นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 7:36 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ตัดกิเลส
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 พ.ย. 2021 4:56 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
"การให้อภัยนั้นไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงอดีตได้กะจริง
เเต่มันอาจจะเปลี่ยนเเปลงอนาคตเราได้"

“เมตตาละดีที่สุด”

ธรรมโอวาท
หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต
22 พฤษภาคม 2564






…การปฏิบัตินี้
“ ต้องตัดความกังวลต่างๆ ออกไป “

.ถ้ามีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาให้กังวลใจ
“ นั่งสมาธิแล้ว..จะไม่สงบ”.
………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓









“คนฉลาดจะรอฉลองวันไม่เกิด”
ธรรมะรุ่งอรุณ
๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

พวกเรามักจะคิดว่าการเกิดนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะเราคิดว่าเมื่อเราเกิดแล้วเราจะได้ใช้ร่างกายไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ ไปหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เราจึงมักจะชอบฉลองวันเกิดกัน พอถึงวันครบรอบวันเกิดนี้แทนที่เราจะหวาดกลัวเสียใจ เรากลับไปดีใจที่เราได้มาเกิดกัน มาฉลองวันเกิดกัน เพราะว่าเรายังไม่ได้มองไปไกลกว่าปัจจุบันของร่างกายที่ยังแข็งแรง ที่ยังมีความสามารถที่จะหาความสุขต่างๆ ให้กับเราได้อยู่นั่นเอง แต่ถ้าเราเฉลียวสักนิดฉลาดสักหน่อย คือมองไกลจากปัจจุบัน เราก็จะเห็นอนาคตของร่างกายของพวกเราว่า นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่มองไปข้างหน้ากัน เรามองแต่ในปัจจุบัน มองในขณะที่ร่างกายของเราแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของเรา พร้อมที่จะพาเราไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เราก็เลยชอบฉลองวันเกิดกัน พอครบรอบวันเกิดครั้งหนึ่งก็ฉลองวันเกิดกันใหญ่โดยไม่รู้สึกตัวว่ากำลังฉลองความทุกข์กัน ฉลองความทุกข์ที่จะตามมาต่อไปในอนาคต

เพราะว่าร่างกายของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะรวยจะจนจะใหญ่จะเล็กนี้จะต้องเจอกับความแก่ เจอกับความเจ็บไข้ได้ป่วย เจอกับความตายด้วยกันทุกคน ดังนั้นคนฉลาดถึงมักจะไม่ฉลองวันเกิดกัน คนฉลาดนี้จะรอฉลองวันไม่เกิดกัน วันที่ไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขอีกต่อไป จะฉลองในวันนั้นว่า บัดนี้เราไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขให้กับเราแล้ว เราไม่ต้องพึ่งร่างกายอีกต่อไปแล้ว ร่างกายจะเป็นจะตายไม่เป็นปัญหากับเราอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป ร่างกายที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้จะเป็นร่างกายอันสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะเราไม่ต้องการที่จะมาเจอความทุกข์จากร่างกายนี้เอง นี่แหละคือพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ท่านเป็นคนฉลาด ท่านจะฉลองวันไม่เกิดกัน แต่พวกเรานี้เรายังเป็นคนไม่ฉลาด เรายังไม่เห็นความทุกข์ที่มีกับการมาเกิด กับการมามีร่างกายกัน เราก็เลยมาฉลองต้อนรับร่างกายของเรากัน เพราะเราคิดว่าเรามีเครื่องมืออันวิเศษ คือมีร่างกายที่จะคอยหาความสุขต่างๆให้กับเรานั่นเอง แต่เราลืมไปว่าร่างกายนี้ไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องเข้าสู่ความแก่ เข้าสู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย และเข้าสู่ความตาย และบางทีอาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยก่อนแก่ก็ได้ และตายก่อนที่จะป่วยหรือจะแก่ก็ได้ บางคนตายแบบกะทันหัน ร่างกายยังแข็งแรงเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ไปเจออุบัติเหตุอุบัติภัยเข้า รถคว่ำตายบ้าง ถูกเขาฆ่าตายบ้าง นี่เป็นเรื่องของร่างกายของพวกเราทุกคน ที่พวกเราไม่ควรที่จะประมาทนอนใจ ไม่ควรที่จะหลงใหลไปกับความเข็งแรงของร่างกายของเราในขณะนี้ เราต้องพยายามมองไปข้างหน้า เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเราทุกคนไม่มีข้อยกเว้น

