหมือนเรือที่พวกเราอาศัยกันอยู่ เรือสำราญที่พาให้เราไปหาความสุขชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้กัน แต่พวกเราลืมไปว่าเรือที่พวกเราอาศัยอยู่นี้มันจะต้องอับปางลงวันใดวันหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้เตรียมชูชีพเอาไว้เวลาเรืออับปางเรือล่มลงเราก็จะต้องจมลงไปกับเรืออย่างแน่นอน

นี่คือสิ่งที่เราควรที่จะรำลึกอยู่เรื่อยๆ สอนใจอยู่เรื่อยๆ ว่าเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนเรือที่จะต้องอับปางกลางทะเล ถ้าเราไม่อยากที่จะต้องจมน้ำลงไปกับเรือก็อย่าลงเรือ หรือถ้าลงเรือแล้วก็เตรียมหาชูชีพ การไม่ลงเรือก็คือการอย่ากลับมาเกิด แต่ถ้าเมื่อเกิดแล้วเราก็ต้องมาเปลี่ยนวิธีหาความสุขกัน มาเปลี่ยนวิธีที่จะไม่ต้องทำให้เราต้องพึ่งร่างกายกัน ให้เราเปลี่ยนที่พึ่งใหม่ ให้เราเตรียมชูชีพขึ้นมาเวลาที่ร่างกายอับปางเวลาที่ล่มจมเราจะได้มีชูชีพที่จะพยุงให้จิตใจของพวกเรานี้ไม่ล่มจมไปกับร่างกาย ชูชีพนี้ก็คือการปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านี่เอง ปฏิบัติ ศีล สมาธิ และปัญญา

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี








งดงามในเบื้องต้น
งดงามในท่ามกลาง
งดงามในที่สุด

สองพรรษาก่อนมรณภาพ หลวงปู่เทสก์ เทสรงํสี ได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์วัดหินหมากเป้งว่า

“ผมจะไปวิเวกเพื่อภาวนาที่วัดถ้ำขาม ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะแก่การบําเพ็ญเพียร ขอให้พวกท่านจัดการดูแลวัดต่อไป ผมทําไว้ให้สมบูรณ์แบบ เพียบพร้อมแล้วทุกสิ่งอย่าง หมดหน้าที่ของผมแล้ว”

จากนั้นท่านได้ออกจากวัดหินหมากเป้งไปแต่ตัว มุ่งไปที่วัดถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร ท่านพักอยู่ที่วัดนี้ในฐานะผู้อาศัย ห้องพักของท่านเป็นถ้ำจริง ๆ ต่างจากที่พักโถงใหญ่ที่วัดหินหมากเป้ง แม้หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี จังหวัดมุกดาหาร ได้เคยเดินทางมาทักท้วงว่า

" หลวงปู่เทสก์มีวัดใหญ่ วัดสาขา และลูกศิษย์อีกมากมายต้องดูแลอบรม มาทิ้งไปได้อย่างไร"

หลวงปู่เทสก์ตอบว่า “ไม่ทิ้งไปวันนี้ ก็ต้องทิ้งไปในวันข้างหน้า”

ในวันมรณภาพ พระที่ปฏิบัติท่าน ๒ รูป ได้พยุงท่านไปเดินจงกรมที่ระเบียงหน้าห้อง ทำกิจข้อวัตรปฏิบัติประจำวัน แต่เย็นวันนั้นท่านขอพักเร็วกว่าทุกวันโดยบอกกล่าวเพียงว่า

“เหนื่อยแล้ว ขอพักก่อน”

เมื่อเข้าที่พัก ท่านก็เอนตัวลงนอนในท่าสีหไสยาสน์ดังที่เคยทำเป็นประจำ จนถึงเวลา ๒๐.๐๐ น. พระที่เฝ้าอยู่เห็นท่านนอนพักนานผิดปกติในท่าสีหไสยาสน์เดิม ไม่เปลี่ยนท่าเลย จึงเข้าไปจับปลายเท้าของหลวงปู่เขย่า แต่หลวงปู่นอนนิ่งไม่ตอบสนองจึงช่วยกันตรวจสอบและดูลมหายใจที่ปลายจมูก พบว่าท่านละสังขารแล้วโดยสงบอย่างแท้จริง

บรรยากาศขณะนั้นเงียบสนิท ไร้เสียงจักจั่นเรไร ใบไม้นิ่งไม่สั่นไหวเหมือนที่เคยเป็น มีแต่ความสว่างไสวของพระจันทร์ในค่ำคืนวันเพ็ญ แสดงให้เห็นว่า หลวงปู่ครองสติได้อย่างมั่นคง แยกจิตแยกกายได้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ปล่อยให้ทุกขเวทนาจากความง่วงเหงาหรือความเจ็บปวดทุรนทุรายของระยะสุดท้ายมาทำให้เสียสภาพท่าสีหไสยาสน์ของท่าน ท่านปล่อยวางสังขารของท่านได้อย่างสง่างาม

นับว่าหลวงปู่เทสก์เป็นพระอาจารย์ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ คือสอนก็ได้ ปฏิบัติให้ดูก็ได้ ให้ประจักษ์อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งในทุกหมวดธรรมโดยเฉพาะเรื่องการปล่อยวาง อุเบกขา จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ เข้าถึงภาวะที่ดีงามแท้ระดับวิมุตติอย่างประเสริฐสุด

พระครูพิสุทธิธรรมรังสี (จิรศักดิ์ ขันติพโล)
เจ้าอาวาสวัดเทสรังสี ผู้รับใช้หลวงปู่มาไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปีเล่าฯ











โอวาทธรรม ๒๐๑

การงานทุกอย่างคือการเสียสละ
คือการเจริญสติสัมปชัญญะ

เราทำงานทุกวันนี้ เราไม่ได้คิดเรื่องเสียสละนะ เราคิดแต่เรื่องรวย กับเรื่องเงิน เราทำงานเพื่อจะเอาเงินเอาสตางค์ เพื่อที่จะรวย ถ้าเราคิดว่าเพื่อเสียสละ เราก็มีความสุขน่ะ การงานนั้นมันก็ยิ่งทำให้เรารวยพร้อมทั้งเรารวยอริยทรัพย์ ใจของเราก็ไม่ถูกกิเลสมันเผาเป็นทุกข์ประจำวัน มันก็มีแต่ความสุข

ความสุข ความสงบนั้นน่ะ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คนเราทุกคนให้พากันรู้นะ อย่าพากันอยากอย่าพากันต้องการ ถ้าเราเสียสละนะ ใจของเราจะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์น่ะ ใจของเราจะไม่ถูกกิเลสมันเผา เราจะเป็นคนเผากิเลส

ถ้าใจของเราสงบ ใจของเราเย็นอย่างนี้ แสดงถึงว่า เรามีสมาธิในชีวิตประจำวัน คนเรามันต้องมีความสุขความดับทุกข์น่ะ เค้าเรียกว่า มีปิติ มีสุข มีเอกัคคตา ทุกเมื่อทุกเวลาในชีวิตประจำวันถึงจะถูกต้อง

โอวาทธรรมตอนหนึ่งจากหนังสือ
“ธรรมะใจดี ใจสบาย ๕”
หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
#โอวาทธรรมใจดีใจสบาย









หลวงปู่สนั่น ท่านเล่าเรื่องท่านพ่อลี ธมฺมธโร ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งว่า "พูดก็พูดเถอะ สาธุ!...ท่านพ่อลี ท่านทำอะไร ทำจริงเด็ดขาด ท่านพ่อลีเทียบให้ฟังว่า..ไก่บ้านไก่ป่า ไก่บ้านขันคอยาว ไก่ป่าขันเอิ๊กเดียวแล้วก็บินไป อาศัยความเด็ดขาดว่องไวเฉียบแหลม ท่านพ่อลีสอนว่า...ให้สร้างตัวเองก่อนเถอะแล้วค่อยสร้างวัดวา”

หลวงปู่สนั่น จิณฺณธมฺโม
(วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ)







..."การปฏิบัติบูชา"
เป็นการบูชาที่แท้จริง
ถ้าเราปฏิบัติตามที่ท่านสอนให้เราปฏิบัติ
คือทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
ก็ถือว่าได้บูชาพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์แล้ว
เป็นการบูชาที่แท้จริง คือ "ปฏิบัติบูชา" .
................................
คัดลอก(กำลังใจ49)กัณฑ์413
ธรรมะบนเขา 27/6/2553
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








บางคนให้ทานได้อย่างเดียว แต่เป็นทาน
ขั้นสูง ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ให้ด้วยจิตว่าง
โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

บางคนเจริญสติภาวนา ได้ในขั้นต้น ทำทาน
ไม่เป็น รักษาศีลได้บ้างไม่ได้บ้าง คนมีหลาย
จำพวก หลายจริต เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
แต่เรารู้ว่าเราเป็นเรา

เราเป็นเราในที่นี้ คือ เราอยากมีความสงบสุข
ความสงบสุข สบายใจ ก็ไม่ได้เกิดที่ไหนได้เลย
นอกจากที่ใจ จะทำให้ใจมันเย็นได้ ก็ต้องรู้จัก
ปล่อยวาง ละ รู้จักให้อภัยกัน

อย่างเช่น เมื่อถูกยุงกัด แทนที่จะตบมัน
เพราะโกรธที่มาทำให้เราเจ็บ คนที่ให้ทาน
เป็นก็น้อมนำว่า ยุงมันหิว ให้มันกินเลือด
นิดเดียว ยอมทนเจ็บ อภัยให้มัน คือรู้จักให้
อภัยทานแบบคนทำทานเป็น คนที่รักษาศีล
เป็น เค้าก็จะรู้ว่า ถ้าตบมันเป็นปาณาติปาต
เค้าก็จะไม่ทำ คนที่เจริญสติเป็น อาจจะให้
อภัยได้โดยการน้อมนำว่า เรามีจิตที่เจริญ
แล้ว ย่อมมีความยับยั้ง มีความเมตตาต่อสัตว์
ที่ไม่มีโอกาสได้เจริญสติ อภัยทานให้ เหล่านี้
เป็นการชำระความโกรธ ด้วยธรรมข้ออภัยทาน

เมื่อเห็นคนที่ให้ทานไม่เป็น เช่น วิทยาทาน
ไม่ยอมสอนการบ้านเพื่อน ทั้งๆที่ไม่ได้เสีย
อะไรเลย คนที่ทำทานเป็นก็ควรมีอภัยทาน
ให้อภัยเค้า เพราะถ้าเค้ารู้จักให้ทาน เค้าคง
ไม่ทำแบบนี้ เราก็สอนซะเองเลย

เมื่อคนที่ทำทานเป็น พูดเรื่องศีล แต่พูดถูกๆ
ผิดๆ เพราะเขาเพิ่งจะหัดรักษาศีล คนที่รักษา
เป็นแล้ว ย่อมมีความเมตตาว่า เราจะไม่โต้ตอบ
ด้วยคำพูดที่ส่อเสียด เพราะเราเป็นผู้ที่รักษาศีล
เป็นแล้ว ย่อมให้อภัยแก่ผู้ที่รักษาศีลไม่เป็น
จะช่วยเมตตา แนะนำตามภูมิของเรา

คนที่เจริญสติเป็นแล้ว เห็นความไม่พอใจ
เกิดได้แล้ว สามารถระงับความไม่พอใจที่เกิด
ขึ้น หากมีผู้ใดแสดงออกทาง กาย วาจา ใจ
ให้ความไม่พอใจเกิดขึ้น เราจะระงับใจว่า
เพราะเขาไม่มีสติ เจริญสติไม่เป็น ไม่สามารถ
ยับยั้งการพูด การแสดงออก ไม่สามารถดูแล
จิตใจตัวเองได้ เราย่อมให้อภัยทานแก่ผู้ที่
ปฏิบัติได้น้อยกว่าด้วยความเมตตา ผู้มีสติ
ปัญญามากกว่า ย่อมหาความสงบสุขให้แก่
ใจ ด้วยอภัยทาน

ดังนั้นผู้ที่มีปัญญาแล้ว ย่อมอย่าให้ความโกรธ
อย่าให้กิเลสควบคุมจิตใจ หากมีการพลั้งเผลอ
เราก็ให้อภัยตัวเอง ยกโทษให้ตัวเอง เอาความ
ผิดครั้งนี้ไปปรับปรุง ด้วยว่ากำลังสติยังน้อย
ไม่ต่อเนื่อง รู้จักดูแลไม่ให้จิตเจือด้วยความ
ทุกข์ ด้วยกิเลส โดยอภัยทาน

พระธรรมคำสอน
พระคุณหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่








#พระท่านสอนว่า_อุทกภัย_โจรภัย
อัคคีภัย วาตะภัย
ภัยทั้งสี่นี้มีอยู่แล้วประจำโลกเรา มันจะค่อย ๆ
มาหาเรา น้ำมันก็จะมาท่วมเรา ไฟมันก็จะมาไหม้เรา
ไหม้ของเรา สารพัดอย่าง ภัยของโลก
มันจะเป็นอยู่อย่างนี้

พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า
อันนั้นมันเป็นแค่เพียงภัยภายนอก
เรารักษาให้ดี อย่างเต็มที่แล้วนั้น มันไม่ฟัง มันจะพัง
หรือโจรจะขโมย ก็ให้ขโมยไปเถิด
อย่าให้มันขโมยใจเรา ไฟ รักษาอย่างดีที่สุดแล้ว

มันจะไหม้บ้านเรา ก็ให้มันไหม้ไปเถิด
อย่าให้มันไหม้ใจเรา น้ำมันจะท่วมนั้น
ป้องกันหมดสติปัญญาแล้วนั้น ห้ามก็ไม่ฟัง
ก็ปล่อยให้มันท่วมไป อย่าให้มันท่วมใจเรา
ฟังให้ดีนะ ฟังให้ดี !!

ถ้าไฟไหม้ใจเรา ถ้าน้ำท่วมใจเราแล้ว
เสียหมดทุกอย่าง ไฟไหม้บ้านก็ตาม
น้ำท่วมบ้านก็ตาม แต่ถ้าใจเรายังอยู่แล้ว
โอ้ว.. อย่างเมืองอุบลนี้ ไฟไหม้เมืองอย่างนี้
แต่ถ้าใจเรายังอยู่ บ้านจะหลังใหญ่กว่าเดิมอีก
สวยกว่าเดิมอีกนะ ตัดถนนใหม่
สวยงาม เพราะใจเรายังอยู่

แต่ถ้ามันไหม้ มันท่วมถึงใจแล้ว
โอ้ย...ช๊อคตายไปแล้วก็มี
บ้านก็ไม่ได้ เรือนก็ไม่ได้เสียหายหมด
บ้า ๆ บอไปอย่างนั้น ให้พากันรู้จักอย่างนั้น
ภัยของโลกมันเป็นของประจำโลกอย่างนั้น.

ธรรมะคำสอนหลวงปู่ชา สุภัทโท
เทศน์อิสาน
เรื่อง ภัยสี่ประการ-ทิฐิมานะ







#เรายอมรับว่าเป็นความจริง..!!!

"...ที่ว่าพระต่าง ๆ มุ่งเผยแพร่สำนักหรือลัทธิ
ของสำนักตน
มากกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า จนเป็นที่
น่าเกลียดจริง ๆ
และมุ่งทำมุ่งประกาศอย่างออกหน้าออกตา
จนน่าเอือม ...
โดยไม่สนใจว่าใครจะหัวเราะบ้างเลย จนกลายเป็นพวกหน้าด้าน
สันดานเลว​ ในความรู้สึกของท่านผู้มีธรรม
ในใจไม่ลำเอียง
พวกนี้คงไม่ใช่​ ผู้ประกาศศาสนธรรมให้เจริญในหัวใจคน
มากไปกว่าเที่ยวเหยียบย่ำหัวใจคน กรุณาคัดเลือกเองเถิด
แม้แต่อาหารในถ้วยในชามยังมีก้างมีกระดูก
นี่ก็เหมือนกัน
คนมีกิเลสเต็มหัวใจประกาศสอนธรรม ย่อมไม่พ้นความถูกกิเลส
จูงจมูกเหมือนควายจนได้นั่นแล... "

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน
#คัดจากหนังสือ_เมตตาธรรม









“สวดมนต์ ต้องสวดทุกวัน
มันต้องมีสักวัน ที่จิตของเราเป็นสมาธิ
คิดดีกับคนอื่น ไม่คิดโกรธเกลียดใคร
นั้นเป็นการอโหสิกรรมไปในตัว
แล้วการแผ่เมตตาก็จะได้ผล
ถ้ายังคิดไม่ดีกับเขา แผ่ไปก็ไม่ได้ผล”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม








"..ถ้าใจไปถือเอา เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ
ว่าเป็นตัวของตัว
ก็ไม่เป็นผู้รู้ อีกแหละ

ตัวไปรับเอาเวทนา
ว่าสบายนั้น เป็นตัวไม่รู้
เราก็เข้าไปหาตัวที่มันรู้
ตัวที่เป็นกลางนั้น
ตามความรู้สึกว่า
ผู้รู้อยู่นั้นแหละเป็นใจ

สบาย ไม่สบาย
เป็นอาการของใจ
เรียกว่า เวทนา
ในขณะที่มันเกิดสบาย
ไม่สบายนั้นแหละ
ให้กำหนดเข้าสู่จุดรู้

ไม่ต้องไปละเวทนา
มันหรอก เข้าไปสู่
จุดดวงรู้ เป็นกลาง
วางความสบายไม่สบาย
ซะ อย่าไปเอาใจใส่
หรืออย่าไปสนใจ
ความสบายไม่สบายนั้น

เข้าสู่จุดรู้
ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์
บอกใจตัวเองอย่างนั้น
ประคองใจให้มันรู้อยู่
เพียงจุดเดียวเท่านั้น.."

โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท







เทศนาธรรมชื่อ “#ฉลาดในการรักษาจิต” พอฟังแล้วก็ได้อุบายธรรมปัญญาเรื่องจิตจากหลวงปู่

#หลวงปู่ชา ท่านได้อธิบายเปรียบแมงมุมกับจิตไว้ชัดเจนมาก จึงอยากจะมาเล่าสู่กันฟังจากการถอดเทปเทศนาธรรมของหลวงปู่ดังนี้

ไปนั่งกำหนดอยู่ที่สงบๆ เห็นอารมณ์ชัด จนมีรูปเปรียบขึ้นมาคล้ายๆ กับรังแมงมุม

แมงมุมจะไปทำรัง มันจะขยายใยมันออกไปทางโน้นทางนี้ ตัวมันเองจะจับกลางรัง มันจะเฉ๊ย เก็บตัวเงียบ ไม่ดุกดิก

เมื่อแมลงผึ้ง แมลงวันมาติดรังปุ๊บ มันก็วิ่งชาร์จเข้าไปจับ จับแมลงไว้ แล้วก็วิ่งกลับมาอยู่ที่เดิม.

ท่านกล่าวอธิบายต่อไปว่าแมงมุมมันมักวิ่งไปจับแมลงอะไรก็ตามที่มาติดกับ แล้วอีกสักพักท่านก็กล่าวว่า...

ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เหมือนรังแมงมุม
จิตก็เหมือนตัวแมงมุม.

ปล. เคยฟังพระธรรมเทศนาของ หลวงปู่คูณ สิริจันโท ท่านก็พูดถึงการเปรียบเทียบจิตกับแมงมุมเช่นเดียวกัน เราได้อุบายธรรมมาพิจารณาดีมาก จับหลักได้เพราะแมงมุมนี่แหละ








หลวงปู่เปลี่ยน..
ท่านได้ตักเตือนว่า..

การบริจาคและการใส่บาตรกับพระอาจารย์ยังไม่เพียงพอ ต้องปฏิบัติธรรมเองด้วย จึงจะสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบบวรพุทธศาสนา

โดยเฉพาะได้มาพบพระที่ปฏิบัติ ยิ่งจะต้องเร่งการภาวนาตนเองให้มากขึ้น

ประวัติ
#หลวงปู่เปลี่ยน #ปัญญาปทีโป









เอาสติจดจ่ออยู่กับกายกับใจทุกอิริยาบถ #นั่นแหละคือการภาวนา

....การภาวนานี้ มิใช่ท่านหมายเอาการเดินจงกรมตลอดวัน นั่งสมาธิตลอดคืน ความจริงแล้ว ท่านหมายเอาผู้ที่มีสติจดจ่ออยู่กายกับใจ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นประจำอยู่

การภาวนาไม่มีกาลมีเวลา เรียกว่า อกาลิโก เว้นเสียแต่นอนหลับ จะพูดจะคุยอยู่ก็เรียกว่าภาวนา ถ้ามีสติอยู่ เพราะสิ่งใด ถ้าเกี่ยวกับจิตใจ จัดว่าเป็นภาวนาทั้งนั้น

อย่างแสดงธรรมจัดเป็นภาวนา ผู้ที่นั่งฟังธรรมก็จัดว่าภาวนาเพราะตั้งใจฟัง เรียกว่าสัทธัมมัสสวนมัย สัทธัมมัสเทศนามัย ท่านก็จัดเข้าในภาวนาทั้งสิ้น ตกลงภาวนานี้ สร้างความไม่ประมาท คือพยายามสร้างสติ.

"#หลวงปู่คำดี #ปภาโส"







#ปฏิบัติธรรม #ขอให้ตั้งใจทำจริง

คนจริงเท่านั้นที่จะพ้นทุกข์ได้
โลกนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนสมหวัง

ควรระวังอย่าให้จิต ติดข้องยึดถือ
ความติดโลก พ้นโลก อยู่ที่จิต
อย่าหาที่อื่น ดูที่อื่น จะไม่มีวันเจอ

#หลวงปู่สิงห์ทอง #ธัมมวโร










เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี
อาศัยบุญบารมี นำดวงจิตนี้
ให้พ้นทุกข์ไปตามลำดับ

ไม่ใช่ว่ามาเกิดเล่น
มาแสวงหาความสุขชั่วคราว
ไม่ได้ประโยชน์อะไร

#หลวงปู่เหรียญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO