#พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรมก็ด้วยการปฏิบัติ การภาวนา การดูตัวเอง ดูใจตัวเอง ไม่ได้บรรลุด้วยโทรศัพท์ ไม่ได้บรรลุด้วยการหลอกขอเงินญาติโยม จี้ ปล้นญาติโยม
บางวัด สอนให้ญาติโยม หลงในบุญ หลงในความรวย ขนาดตั้งชื่อพระพุทธรูปก็เอากิเลสตัวเองมาตั้งอย่าง หลวงพ่อรวย หลวงพ่อทันใจ หลวงพ่อพันล้าน มันเอากิเลสตัวเองมาตั้ง ถ้ามันเอากิเลสตัวเองมาตั้งขนาดนี้ทำไมมันไม่ตั้งว่า หลวงพ่อบอกหวยไปเลย
แทนที่พระจะสอนญาติโยมว่าพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนของพระพุทธเจ้าเรานะ เรากราบ เราไหว้ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน ให้ละชั่ว ทำดี ละอายต่อการทำบาป ไม่ละ มันกลับไปสอนว่าไหว้ขอพรหลวงพ่อรวย กราบไหว้ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียนไปไหว้แล้วรวย มันจะไปรวยอะไร ถ้ามันไม่ทำงาน หาเงิน รู้จักเก็บ จักใช้ คนที่รวย ก็พวกขายดอกไม้ ธูป เทียน
ถ้ามันอยากได้บุญจริง ไหว้พระ สวดมนต์แล้ว ไปบริจาคทานให้โรงบาล ให้สถานที่เด็กกำพร้า คนพิการ คนตกทุกข์ได้ยาก นั้นละบุญ ไม่ต้องไปเสียเงินกับของไร้ประโยชน์ อย่างดอกไม้ ธูป เทียน จุดธูปเยอะๆไม่ใช่เรื่องดี นั้นละตัวมะเร็ง จะทำบุญ ทำทาน อะไรก็ช่างให้พากันมีสติ พิจารณาดูให้ดี ถึงความสมเหตุสมผล ให้ใช้ปัญญาดีๆ
โอวาทธรรม หลวงปู่ชนะ อุตตมลาโภ วัดถ้ำพวง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
#เปรตหลวงพ่อขำ
#ต่อไปนี้จะชี้แจงเรื่องกฎแห่งกรรมว่าพระเป็นเปรตได้อย่างไร... เมื่อ... พ.ศ. ๒๕๑๗
"... อาตมาได้รับอาราธนาจาก พระครูสุวัฒน์คณาภิบาล เจ้าคณะอำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ไปงานมหาพุทธาภิเษก เพื่อรวบรวมจตุปัจจัยสร้างอุโบสถ และปลุกเสกประชาชนที่วัดโพธาราม อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
...เมื่ออาตมาไปถึง มีคณาจารย์จากภาคเหนือ ภาคอีสาน นั่งกันอยู่หลายองค์ โยมคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้แน่ชัด อยู่บ้านเหนือวัดโพธาราม มีอาชีพทำนากับทำไร่ยาสูบ อายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ ได้มาคุยถึงยารักษาโรคบ้าว่า รักษาโรคบ้ามาเยอะทั้งสาวแก่แม่หม้ายหลายคน หายทั้งนั้น เลือดทำพิษก็รักษาหาย วิตกกลจริต ก็หาย อาตมานึกในใจว่า เดี๋ยวต้องขอจดตำราจากโยมคนนี้ให้ได้
... พอเขาว่างแล้ว อาตมาก็เรียกโยมคนนี้ มาคุย อาตมาถามว่า “โยม ที่โยมคุยว่ารักษาโรคบ้าหายมาหลายคนแล้วนั้น โยมเป็นหมอหรือเปล่า” เขาตอบว่า...!!
“โอ ผมไม่ได้เป็นหมอหรอก แต่พ่อผมเป็น หมอโบราณ ผมเรียนจากพ่อไว้เล็กน้อย แต่ ก็ไม่ได้รักษาใคร”
อาตมาถามว่า..“ทำไมโยมถึงมีชื่อเสียงรักษาโรคบ้าได้”
โยมคนนั้นเล่าว่า.. “ผมได้ตำราจากผีพระมาเข้าฝัน มีผีพระมาบอกยาแก้โรคบ้า เป็นพระจากจังหวัดสิงห์บุรี” อาตมาขอจดตำรายา
โยมบอกว่า..“ผมอยากให้จังเลย ไปให้ทานต่อ แต่นี่ยาพระผีบอก คงห้าม บอกไปแล้วคงไม่ขลัง ผมก็ถือคำโบราณอย่างนี้ ท่านอยากได้ ผมจะเล่าเรื่องถวายให้ฟัง”
อาตมาถามว่า.. “โยมเคยไปจังหวัดสิงห์บุรี หรือเปล่า” เขาบอกว่า “ไม่เคยไปเลย” และก็เล่าเรื่องความฝันว่า ดังนี้ ...
...วันหนึ่ง ไปเลี้ยงควาย ไปดูไร่ยาสูบด้วย มีพระองค์หนึ่งร่างกายใหญ่โต ห่มผ้าขาดร่องแร่ง อายุประมาณ ๗๐ ปี เดินไปเดินมาก็มาแวะนั่ง บอกว่า
“พ่อทิดเอ๊ย หลวงพ่อหิวน้ำจัง ขอบิณฑบาต น้ำหน่อยได้ไหม” ผมก็ไปตักน้ำมาถวาย ในขณะที่เลี้ยงควาย เมื่อถวายเสร็จแล้ว หลวงพ่อองค์นี้ก็นั่งคุย
ผมก็ถามว่า..“หลวงพ่ออยู่ที่ไหน มาทำไมที่นี่” ท่านบอกว่า “พ่อทิดเอ๊ย ที่มานี่ มาทวงหนี้เขานะ เขาขอยืมเงินมา ๑ ชั่ง และอีก ๒ บ้าน ขอยืมมา ๒ ชั่ง แล้วไม่ให้ หลวงพ่อก็ตามทวง ทวงแล้วก็ไม่ให้ด้วย ไม่รู้หายไปไหน นี่ก็เดินวนเวียนอยู่แถวนี้มาเป็นเวลานานแล้ว มาทวงหนี้”
ผมถามอีกว่า “หลวงพ่อชื่ออะไร อยู่ที่ไหน” ท่านบอกว่า “ชื่อหลวงพ่อขำ อยู่ที่วัดเสาธงทอง บ้านแป้งไทย” และเล่าต่อไปว่า “บ้านเกิดเมืองนอนหลวงพ่ออยู่เยื้องวัดชะลอน มีท่าควายใหญ่ อยู่เหนือวัดอัมพวัน” ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระนักเทศน์ ได้เงินทองมากมาย แต่ไม่ได้ทำบุญสุนทานแต่ประการใด ได้มีญาติและเพื่อนของญาติมาขอกู้เงิน กู้มาแล้วก็อพยพมาทำไร่ยาสูบ ที่จังหวัดสุโขทัย อยู่ที่อำเภอนี้แหละ
ผมถามว่า..“หลวงพ่ออยู่อย่างไรล่ะ” ท่าน ตอบว่า “เออ.. หลวงพ่อตายมา ๕๐ – ๖๐ ปี แล้วยังมาทวงหนี้ พ่อทิดเอ๊ย หลวงพ่อเดินอยู่แถวนี้ ไม่มีใครมีลักษณะดีกว่าพ่อทิด พ่อทิด มีอัธยาศัยดี ใจบุญ ใจกุศล อุตส่าห์เอาน้ำมาให้หลวงพ่อฉันในวันนี้ เอาละ.. หลวงพ่อมีของดีให้ หลวงพ่อเป็นหมอรักษาโรคบ้า อยู่ วัดเสาธงทอง พ่อทิดเอ๊ย จดนะ จำไว้นะ ยานี้ มี ๓๒ สิ่ง เป็นยาหม้อใหญ่ แก้โรคบ้า หลวงพ่อเคยรักษาบ้ามา จำเอาไว้นะ พ่อทิดนะ หลวงพ่อไม่มีอะไรตอบแทน”
โยมคนนี้ก็จดจำได้หมด เพราะเคยเป็นลูกมือของพ่อเขา ช่วยเก็บยาสมุนไพร เลยจำชื่อยาได้มากมาย และตื่นขึ้นมาก็จดยาไว้ทั้งหมด ๓๒ สิ่ง เป็นยาที่ใช้ปี๊บต้ม ทานแล้วหายทุกราย
อาตมาฟังแล้วก็ไม่น่าเชื่อ ต้องสืบสาวเรื่องราวดูก่อน
หลวงพ่อท่านเล่าได้ถูกต้องเป็นตุเป็นตะ บอกว่า
“... พ่อทิดเอ๊ย เป็นเวรเป็นกรรมของหลวงพ่อเหลือเกิน ตอนหลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เป็นนักเทศน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชนาคไม่พัก หลวงพ่อตายแล้ว เขาทำศพแล้ว ๕๐ – ๖๐ ปีผ่านไป หลวงพ่อยังต้องไปทวงหนี้เขา อดอยากเหลือเกิน วันนี้ทั้งวันไม่ได้ฉันข้าวเลย ไม่มีจะฉัน และหิวน้ำ น้ำลายไหลยืด พ่อทิดก็ใจดี มีจิตเป็นกุศล อุตส่าห์เอาน้ำมาถวาย หลวงพ่อฉันหมดกาเลย พ่อทิดมีเงินมีทองหมั่นทำบุญทำทานนะ อย่าไปให้ใครกู้อย่างนี้เลย”
และก็บอกต่อไปอีกว่า “สมภารองค์ปัจจุบัน ยังรักษาโรคบ้าอยู่ชื่ออาจารย์พวง”
โยมคนนี้ได้เล่าให้อาตมาฟัง แล้วก็ถามว่า
“หลวงพ่อครับ วัดอัมพวันอยู่ใกล้วัดหลวงพ่อพวงไหม” อาตมาบอกว่า “อยู่ใกล้กัน วัดอยู่ในเขตอำเภอพรหมบุรี” โยมบอกว่า “เอาละหลวงพ่อ ไปขอยากับหลวงพ่อพวงก็แล้วกัน ผมก็อยากจะจดให้เหลือเกิน แต่จดไปแล้ว กลัวว่าจะไม่ขลัง”
... อาตมากลับจากงานมหาพุทธาภิเษกแล้วก็ไปกราบเรียนหลวงพ่อพวง ท่านหัวเราะ บอกว่า จริง อาจาย์ของท่านเอง ขี้เหนียวที่สุด เก็บจนเก่าทั้งนั้น นมก็แข็ง ร่มก็ลุ่ย เสื่ออ่อนมีเป็นมัดๆ พอท่านมรณภาพแล้ว นำออกมาเปื่อยยุ่ยหมดเลย ร่มแต่ละคันผุหมด มีเงินทองมากมาย เขาเอาไปสร้างวัด สร้างศาลาจนปัจจุบันนี้
... หลวงพ่อพวงยืนยันว่าเป็นความจริง ท่านก็จดยาให้ แต่อาตมาไม่ได้เอาไปรักษานะ ไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้รักษาใครเลย และได้ยาแก้เลือดลมไม่ดีด้วย หลวงพ่อพวงก็รักษาต่อเนื่องจากครูบาอาจารย์มา บัดนี้หลวงพ่อพวงมรณภาพไปแล้ว อายุถึง ๘๐ พรรษาเศษ อาตมายังไปงานพระราชทานเพลิงศพ เพราะอยู่ในเขตอำเภอพรหมบุรี อาตมาได้เป็นเจ้าคณะอำเภอ จึงได้ยานี้มา แต่ไม่ได้ตั้งตัวเป็นหมอแต่ประการใด
อาตมาได้ถามโยมที่อำเภอศรีสำโรงว่า “โยมคุยกับท่านนานไหม”
เขาบอกว่า “นาน ท่านบอกว่าสอนลูกสอนหลานนะ อย่าทำเลย อย่าขี้เหนียวเลย นี่แหละหลวงพ่อลำบากเหลือเกิน บัดนี้ยังหาที่เกิดไม่ได้เลย ไปเที่ยวทวงหนี้เขา ทวงแล้วเขาก็ไม่ให้เลย ก็ตามทวงตลอดไป สบงจีวรขาดร่องแร่งมาอย่างนี้แหละ”
ที่วัดอัมพวันก็ยังมี ชื่อหลวงตาเฟื่อง เดี๋ยวนี้ยังอยู่ด้วย ตอนบวชไม่ทำกิจวัตรอะไร ขนแต่ของวัดเข้าบ้าน ตายแล้วเป็นเปรตอยู่ที่วัดนี้ มีคนนับถือศาสนาคริสต์คนหนึ่ง นั่งทางในเก่ง ได้มาที่วัดนี้ ยังเห็นนั่งอยู่บนศาลา
ขอชี้แจงให้โยมฟัง พระเป็นเปรตได้แน่ ที่เล่า นี่เพื่อเป็นตัวอย่างของพระภิกษุสมัยนี้ อาตมาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะโยมคนที่ฝันรับตำรายาไว้ ไม่เคยมาสิงห์บุรีเลย
ขอฝากญาติโยมไว้เพียงนี้นะ นี่เป็นกฎแห่งกรรมไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าเป็นพระภิกษุเท่านั้น เป็นฆราวาสก็มีมาก ขอพระสงฆ์องค์เจ้าไว้ อำนาจโลภะ อยากได้ไม่ทำบุญสุนทาน เลยต้องไปทวงหนี้ที่เขาให้กู้ เวลาตายไม่นึกถึงอรหัง พุทโธ ไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน ตายไปวิญญาณก็ออกจากร่าง ไปทวงหนี้เรียกว่าเปรต เปรตวิสัย ๖๐ ปีแล้ว ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นเวลา ๑๖ ปี แล้วที่อาตมาไปนั่งมหาพุทธาภิเษกที่วัดโพธาราม อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
อันนี้เป็นตัวอย่างได้ อาตมาเกิดไม่ทันหลวงพ่อขำ โยมคนนั้นบอกต้องเชื่อ ๑๐๐% เพราะว่าไม่เคยมาสิงห์บุรี และอาตมาได้บอกไว้ว่า โยมผ่านมาแวะวัดอัมพวันหน่อย
ในเวลากาลต่อมา โยมคนนั้นก็พาลูกมาที่วัดนี้ หลายปีผ่านมาแล้ว มาบอกให้พาไปวัดเสาธงทอง อาตมาก็พาไป ตอนนั้นหลวงพ่อพวงยังไม่มรณภาพ ได้บอกกับหลวงพ่อพวงว่าฝันอย่างนี้จริง หลวงพ่อพวงถามว่า “ยามีอะไรบ้าง บอกให้ฟังซิ”
โยมผู้ที่ฝันได้รับยาไว้ ก็บอกยา หลวงพ่อพวงบอก “ถูกต้อง” ไม่ขาดแต่ละสิ่ง หนักเท่านั้นบาท เข้ายาดำด้วย เข้าฝักคูน ใบมะกานี่แหละ แต่ทั้งหมดมี ๓๒ สิ่ง หลวงพ่อพวงจึงให้ตำรายาอาตมาเป็นยาแก้โรคบ้า
นับประสาอะไรกับโยมผู้หนึ่งเป็นเศรษฐี ๘๔ ปี รักษาอุโบสถมา ๓๐ ปี ทอดกฐินเก่ง ทอดผ้าป่าเก่ง แต่ตายเป็นเปรตไปเที่ยวเข้าเขา เพราะอำนาจโลภะ เอาทรัพย์สมบัติของลูกชายคนโตมาให้คนเล็ก ลูกเขยเล่นการพนันหมด ผลาญหมดก็เสียใจ ถึงแก่กรรม ตายไปเป็นเปรต เพราะโยมคนนี้ไม่เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานเลย อำนาจโลภะตายไปเป็นเปรต อำนาจโทสะตายลงนรก อำนาจโมหะตายไปต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน
อาตมาเคยเล่าให้โยมฟังแล้ว สมภารที่จังหวัดสุพรรณบุรี ติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุปัชฌาย์พระครูสัญญาบัตร ตายไปแล้ว ๓ ปี อาตมาไปงานศพนี้ สมัยก่อนนานแล้ว ตายไปเกิดเป็นวัว วัวนั้นเข้าไปในวัดนั้นเรื่อย เจ้าของเลยปล่อยให้อยู่ในวัด นี่เห็นได้ชัด... "
#อาตมาได้ชี้แจงกฎแห่งกรรมได้มาพอสมควรแก่เวลาแล้ว_ขอญาติโยมทั้งหลาย #จงเจริญด้วยอายุ_วรรณะ_สุขะ_พละ #ปฏิภาณธนสารสมบัติ #นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด_สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูป_ทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ....
#พระภาวนาวิสุทธิคุณ #หลวงพ่อจรัญ_ฐิตธมโม
“ ใจที่สงบ “
…กฎของธรรมชาติ กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ..” ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน “
.ไม่มีอะไรถาวร ไม่มีอะไรจะอยู่ไปตลอด อยู่ค้ำฟ้าได้ ในโลกนี้ ของที่เป็นสมมุตินี้ ไม่มีอะไรที่จะอยู่ค้ำฟ้า
.สิ่งที่จะอยู่ค้ำฟ้า..มีสิ่งเดียวเท่านั้น ก็คือ…“ใจ”ของเรา. …………………………………… พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
#ความฉลาดในจิต เมื่อแยกจิตและเวทนาออกได้...
#เรื่องเวทนานี้เราจะหนีมันไปไหนไม่ได้ เราต้องรู้มันเวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา สุขก็สักแต่ว่าสุข ทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์ มันเป็นของสักว่าเท่านั้นแหละ แล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่นมันทำไม ถ้าจิตเราฉลาดแล้ว เพียงคิดเท่านี้มันก็แยกเวทนาออกไปจากจิตได้ เวทนานี้สักว่าเวทนา มันก็เห็นสักว่าเท่านั้น ทุกข์มันก็สักว่าทุกข์ สุขมันก็สักว่าสุข มันก็แยกกันเท่านั้นแหละ แล้วมันมีอยู่ไหม...มีแต่มันมีอยู่นอกใจมันมีด้วยความไม่ยึดมั่นถือมัน ไม่ได้ไปทำความสำคัญมั่นหมายกับมัน มีแล้วมันก็คล้าย ๆ กับว่ามันไม่มีเท่านั้นเองแหละ
#นี้เรียกว่าการแยกเวทนาออกจากจิต เพราะรู้ว่าจิตมันเป็นอย่างไร เวทนามันเป็นอย่างไร จิตก็คือตัวที่เข้าไปรู้ในสุขเป็นตัวที่ละเอียดเข้าไป แล้วตามเข้าไปให้รู้ว่าสุขนั้นมันแน่หรือเปล่า ทุกข์นั้นมันแน่หรือเปล่า เมื่อเราตามเข้าไปเช่นนี้ปัญญามันก็เกิดขึ้นที่จิต มันก็แยกสุขทุกข์ออก สุขมันก็กลายเป็นว่าสักว่า ทุกข์มันก็กลายเป็นว่าสักว่า ไม่เห็นมีอะไร อะไรมันก็เป็นของสักว่าเท่านั้น เรามีความรู้อยู่อย่างนี้ตลอดต้นจนปลายเท่านั้น จิตของเรามันก็ปล่อยวาง แต่ไม่ใช่ปล่อยวางด้วยความไม่รู้นะ มันวางและก็รู้อยู่ ไม่ใช่วางด้วยความโง่ ไม่ใช่วางเพราะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น คือวางเพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น นี้เรียกว่าเห็นธรรมชาติหรือเห็นของธรรมดา
#เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วเราก็เป็นผู้ชำนาญในจิต รู้จักตามรักษาจิต ฉลาดในจิตของตน ฉลาดในการรักษาจิตของตนเพราะฉะนั้นเมื่อฉลาดในจิต ก็ต้องฉลาดในอารมณ์ เมื่อฉลาดในอารมณ์ ก็ย่อมฉลาดในโลก อย่างนี้เป็นต้น นี้เป็นโลกวิทูพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก อยู่ท่ามกลางสิ่งที่มันยุ่งยาก ท่านก็รู้ในสิ่งที่มันยุ่งนั้นแหละ โลกนี้เป็นของวุ่นวาย...ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงทรงรู้แจ้งโลกได้ นี้ให้เราเข้าใจว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ไม่มีอะไรที่จะเหนือความสามารถของพวกเราทั้งหลายนั่นเอง
#เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จิตเป็นจิต เวทนาเป็นเวทนาเท่านี้มันก็แยกกันออกเป็นคนละอย่างคนละตอน จิตมันก็พ้นได้สบาย อารมณ์มันก็เป็นอย่างนั้นของมันเอง เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น มันเกิดแล้วก็ดับไป ดับแล้วก็เกิดแล้วก็ดับ มันก็เป็นอยู่เท่านั้น เรารู้แล้วเราก็ปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมันอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้รู้เห็นตามที่เป็นจริง อันนี้ปัญหามันก็จะจบลงที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นแม้เรา จะยืนจะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ขอให้มีการประพฤติปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดกาล...ฯ.
ธรรมคำสอน พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
#หนีทุกข์ด้วยปัญญา
พระพุทธองค์ท่านให้หนีด้วยปัญญา เปรียบประหนึ่ง ว่าเรามีเสี้ยนหรือหนามน้อยๆตำเท้าเราอยู่ เดินไป ปวดบ้าง หายปวดบ้าง บางทีก็เดินไปสะดุดหัวตอเข้า ปวดขึ้นมาก็คลำดู คลำไปคลำมาไม่เห็น เลยขี้เกียจ ดูมัน ก็ปล่อยมันไป ต่อไปเดินไปถูกปุ่มอะไรขึ้นมาก็ ปวดอีก มันเป็นอย่างนี้เรื่อยไป เพราะอะไรนะ เพราะ เสี้ยนหรือหนามนั้นมันยังอยู่ในเท้าเรา ยังไม่ออก ความเจ็บปวดมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อมันปวดมาก็ คลำหามัน ไม่เห็นก็ปล่อยไป นานๆเจ็บอีกก็คลำอีก อยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ ทุกข์ที่เกิดขึ้นมา เราต้องกำหนด รู้มัน ไม่ต้องปล่อยมันไป เมื่อมันเจ็บปวดขึ้นมา เออ หนามนี่มันยังอยู่นะ
เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้น ความคิดที่ว่าจะเอาหนาม ออกจากเท้าเราก็มีพร้อมกันขึ้นมา ถ้าเราไม่เอามัน ออก ความเจ็บปวดมันก็เกิดขึ้น เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็เจ็บ อยู่อย่างนี้ ความสนใจที่จะเอาหนามออกจากเท้าเรา มันมีอยู่ตลอดเวลา ผลที่สุดวันหนึ่งต้องตั้งใจเอา หนามออกให้ได้ เพราะมันไม่สบาย อันนี้เรียกว่าการ ปรารภความเพียรของเราต้องเป็นอย่างนั้น มันขัด ตรงไหน มันไม่สบายตรงไหน ก็ต้องพิจารณาที่ตรง นั้น แก้ไขที่ตรงนั้น แก้ไขหนามที่มันยอกเท้าเรานั่น แหละ งัดมันออกเสีย
#จงมีความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส
จิตใจของเรามันติดอยู่ที่ตรงไหน เราจะต้องรู้จักอยู่ อย่างนั้น คลำไปคลำมาก็รู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ว่าความเพียรของเราไม่ถอยเหมือนกัน ไม่หยุด ท่านเรียกว่าวิริยารัมภะ...ปรารภความเพียรอยู่เสมอ เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเมื่อไรในเท้าของเรานะ ปรารภ ว่าจะเอาหนามออก จะบ่งหนามออกเสมอไม่ได้ขาด เลย ทุกข์ทางใจมันเกิดขึ้นมา เรื่องกิเลสตัณหานี้เรา ก็มีความรู้สึกปรารภความเพียรอยู่เสมอว่าจะพยายาม ฆ่ามัน พยายามละมันอยู่ตลอดเวลา ตามไปไม่หยุด อีกวันหนึ่งมันก็จนมุมเรา ถึงที่นั้นเราก็ตะครุบมันได้
ฉะนั้น เรื่องสุขทุกข์นี้เราจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีสิ่งทั้ง หลายเหล่านี้ จะเอาอะไรเป็นเหตุ ถ้าไม่มีเหตุ ผลมัน จะเกิดตรงไหนเล่า นี่เรียกว่าธรรมมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อผลมันจะดับไปนั้น เพราะเหตุมันดับไปก่อน ผลมัน จึงดับไปด้วย มันเป็นไปในทำนองอันนี้ แต่เราไม่ค่อย เข้าใจจริง อยากแต่จะหนีทุกข์ รู้อย่างนี้เรียกว่ารู้ไม่ถึง มัน
#ที่มา หนังสือปัจจุบันธรรม พระธรรมเทศนา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
อันความกตัญญูกตเวทีนั้น หาได้ยากในผู้มีจิตใจไม่ปราณีต เพราะความไม่ปราณีตแห่งจิตใจ จะทำให้ไม่ตระหนักชัดในความกตัญญูกตเวที ทำให้เห็นไปว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็นความงมงาย เป็นความเปล่าประโยชน์
ผู้มาบริหารจิตทั้งหลาย พึงพินิจให้รู้จักความกตัญญูกตเวทีให้ถูกต้อง พึงมีกตัญญูกตเวทีต่อผู้ทรงพระคุณ ไม่เพียงแต่เฉพาะท่านที่ยังดำรงชีวิตอยู่ แต่ต้องตลอดถึงท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าสถิตอยู่ ณ ภพภูมิใด ที่ไม่อาจตามไปรู้ไปเห็นด้วยความสามารถของตน
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
"อันคนที่ทำงาน ที่เป็นคุณให้เกิดประโยชน์ ย่อมจะต้องประสบถ้อยคำถากถาง หรือการขัดขวาง น้อยหรือมาก ผู้มีใจอ่อนแอ ก็จะเกิดความย่อท้อ ไม่อยากที่จะทำดีต่อไป แต่ผู้มีกำลังใจย่อมไม่ท้อถอย ยิ่งถูกค่อนแคะ ก็ยิ่งจะเกิดกำลังใจมากขึ้น คำค่อนแคะ กลายเป็นพาหนะที่มีเดชะแห่งการทำความดี"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
“การทรมาน ไม่ได้อยู่ที่ทุกขเวทนา มันอยู่ที่การไม่อยากมีทุกขเวทนา การไม่ยอมรับสิ่งที่เราแก้ไม่ได้ คือ สิ่งที่ทรมานเรา”
พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
" คนเราจะทำความ เสียหายเพราะเชื่อกิเลส ถ้าเชื่อธรรมแล้ว ไม่ทำ ความเสียหายอย่างง่าย ดาย มีสติยับยั้งตัวเอง
เช่นท่านว่าบาปมี เราก็ ต้องระวังบาป นี่ตามหลัก ธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่ทำบาป บุญมีจริงก็ อุตส่าห์ขนขวายทำบุญ ให้ทานมากน้อย ตามกำลังศรัทธา หรือ ความสามารถของเรา
นี่คือผู้เชื่อพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาองค์เอก เคยรื้อขนสัตว์ให้พ้นจาก ทุกข์ไปมากต่อมากแล้ว
ส่วนกิเลสนั้นไม่เคยรื้อ ขนใครให้พ้นจากทุกข์ นอกจากลากลง ให้จมลงในกองทุกข์ โดยถ่ายเดียวเท่านั้น.."
โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
การพิจารณาเห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกายมันดีอย่างไร
มันดีที่จะรีบเร่งประกอบคุณงามความดี สิ่งที่ตนจะต้องทำ รีบทำเสีย อะไรที่ยังไม่ทำ ก็จะต้องรีบทำ กิจที่จะต้องทำ ทำเสีย
พระองค์เทศนาว่า จะเรยยาทิตตะสีโสวะ เหมือนกับไฟไหม้ผมของเราที่บนศีรษะ รีบดับ ความดีก็ให้รีบทำอย่างนั้นแหละ
#ความดีของเรามีอะไรบ้าง
ให้คิดพิจารณาถึงตัวเรา วันหนึ่งๆ เราทำความดีแค่ไหน ได้อะไรบ้าง พิจารณาดูว่า เราทำความดีอะไรบ้าง ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ที่เราอยู่กลางวันๆ ไม่ได้นอน มีความดีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง หรือหลับทิ้งเสียเปล่าๆ นอนทิ้งเสียเฉยๆ
#ในวันหนึ่งๆ #อย่าให้เวลาล่วงเลยไปเปล่าๆ
คนตายแล้วก็ต้องเกิดอีก จิตของเรายังมีกิเลส ก็ต้องเกิดอีกเป็นธรรมดา เพียงแต่หากินแล้วก็นอนท่าตายอยู่อย่างนั้น มันจะมีประโยชน์อะไร
คิดไว้อย่างนี้ ก็มาคิดถึงคุณงามความดีอะไรจึงจะทำให้เราไปเกิดในที่ดีๆ ไปดีๆ ขึ้นไปโดยลำดับ
ทาน_ศีล_ภาวนา ของตนมีไหม
#หลวงปู่เทสก์ #เทสรังสี
#ประสบการณ์เรื่องเล่าธรรมะตายแล้วฟื้น องค์หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
ตายแล้วฟื้น ที่วัดป่าบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
...พอลงจากกุฏิ อาตมาก็มามองหาคนที่เรียก แต่ก็ไม่เห็นใคร ก็เลยแหงนมองพระอาทิตย์ก็ตรงหัวพอดี พอสายตาต้องพระอาทิตย์เลยหน้ามืดตาลายทันที แผ่นดินก็หมุนอยู่ตลอด เวียนหัวเลยทีนี้ มันจะอ้วก มันก็ไม่อ้วก ถึงอ้วกก็ไม่มีอะไรออกมาหรอกเพราะในท้องไม่มีอาหารเลย สุดท้ายลืมตาไม่ได้ก็ค่อยๆ ประคองตัวขึ้นมานอนลงข้างนอกกุฏินั่นแหละ พอล้มนอนลงอาตมาก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอกเข้าๆ เหมือนภูเขาหลายๆ ลูกมันมาทับตัวอาตมาอยู่ มันหนัก อาตมาก็เลยกำหนดจิตดู มันก็เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งจิตมันหลุดออกจากร่างกาย . จิตหลุดออกจากร่าง . “พอจิตหลุดแล้วมันช่างเบาเหลือเกิน ไม่มีหนักอะไรเลย พอจิตหลุด อาตมาก็เห็นมีครูบาอาจารย์เดินผ่านมาแล้วก็ชวนอาตมา แต่ก่อนตัวเราก็อ้อนวอนหาความสุขอยู่ในโลก ที่ไหนก็ไม่มีอยู่ในโลกนี้ ท่านก็มาชักชวนจะไปเมืองสวรรค์ด้วยกันไหม จะขึ้นไปสวรรค์เดี๋ยวนี้ อาตมาก็บอกว่าไป ยิ่งอยากจะไปอยู่แล้ว ก็เลยไปด้วยกันกับท่าน ครูบาอาจารย์เยอะมากเลยก็ขึ้นไปกับท่าน ท่านก็นำทางพาไป แต่ไม่ได้ไปทางดินนะ เดินขึ้นทางอากาศ อาตมาก็เดินตามหลังขึ้นไป ขึ้นไปพอสมควร ก็เห็นวิมานเทพบุตรเทวดาสวยๆ งามๆ กันทุกองค์ ขึ้นไปชั้นที่ ๒ ก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก ขั้นที่ ๓-๔ ก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก พอไปถึงชั้นสูงสุด (ชั้นที่ ๖) ก็ไปสัมผัสของหอม พอสัมผัสกลิ่นหอมนั้นไม่รู้กำลังของอาตมามาจากไหน มีกำลังขึ้นมาเหมือนกับตัวเราไม่เคยอดข้าวมายังงั้น” . ครูบาอาจารย์พาไปสวรรค์-มองดูสัตว์นรก . “ของทิพย์นั้นก็มาจากการที่เราสร้างสมบารมีมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นมนุษย์ทำคุณงามความดีมาแต่ละวัน ทำบุญให้ทานมาตลอด ก็ขึ้นไปหล่อเลี้ยงเป็นเสบียงอาหารอยู่ในเมืองสวรรค์ พวกที่ไปสวรรค์ก็จะได้กินของทิพย์ที่เราได้สร้างเอาไว้จากตอนที่เราเป็นมนุษย์ อาตมาก็ได้เสวยของทิพย์ก็เลยมีกำลังวังชาขึ้นมา ปรากฏว่าชื่นบานไม่มีวิตก วิจารณ์อะไรสักอย่าง ความทุกข์ทรมานหายไปหมด พออาตมามองกลับมาที่มนุษย์โลกเรา นรกแต่ละลูกๆ ไม่เหมือนกัน ดูพวกสัตว์นรกที่ดิ้นอยู่ในนรกสลบตายกันอยู่อย่างนั้น พลิกคว่ำพลิกหงายสลบแล้วสลบอีก ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น เวลาโผล่หัวขึ้นมาได้แต่ละครั้งยกมือโมทนาเทวดาที่อยู่ข้างบน เขาสามารถเห็นกันเพราะเห็นกายทิพย์เหมือนกัน เทวดาก็กายทิพย์ พวกนี้กายทิพย์เป็นเปรตเป็นสัตว์นรก อาตมาก็รู้จัก และได้เห็นพวกที่ทำลายสัตว์ประเภทไหน ส่วนหัวก็จะเป็นสัตว์ประเภทนั้น ส่วนตัวจะเป็นตัวของคน เวลาขึ้นมาแต่ละครั้งที่พนมมือกันเต็มไปหมด ขอพรจากเทพบุตรเทวดา ให้พวกเขาได้หลุดพ้นจากบาปกรรมที่พวกเขาได้กระทำมา ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำอีกเลย เพราะมันทุกข์ทรมานเหลือเกิน จะขอสร้างคุณงามความดีเหมือนเทพบุตรเทวดา จะรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เขาจะสัมผัสได้ถึงสิ่งอธิษฐานของกันและกัน นรกบางลูกพอสัตว์นรกตกลงไปจะไหม้แดงทั้งตัว นรกบางลูกพอสัตว์นรกตกลงไปจะไหม้ทันที่ ลูกที่มีต้นงิ้ว ต้นงิ้วจะอยู่ตรงกลาง ขอบข้างมีฝาผนังกั้นไว้ สัตว์นรกจะเบียดฝาผนังไม่ได้จะไหม้ทันที มีอีแร้ง อีก สุนัข คอยจิกคอยกินอยู่อย่างนั้น อีแร้ง อีกา คือกรรมที่เขาทำไว้ กาพญากรรม แร้งพญากรรม ตามสังหารเขานั้นเอง” . รู้บาปกรรมของสัตว์นรก-บุญของผู้ไปสวรรค์ . “พวกสัตว์นรกก็จะรู้บุญของพวกเมืองสวรรค์สร้าง พวกเมืองสวรรค์ก็รู้ว่าพวกสัตว์นรกสร้างแต่บาปกรรม เขาจะรู้จักบาปกรรมของกัน เวลาเขาไปเอาสัตว์นรกมา เขาผูกคอลากตีมาเลือดอาบกายมาเลย ลิ้นห้อยออกมายาวเป็นศอกเป็นวา พอมาถึงยมบาล ยมบาลจะเป็นผู้มีมหาอำนาจมาก พอสัตว์นรกมาถึงท่านจะก็จะถามถึงการกระทำของพวกสัตว์นรกว่าทำกรรมอะไรมาบ้าง ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทำกรรมนี้มาใช่ไหม สัตว์นรกก็บอกหมดทุกกรรม พอบอกเสร็จท่านก็จะตัดสิน สร้างบุญบารมีมาเท่าไหนเธอก็ต้องไปตามกรรมของเธอ . พอยมบาลตัดสินแล้ว เขาจะไม่คุมไม่บังคับละ เขาก็จะวิ่งลงหน่วยหรือนรกของตนเองตามที่ตัดสินโดยที่ไม่มีใครบังคับเลย ส่วนพระเณรนี่จะต้องถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกไว้ไม่ให้เอาลงไปด้วย นรกของพระเณรมี ๓ ลูกใหญ่ๆ ยาวไปทางทิศใต้มองดูจนสุดลูกหูลูกตา มีราวเหล็กใหญ่เท่าต้นตาลยาวมากไว้พากผ้ากาสาวพัสตร์ไว้แน่นไปหมด” . สวรรค์สร้างวิมานรอผู้ทำกรรมดี . “เขาก็พาอาตมาเดินไปทั่วจนไปถึงวิมานหลังหนึ่ง หลังใหญ่มากสวยงาม มีแสงระยิบระยับไปหมดทั้งหลัง อาตมาก็ถามเขาว่าวิหารของใคร ทำไมไม่เห็นมีเจ้าของ ทำไมหลังใหญ่สวยจังเลย เขาก็บอกว่ามีเจ้าของแต่ตอนนี้เขาลงไปเที่ยวเมืองมนุษย์ เดี๋ยวเขาก็ขึ้นมาไม่นานหรอก พอมองลงไปเขาก็บอกว่านั่นไงเจ้าของวิมานนั่งอยู่นั้น อาตมาก็มองตามเขาก็มีความรู้สึกว่ารู้จักคนสองคนนั้น อ้าว... พ่อใหญ่กำนันพรมนั่นแหละเจ้าของ และนั่นก็แม่ใหญ่บุญมา เป็นภรรยาของพ่อใหญ่พรม ตั้งแต่แต่งงานกันมาก็ไม่มีลูกด้วยกัน นี่แหละวิมานเขาเพราะเขาได้สร้างศาลาหลังใหญ่ถวายหลวงปู่ศรี มหาวีโร อยู่บ้านขามเฒ่า อาตมาก็ได้ไปฉลองศาลาหลังนั้นกับเขาเหมือนกัน นี่แหละวิมานที่ไปฉลองกันละ เขาลงไปเมืองมนุษย์ไม่นานก็ขึ้นมาแล้ว เขาบอกว่าไม่นาน อาตมาก็สงสัย เลยบอกว่าพ่อใหญ่พรมนี่ ๗๐-๘๐ ปีแล้วนะ เป็นคนเฒ่าคนแก่แล้วนะ วันหนึ่งของเมืองสวรรค์นี่นานแค่ไหน เขาก็บอกว่าเลยกว่า ๑๐๐ ปีมนุษย์ เป็นวันหนึ่งของเมืองสวรรค์ ก็ตอนนี้พ่อใหญ่พรมเขาลงไปยังไม่ถึง ๑๐๐ ปีเลย ก็ยังไม่ถึงวันหนึ่งของสวรรค์ ไม่ถึงครึ่งวันด้วย ไม่นานเขาก็ขึ้นมา เขาบอกอาตมา” . โลกมนุษย์เหม็นความยิ่ง . “ตอนที่อาตมาสลบไปนั้น อาตมานุ่งผ้าอยู่ผืนเดียว พอเขามารับไปเมืองสวรรค์ปรากฏว่าอาตมาไม่ได้เอาผ้าครองไปด้วยคือผ้าไตรสามผืนมี สบง จีวร สังฆาฏิ ตอนจะย้อนกลับมาที่เมืองมนุษย์ อาตมาก็ไม่มีผ้าสามผืนนี้ ท่านห้ามไม่ให้พระสงฆ์ขาดผ้าสามผืนนี้เป็นเด็ดขาด ไปไหนก็ต้องเอาไปด้วย ให้รักษา อย่าให้ล่วงราตรีล่วงคืน อาตมาก็เลยต้องขอกราบลาครูบาอาจารย์ที่ชักชวนขึ้นไปสวรรค์นั้น อาตมาบอกว่ากระผมไม่ได้เอาผ้ามา นี่ก็จะล่วงราตรีแล้วจะกลับลงไปเอาผ้าซะก่อน พออาตมาของลา ท่านก็ยกมือรับกันทุกองค์ อาตมาก็หันหน้าก้าวลงมาก้าวเดียวเท่านั้น ตอนอยู่เมืองสวรรค์หอมมาก แต่พอก้าวลงมาก้าวเดียวเท่านั้นแหละเหม็นมาก คาวก็คาว เหม็นคาวหมดเลยเมืองมนุษย์เรานี่ ลงมาแล้วทำไมมันถึงเหม็น เพราะวิญญาณเรามาเข้าร่างแล้ว ร่างเรามีแต่ซากของสัตว์ เพราะตั้งแต่เกิดมากินแต่ซากของปู ของปลา ของเป็ดไก่ อาหารต่างๆ สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ฝังอยู่ในกายนี้ มีแต่ของเน่าของเหม็น มิน่าเทพบุตรเทวดาถึงไม่อยากมาอยู่เมืองมนุษย์นี้เพราะมันเหม็นคาวถึงจะหมดบาปหมดบุญแล้ว แต่นี่เพราะมันเป็นบาปเป็นกรรมของเรา” . กลับสู่โลกมนุษย์ . “พอจิตอาตมากลับเข้ามาในธาตุในขันธ์แล้วนานเลยกว่าจะลืมตาเห็นแสงสว่างได้นี่ พอเห็นแสงสว่างแล้วจะยกเท้ามือขึ้นต้องพยายามยกอยู่นานจนเหงื่อไหล เพราะธาตะในร่างกายและชีพจรของเรามันยังเดินไม่สะดวก มันยังหมุนเวียนไม่รอบตัว พอมันรอบตัวแล้ว ก็ครองตังพยุงตัวได้ ลุกขึ้นได้แล้วก็เลยลงไปสรงน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ได้ยินเสียงระฆังที่ครูบาอาจารย์ตีให้ลงทำกิจวัตร เท่านั้นแหละพอลงมาได้ทีนี้หายจากโศกเศร้าโศกา ไม่กลัวตายวิตกวิจารณ์อะไรสักอย่างเลย ความเหนื่อยความหิวความกระหาย ก็เลยกวาดตาดไปเรื่อย พอกวาดไปจนถึงลานวัดก็เห็นหลวงปู่สม ท่านก็มองหน้าอาตมาแล้วพูดว่า “อ้าว...หน้าตาไม่เหมือนเดิมแล้ว” มันเป็นยังไง “หน้าตาไม่เหมือนคนธรรมดาเลย ไม่เหมือนทุกวันที่เห็นมีแต่ขี้หูขี้ตา มองหน้าก็ไม่ได้ วันนี้แปลก”
น้อมกราบเทิดทูนในธรรมโอวาท องค์หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ ด้วยเศียรเกล้า
|