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าร่างกายของพวกเราทุกคน “เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ได้ ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้” ให้เราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ และอีกอย่างหนึ่งที่เราล่วงพ้นไปไม่ได้ก็คือการพลัดพรากจากกัน เพราะเราจะไม่ได้อยู่ร่วมกันไปตลอดไม่ว่าจะรักกันมากขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหายเป็นพ่อแม่ลูกกันก็ยังต้องมีการพลัดพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ไม่จากกันตอนเป็นก็ต้องจากกันตอนตาย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเรามาศึกษามาสอนตัวพวกเราให้รู้ว่าอนาคตของร่างกายของพวกเราจะเป็นอย่างไร เราจะได้ไม่ไปหลงระเริงกับการมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงในขณะนี้ แล้วเราจะได้เริ่มคิดเปลี่ยนวิธีหาความสุขกันว่า วิธีที่เราหาความสุขแบบนี้มันจะต้องเจอกับความหายนะในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเหมือนเรือที่เรานั่งอยู่ก็เป็นเรือที่จะต้องจมลง

เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรือจะจมนี้เราจะต้องเตรียมชูชีพกันเอาไว้ ก่อนที่จะลงเรือที่จะจมนี้เราต้องเตรียมชูชีพเพราะว่าเวลาที่เรือจมเราจะได้อาศัยชูชีพช่วยพยุงร่างกายของเราไม่ให้จมลงไปกับเรือนั่นเอง ฉันใดร่างกายของพวกเรานี้ก็เป็นเหมือนเรือที่พาเราล่องในทะเลหาความสุข เหมือนพวกเรือสำราญต่างๆ เรือสำราญนี่เขามีเครื่องอำนวยความสุขเหมือนกับอยู่บนดินเลย มีความสุขทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย การบันเทิงมหรสพอะไรต่างๆ มีพร้อมให้ผู้ที่โดยสารในเรือนั้นเพลิดเพลินโดยไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางทะเล และมีโอกาสที่เรือจะล่มได้ ถ้าเกิดวันดีคืนดีเรือไปเจอมรสุมเกิดพายุทำให้เรือล่มลง ผู้ที่อยู่ในเรือถ้าไม่มีชูชีพเตรียมไว้ก่อนก็ต้องจมลงไปกับเรือ ร่างกายของพวกเรานี้ก็เป็นเหมือนเรือที่พวกเราอาศัยกันอยู่ เรือสำราญที่พาให้เราไปหาความสุขชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้กัน แต่พวกเราลืมไปว่าเรือที่พวกเราอาศัยอยู่นี้มันจะต้องอับปางลงวันใดวันหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้เตรียมชูชีพเอาไว้เวลาเรืออับปางเรือล่มลงเราก็จะต้องจมลงไปกับเรืออย่างแน่นอน

นี่คือสิ่งที่เราควรที่จะรำลึกอยู่เรื่อยๆ สอนใจอยู่เรื่อยๆ ว่าเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนเรือที่จะต้องอับปางกลางทะเล ถ้าเราไม่อยากที่จะต้องจมน้ำลงไปกับเรือก็อย่าลงเรือ หรือถ้าลงเรือแล้วก็เตรียมหาชูชีพ การไม่ลงเรือก็คือการอย่ากลับมาเกิด แต่ถ้าเมื่อเกิดแล้วเราก็ต้องมาเปลี่ยนวิธีหาความสุขกัน มาเปลี่ยนวิธีที่จะไม่ต้องทำให้เราต้องพึ่งร่างกายกัน ให้เราเปลี่ยนที่พึ่งใหม่ ให้เราเตรียมชูชีพขึ้นมาเวลาที่ร่างกายอับปางเวลาที่ล่มจมเราจะได้มีชูชีพที่จะพยุงให้จิตใจของพวกเรานี้ไม่ล่มจมไปกับร่างกาย ชูชีพนี้ก็คือการปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านี่เอง ปฏิบัติ ศีล สมาธิ และปัญญา

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี








#วิธีปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงพระโสดาบัน
#ต้องปฏิบัติอย่างไร..!!

#พระอาจารย์สุชาติ :: ต้องทำบุญ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ แล้วพิจารณาร่างกายว่าไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ปล่อยวางร่างกายได้ ไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นโสดาบันได้ ถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังเป็นไม่ได้ แสดงว่ายังยึดติดกับร่างกายอยู่ ต้องเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา มันต้องแก่ เจ็บ ตาย

เหมือนกับเราเห็นร่างกายของคนอื่น ร่างกายของคนอื่น เราไปทุกข์กับเขามั๊ย เขาแก่ เขาเจ็บ เขาตาย เรานี้ไม่ทุกข์เลยใช่มั๊ย ร่างกายของเราก็เหมือนร่างกายของเขา เพียงแต่เรามาครอบครอง มายึดเป็นของเรา เราก็เลยไม่อยากให้มันแก่ เจ็บ ตาย พอไม่อยากมันก็เลยทุกข์ ก็ต้องไม่อยากไปอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ปล่อยมันแก่ไป เจ็บไป ตายไป

ถ้าอยากรู้ว่าปล่อยได้หรือไม่ ก็ลองไปทดสอบดู นั่งให้มันเจ็บ ปล่อยให้มันเจ็บไป ไม่ต้องลุก ไม่ต้องขยับ ปล่อยให้มันเกิดดับไปของมันเอง เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ความเจ็บเดี๋ยวมันก็หายไป เกิดแล้วก็ดับไป ถ้าปล่อยได้ก็แสดงว่าปล่อยความเจ็บได้แล้ว ความตายปล่อยได้มั๊ย ก็ลองไปอยู่ป่าช้าดู ไปที่ไหนมันน่ากลัวดู ดูไปแล้วใจกลัวหรือเปล่า ใจทุกข์หรือเปล่า ยอมตายหรือเปล่า ถ้ายอมตายได้ก็ไม่กลัวแล้ว ไม่กลัวก็หายทุกข์ แสดงว่าปล่อยแล้ว

#พระโสดาบันท่านปล่อยร่างกายได้
#ปล่อยความแก่_ปล่อยความเจ็บ_ปล่อยความตายได้
#อยู่กับมันได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน

#พระอาจารย์สุชาติ_อภิชาโต [ธรรมะบนเขา]​ ณ.จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙







"เมื่อได้รับความทุกข์ กลุ้มใจแล้ว
ก็บอกว่านี่แหละ เราเคยทำไว้เช่นใด
แล้วเราก็ได้รับอย่างนี้แหละ เราก็พอใจยินดี
กับกรรมของเราแล้ว เราจะไม่ทำกรรมชั่วนั้น
ขึ้นอีกต่อไป

กรรมที่มันมีอยู่แล้ว แต่ก่อนก็ค่อยๆ หมดไปๆ
ไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นมาอีก นี่จึงจะถูก
ถูกหนทางที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่าได้สร้าง
กรรมเวรต่อไปอีก จะเกิดภพเกิดชาติไม่มีที่สิ้นสุดลงได้"

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี







"การตายนะ ไม่มีลำดับ เด็กก็ตายได้
ผู้ใหญ่ก็ตายได้ เนี่ยถ้าเราไม่เคยทำใจไว้ก่อนนะ
เราจะทุกข์มาก อย่างพ่อแม่ตายเนี่ย คนทั่วๆ ไป
จะทุกข์นะ แต่ว่าไม่มาก เพราะทำใจไว้แล้ว
ว่าพ่อแม่ควรจะตายก่อน แต่พอลูกตายก่อนนะ
ไม่เคยทำใจไว้เลยว่าลูกจะตายก่อน คิดว่า
มันต้องตายตามลำดับไล่ตามอาวุโส
มันไม่เป็นอย่างนั้นนะ ใจยอมรับไม่ได้ ใจจะทุกข์มาก"

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช







การบรรลุ_มันบ่ยากดอก
#มันยากตัวอัตตานี่

หากคุณยังนินทาคนอื่น เห็นว่าเขาเลว เราดี ยังเห็นว่า เราบรรลุขั้นนั้น ขั้นนี้ ได้ฌานนั้นฌานนี้ นี่ตัวอัตตาแท้

#การแสวงหานั่นล่ะ
#ตัวที่คุณต้องละ

อย่าไปอยากได้ขั้นนั้นขั้นนี้ ฌานนั้นฌานนี้เลย แค่ตัดความอยาก ความเห็นแก่ตัวออก ตัดตัวอัตตาออกได้ ตัดตัวแบ่งเขาแบ่งเรา ตัดกูดีเขาเลว กูสูงเขาต่ำออกเสียได้ คุณก็บรรลุแล้ว
.....
#ตามรอยหลวงปู่ภูกุ้มข้าว ฉบับปฐมบท
บันทึกคำสอนของ พระญาณวิสารเถร(หลวงปู่หา สุภโร)








เวลาภาวนา

ต้องไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีอะไร เป็นอาการว่างไปหมด

แต่ความรู้ไม่ว่างให้ย้อนเข้ามาพิจารณาธรรมะว่า เราตกอยู่ในกองทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

เราเป็นผู้รู้ผู้เดียว

แม้ที่สุดก็ไม่มีเราในรู้นั้น ไม่ยึดมั่นยึดถืออะไรอีก วางหมด มันเบาไม่หนักแล้ว

#หลวงปู่ท่อน #ญาณธโร








นึกอะไรก็ได้ ที่ให้มันตัดกิเลส นั่นแหละดี

หลวงปู่เจริญ ราหุโล






ธรรมะจากศพ

ยามคนตายสิเอาไปเผานั่น โบราณเพิ่นหว่านข้าวตอกนำหน้า

นี่เด้อหมู่เฮา กระดูกของหมู่เฮาสิกระจัดกระจายจังซี่ละ ย่างไปไสกะสิเหยียบแต่กระดูกนี้ละเพิ่นว่าจังซั่น บ่แม่นสิหว่านให้ผีกิน

อันน้ำบักพร้าวรดหน้านั่น คันจิตใจของเฮาบ่ใสคือน้ำบักพร้าว หมู่เฮาสิได้มาเทียวเกิดแก่เจ็บตายอยู่นี่ละ

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต







อุณหิสสวิชัย #ชัยชนะที่ไม่มีวันแพ้
.
ในสมุดบันทึกเล่มเก่า ๆ ของหลวงปู่ลีในสมัยที่ยังเป็นพระหนุ่ม แสดงความจริงใจที่ท่านเอาใจใส่ทั้งคันถธุระ ทั้งวิปัสสนาธุระในทางพระพุทธศาสนา ที่ขีดเขียนด้วยลายมือที่สวยงามบรรจงจับปากกาวางปลายหมึกสู่แผ่นกระดาษด้วยสติอันตั้งมั่น ท่านบันทึกเรื่อง อุณหิสสวิชัยสูตร ดังนี้
.
อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร

สัพพะ สัตตะ หิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต

ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก

พยัคเฆ นาเค วิเสภูเต อะกาละ มะระเณนะ วา

สัพพัสมา มะระณา มุตโต ฐะเปตวา กาละมาริตัง

ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา

สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร

ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา

ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนังคะรุง

ปะเรสัง เทสะนัง สุตวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติฯ

เรื่องการยืดอายุการตายออกไป พระพุทธองค์ทรงประทานพระคาถาให้เทวดาองค์หนึ่ง ชื่อ “เทพอุณหิส” ซึ่งตระหนักถึงเวลาต้องจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ แต่ไม่อยากลงมาใคร่อยู่ในเทวโลกต่อ และกราบทูลขอต่อพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ก็ทรงเมตตาประทานพระคาถายืดอายุ ให้เทพอุณหิสจึงมีชีวิตยืนยาวอยู่ในเทวโลก
.
คาถาอุณหิสวิชัย แปลใจความว่า พระธรรมอันชื่อว่า อุณหิสวิชัยมีอยู่ เป็นธรรมอันยอด เยี่ยมในโลก ดูก่อนเทวดา!ท่านจงเรียนอุณหิสวิชัยธรรมนั้น เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ พึงหลีกเว้นเสียได้ ซึ่งราชทัณฑ์ อมนุษย์ทั้งหลาย เพลิงไฟ เหล่าเสือ นาค สัตว์มีพิษร้าย รอดพ้น จากอกาลมรณะ (ความตายในเมื่อยังไม่ถึงเวลาอันสมควร) จากความตายทุกอย่าง ทุกประการ เว้นแต่กาลมรณะ (ความตายในเมื่อถึงกาลอันสมควร) ด้วยอานุภาพแห่งอุณหิสวิชัยธรรมนั้น ขอ เทพเจ้าจงเป็นผู้มีความสุขทุกเมื่อ (พระธรรมนี้) เอามาเขียนก็ดี นึกคิดก็ดี บูชาก็ดี ทรงจำก็ดี บอกกล่าวเคารพก็ดี ฟังที่ท่านแสดงแก่ผู้อื่นก็ดี จะทำให้มีอายุจำเริญแล
.
หลวงปู่ลี ท่านบันทึกและอธิบายความว่า “ผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ผู้นั้นย่อมชนะได้ซึ่งความร้อน”

อุณหิสสะ คือ ความร้อนอันเกิดแก่ตน มีทั้งภายในและภายนอก

ภายนอก
มีเสือสางคาง แดง ภูตผี ปีศาจ

ภายใน
คือ กิเลส เป็นต้น

วิชัย คือความชนะ

ผู้ที่มาน้อมสรณะทั้ง ๓ นี้เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมจะชนะความร้อนเหล่า นั้นไปได้หมดทุกอย่าง ที่เรียกว่า อุณหิสสะวิชัย
.
อุณหิสสะวิชโย ธัมโม โลเก อนุตตะโร พระธรรมเป็นของยิ่งในโลกทั้งสาม สามารถชนะซึ่งความร้อนอกร้อนใจอันเกิดแต่ภัยต่าง ๆ จะเว้นห่างจากอันตรายทั้งหลาย คืออาชญาของ พระราชา เสือ สาง นาค ยาพิษ ภูตผี ปีศาจ

หากว่ายังไม่ถึงคราวถึงกาลที่จักตายแล้ว ก็จักพ้นไปได้ จากความตาย ด้วยอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ตนน้อมเอาเป็นสรณะที่พึ่งที่นับถือนั้น
.
ลิขิตธรรม
#หลวงปู่ลี #กุสลธโร
#วัดป่าภูผาแดง
อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
คัดจากหนังสือ พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเศรษฐีธรรม โดยพระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO