"คนรวย เค้าทำบุญเก่ง คนสวยนี่ เค้ารักษาศีลดี คนเกิดขึ้นมา ใจดี คนนี้ก็มุ่งแต่ภาวนา ฝึกฝนอบรมจิตใจ จะเอาหมด ก็ต้องทำหมดนะ"
หลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป
"ถ้าคนไม่ต้องการพลาด ก็ไม่ต้องทำอะไร เมื่อทำก็ต้องมีการพลาดอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ ก็อาศัยความพลั้งพลาดแต่ละครั้ง เป็นบทเรียนที่เราต้องจำ รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักจดรู้จักจำในสิ่งที่เราพลาดไปแล้ว ต่อไป เรื่องอย่างนี้ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก ถือความพลาดพลั้งเป็นบทเรียน ถือเป็นครู เป็นอาจารย์ที่จะบอกสอนตัวเราว่า ต่อไป อย่าให้พลาดอีก อย่าให้ผิดอีก"
หลวงปู่วัน อุตฺตโม
"เงินทองข้าวของ มีได้ หาได้ เสียไปได้เป็นธรรมดา แต่คุณงามความดี ที่จะเป็นสมบัติของตัว แต่ละคนๆ ให้เป็นคนมีสง่าราศีนี้ เป็นของหายาก ยิ่งกว่าเงินทองนะ ให้ลูกหลานทั้งหลาย จำเอาไว้"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
"โภคทรัพย์และทรัพย์สิ่งของคือสมบัติภายนอก มีได้ก็เสื่อมได้ อริยทรัพย์เป็นทรัพย์ภายในที่ไม่มีเสื่อม ไม่มีใครฉกชิงแย่งเอาไปได้ เป็นทรัพย์สูงสุด เป็นชื่อสูงสุด หากมีอริยทรัพย์ทรัพย์สินเงินทองภายนอกจะเต็มบริบูรณ์โดยอัตโนมัติ"
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี
"พวกเราเวลานี้ก็ฟังมากจนเหลือเกิน ในเมื่อฟังมากๆ ไม่รู้จักประมวล มันก็เสร็จแค่นั้นเอง เราก็ลองประมวลดูซิที่สอนๆมาทั้งหมดคืออะไรบ้าง ไล่ไปแล้วสรุปผลเนี่ยมันเข้ามาสู่อะไรกันแน่ นะ นอกจากกายกับจิตแล้วมันมีอะไร คำว่านอกจากกายและจิตนั่น กายน่ะมันมีอะไร ธรรมะทั้งหมดประมวลเข้ามาสู่กาย ถ้าจะเล่าถึงความไม่เที่ยง ก็เอาอะไรมาไม่เที่ยง จะเล่าถึงความเป็นทุกข์ เอาอะไรมาเป็นทุกข์ เราลองดูซิ เล่าถึงความเป็นอนัตตา เอาอะไรมาเป็นอนัตตา
ส่วนใจนั้นคืออะไร..เป็นผู้รับรู้ แล้วจะเกิดความรู้สึกตามเหตุที่กระทบ อันนี้เป็นเรื่องของจิต แล้วก็ใช้ปัญญาตรองเข้าไปแก้ไข ก็แก้ไขจิต เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็หมายความว่ามีกายกับจิต
ยิ่งจะมามองถึงอายตนะ ภายนอก ภายใน มันก็มีหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ เราลองดูเองก็แล้วกัน มองดูให้ดีๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะหกภายใน อายตนะภายนอกล่ะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหลายเหล่านั้นมันหมายความว่ายังไง ก็ใจเราหลงใช่ไหม แล้วหลงเรื่องอะไร ลองดูซิ มันหลงเรื่องอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเผื่อกายเหรอ ลองดูซิ ลองดูให้ดีๆ
ตาเห็นรูป ก็ลองมองดูดีๆ ต้องการ ไม่ต้องการ ต้องการเพื่ออะไร ไม่ต้องการเพราะอะไร เพราะอะไรจึงไม่ต้องการ สรุปแล้วไม่ใช่อยู่ที่กายกับใจเท่านั้นหรือ ลองไล่ดูซิ หูที่ฟังเสียงเช่นกัน เช่นกัน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกต้องสัมผัส แล้วก็ใจมีอารมณ์ เราลองคิดดูก็แล้วกัน อ่านทวนไปดีๆซิ ทวนไปทวนมา ทบทวนให้ละเอียดลออซิ ได้ความว่ายังไงกันแน่ มันสรุปเข้ามาแค่นี้ มันไม่ไปไหนเลย จะเทศน์ไปไกลแค่ไหนก็มารวมอยู่แค่นี้
สรุปให้ถึงที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่ท่านชี้ไปทั้งหมดเนี่ย ตามหลักพระไตรปิฎกลองอ่านดูมากมายเหลือเกิน สรุปแล้วทั้งหมดประมวลแล้วมันเข้ามาจุดเดียว คือทำให้ใจรู้สภาพความเป็นจริงของกาย ทั้งเราและเขา ได้แก่รูปอันนี้เท่านั้นเอง ว่าสภาพความเป็นจริงมันเป็นยังไง ให้จิตยอมรับ จะพลิกไปทางไหน แพลงไปทางไหนก็แล้วแต่ ประมวลเข้ามาแล้วเวลานี้ เราหลงเรื่องอะไร๊ มองให้ดีๆก็แล้วกัน ก็เพื่อต้องการให้ใจเข้าใจสภาพความเป็นจริงอันนั้น ไม่ทวนกระแส ให้เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของเค้าจริงๆดูซิ เท่านั้นเองน่ะ มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ถ้าใจของเรายอมรับสภาพความเป็นจริง คือสังขารร่างกายเนี่ย เป็นสภาพไม่เที่ยง แปรปรวน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เราเข้าใจสามอย่างเนี้ยให้ชัดๆออกมาซิ ให้จิตยอมรับจริงจริ้ง! ไม่ใช่รู้เฉพาะประสาทสมอง ให้ใจยอมรับสภาพอันนี้จริงๆซิ มันจะเป็นยังไงกันความรู้สึก นี่อยากลองถามผู้ปฏิบัติดู ลองดูซิ ถ้าใจยอมรับสภาพความเป็นจริงอันนี้อย่างถูกต้องแล้ว ความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง เราจะรู้ได้ทันทีว่า โลกนี้ไม่มีอะไรน่าหลง หลงเบื้องต้นก็หลงเราซะก่อน นอกจากหลงเราก็หลงเขา หลงเพื่อจะนำมาเพื่ออะไร ก็ดูเอง ตลอดดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่ออะไร มองดู หรือจะมองในรูปกิเลส โลภ โกรธ หลง เอาแค่นั้นก็แล้วกัน โลภเพราะอะไร สิ่งที่ต้องการอยากได้ทั้งปวงนั้นเพื่ออะไร ก็ไม่ใช่เพื่อกายนี่หรือ โกรธ ทำไมถึงโกรธ ลองคิดให้ดีๆซิ นี่ก็เป็นเรื่องของจิต โกรธ กลัวเขาจะไม่นิยมเรา เขาดูถูกเรา กลัวคนอื่นหาว่าเราไม่ดี กลัวจะไม่มีเพื่อนฝูง กลัวคนจะไม่รัก ไม่นับถือ กลัวเขาจะนำไปนินทาต่อไป อะไรต่างๆทั้งหมดนี้ มันเพื่ออะไรอีก ลองอ่านดูดีๆ มันหนีไปไม่พ้น หลง คืออะไรหลง ก็มีหลงรักกับหลงชัง ก็แค่นั้นเอง หลงรักกับหลงชัง หลงรักเอามาเพื่ออะไร ชังทำไม ลองดูซิ ถ้าไม่เผื่อเรื่องแค่นี้ เนี่ยต้นตอมันไปจากนี่ทั้งหมด ต้นตอ
เพราะเรายึดว่าเราเป็นเรา อันเนี้ยขึ้นมาก่อน มันก็โยงใยเข้าไปหาอย่างอื่น ลามปามไปหาอย่างอื่น สรุปแล้วตัวยืนพื้นจริงๆก็คือตัวเรานี่เอง คือกายของเรานี่ ที่เราหึงเราหวง เราดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อกายของเรา อันนี้ลองคิดดูดีๆเถอะ แล้วก็เรื่องกายเรื่องจิตเนี่ยสองอย่างมันพัวพันกันอยู่
โดยสรุปผลแล้วคืออะไร เพื่อหาวิธีให้ใจยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้ มองดูดีนะๆ สิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เรากำลังหลงอยู่เหล่านี้ เราเป็นต้นตอ ตัวต้นตอที่เราดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อเขา ป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่มาขัดขวางต่อสิ่งทั้งปวงที่เราจะนำมาเพื่อเขา อะไรสุดแล้วแต่ มันโยงใยกันจากตัวนี้ ถ้าเรามาเข้าใจตัวนี้ไม่ใช่เรา เพียงแค่ธาตุประชุมกันอยู่ เขาจะต้องสลายไปวันหนึ่งแน่นอน ตัวของเราจริงๆคือใจ..จะต้องไปต่อภพ ให้มันชัด!ออกมาซิ ให้มันชัดออกมาจริงๆ ลองมองให้มันชัดๆซิ ถ้าเราสามารถรู้กายของเรานี้อย่างถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของเขาแล้ว อะไรมันเป็นสิ่งที่น่าหลงในโลกนี้ ถ้ามันยอมรับอย่างเดียวแล้ว มีแต่สิ่งที่น่าเศร้าสลด มองแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง เป็นสิ่งที่ไม่น่าหลง เราจะเห็นได้ชัดด้วยตัวของเราเอง อันนี้
อะไรมันหลงล่ะ ก็ใจนั่นแหละ หลงรักหลงชังก็คือใจนั่นแหละ มันเกิดขึ้น แล้วก็ใจตัวนั้นแหละ..มันมายึดว่ากายนี้อีกซะล่ะ เป็นของเขา เขาก็ต้องการสิ่งเหล่านั้นมาปรนเปรอนี้ ป้องกันสิ่งที่ขัดขวาง จึงได้มีความโกรธขึ้นมา เขามาทำลายสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาดูถูกเรา กลัวจะไม่มีลาภสักการะ กลัวคนเขาจะว่าเราไม่ดี กลัวจะไม่มีชื่อเสียง กลัวจะไม่มีลาภสักการะ ไอ้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นโลกธรรมแปดนั้น ไอ้ตัวที่มันเล่นละครที่กระโดดโลดเต้น ก่อให้เกิดทุกข์วุ่นวายอยู่นั้นคือจิต เนื่องจากมันหลงกายของตัวเองเป็นเบื้องต้น จึงไปหลงกายผู้อื่น จึงไปหลงสิ่งต่างๆที่จะเอามาบำรุงปรนเปรออะไรส่วนร่างกาย ซึ่งเขายึดว่าเป็นเขาอยู่นี่ อันเนี้ยมันหนีไปไหนไม่พ้น
พระไตรปิฎกทั้งกือ อ่านไปเถ๊อะ..สรุปแล้วมันประมวลลงมานี่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้พิจารณาเข้าใจสภาพของง่ายๆ แค่สามอย่าง สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะไปเอาอะไรมากมาย เอาตัวเนี้ยเป็นหลักยืนพื้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ยัดเยียดเอาความจริงเข้ามาให้จิตรับซะ"
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
#เราหาของดีย่อมได้ผลดีโดยไม่ต้องสงสัย
เรื่องอสุภะอสุภัง นี่เป็นหลักใหญ่สำหรับจิตในภูมิที่มีกิเลสตัณหา กามราคะ ต้องเอาอสุภะอสุภัง ให้มาก ทำให้มาก เจริญให้มาก
ทำให้จิตเห็นอสุภะบ่อยๆ ทำให้จิตเบื่อหน่ายบ่อยๆ
เราอย่าพิจารณาอสุภะด้วยความโกรธ เราต้องพิจารณาอสุภะด้วยความเบื่อหน่าย ด้วยความเห็นโทษของมัน
ด้วยความเห็นคุณในการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ว่าเป็นคุณประเสริฐเลิศโลกจริงๆ
ต่อจากนั้นไปก็แยกเป็นพิจารณาทางด้าน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไปพอจิตละเอียดลงไปโดยลำดับสุดท้ายก็รวมลงมาที่ อนตฺตา หมด
นี่การพิจารณา มันคงจะเป็นความถนัดตามจริตนิสัยของใครของมัน
แต่สำหรับอาตมา ..พิจารณาลงไปๆ แล้วมันไปรวม อนตฺตา หมด พอถึง อนตฺตา แล้ว สุดท้ายก็เป็น อนตฺตา ทั้งหลายทั้งปวง
ดังบาลีท่านว่าไว้ "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรถือมั่น คำว่าไม่ควรถือมั่นนั้นมันเป็น อนตฺตา ทั้งสิ้น
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็น อนตฺตา ธรรมทั้งปวงก็หมายถึงขั้นที่ควรจะปล่อยหมดแล้ว ไม่ถือมั่นยึดมั่นปล่อยหมด ตัวเองผู้ปล่อยก็ไม่ถือมั่นในตัวเอง
รู้รอบขอบชิด อดีต อนาคต ปัจจุบัน รู้เท่าทันทั้งนั้น ปล่อยขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีสิ่งใดเหลือ นี่อำนาจแห่งปัญญาเป็นอย่างนี้
นี่ละสัจธรรม แปลว่าของไม่เที่ยงแท้แน่นอน ก่อนอื่นเราจะได้ของแท้ของดีก็ต้องพิจารณา จากสิ่งเหล่านี้แหละ
เช่นเราต้องการข้าวสุกข้าวสาร เราต้องทำนาได้ข้าวเปลือก ต่อจากนั้นก็ค่อยพัฒนาข้าวสารเป็นข้าวสุก
ผลก็จะสำเร็จดังหมาย มรรค ผล นิพพานก็เหมือนกัน ต้องพิจารณาจากของหยาบๆไปเสียก่อน แล้วของดีของเลิศของประเสริฐก็ตามมา เพราะเราหาของดี ย่อมได้ผลดีโดยไม่สงสัย
#หลวงพ่อสมเกียรติ #ชิตมาโร #วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิต
#วิธีตัดกามราคะ.. (หลวงตามหาบัว)
พอปัญญาเริ่มออก หมุนเข้าสู่สกลกายเรื่องอสุภะอสุภัง นี่ละรังแห่งกิเลสทั้งหลายมีกามกิเลสเป็นสำคัญ อยู่จุดนี้นะ ให้พิจารณาร่างกาย ร่างกายเขาก็ตามร่างกายเราก็ตามให้พิจารณาเป็นอสุภะอสุภัง ดูหนังดูเนื้อเอ็นกระดูก ทั้งหนังเขาหนังเรามันเป็นหนังอันเดียวกันนั่นแหละ คลี่คลายออกดู ดูหนังข้างนอกก็มีผิวหนัง ดูข้างในเป็นอย่างไร พลิกไปพลิกมาด้วยปัญญา แล้วกระดูก เนื้อ เอ็น ไปจนกระทั่งถึงอวัยวะส่วนต่างๆ พิจารณากลับไปกลับมาให้มีความชำนิชำนาญในการพิจารณา ให้คล่องตัวไปเรื่อยๆ แล้วเรื่องอสุภะอสุภังนี้ก็จะรวดเร็วขึ้นๆ ถ้าพูดถึงอสุภะความไม่สวยไม่งามมันหมดทั้งตัว มันเอาความสวยงามมาจากไหน เวลามันรู้มันชัดอย่างนั้นนะ หมดทั้งตัวมีแต่กองอสุภะอสุภัง มีแต่ส้วมแต่ถาน แล้วมันเสกสรรปั้นยอว่าสวยงามมาจากไหน นี่ ถึงขั้นปัญญามันคลี่คลายนะมันจะเห็นไปหมด ดูใครก็ตามว่าไม่ว่าหญิงว่าชายว่าเฉยๆ มันก็หนังห่อกระดูกกองอสุภะอสุภังเหมือนกันหมดนั่นแหละ นี่ที่มันเหมาไปเลย เราจะพิจารณาภายนอกก็ได้ อสุภะข้างนอกคนอื่นก็ได้ พิจารณาเราก็ได้แล้วแต่ความถนัด เอาให้มันกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับแล้วคล่องตัวเรื่อยนะ อสุภะอสุภังเวลาพิจารณาไปมันจะคล่องตัวรวดเร็วขึ้น มองดูอะไรๆ นี้มันจะเห็นอย่างรวดเร็วๆ คำว่าอสุภะ ดูเนื้อนี้มันแดงโร่ไปเลย ดูกระดูกกระจ่างขึ้นมา ดูอะไรมันชัดเจนๆ นี่เรียกว่าปัญญาคล่องแคล่ว ครั้นเวลามันชำนิชำนาญพอแล้วทีนี้เห็นอะไรมันเป็นอย่างนี้หมดนะ ไม่ว่าเห็นหญิงเห็นชายที่ไหนๆ มองดูปั๊บนี่มันเป็นแบบเดียวกับเราที่เคยพิจารณาแล้วนี้ มีแต่หนังห่อกระดูก ถ้าว่ากระดูกมันก็เป็นกระดูกหมดเสีย ถ้าว่าเนื้อก็แดงโร่เสีย ถ้าว่าหนังข้างในก็แดงโร่ข้างนอกก็เป็นผิวหลอก แน่ะ พอกำหนดอันนี้มันรวดเร็ว กำหนดให้พังเมื่อไรมันก็พัง นี่ละคือปัญญารวดเร็ว พิจารณาเป็นอะไรมันเป็นอย่างนั้นทันทีๆ กำหนดทำลายนี้มันก็ผางหมดเลยๆ เราเดินไปสามก้าวสี่ก้าวนี่มันพิจารณาทางด้านปัญญา มันทำลายอสุภะอสุภังไปได้ถึงห้าเที่ยวฟังซิน่ะ มันเร็วไหม นี่เรื่องการพิจารณาอสุภะอสุภังถึงขั้นปัญญารวดเร็วคล่องตัวแล้วนี้ผางทีเดียว พอกำหนดปั๊บนี่แตกกระจายลงผึง ตั้งขึ้นปุ๊บแตกผึง ตั้งขึ้นปุ๊บกระจายทันทีๆ เดินเพียงสามก้าวสี่ก้าว เราพิจารณาทำลายอสุภะอสุภังได้ถึงสี่เที่ยวห้าเที่ยว มันเป็นเองนะ นั่นล่ะที่นี่เอาให้แหลกนะพิจารณาอสุภะ เอา พิจารณาให้ดีให้มีความคล่องตัว มองดูข้างนอกก็ให้คล่องตัว เรื่องสุภะความสวยความงามไม่มีเลยละถึงปัญญาขั้นนี้แล้ว มันมีแต่มูตรแต่คูถเต็มเนื้อเต็มตัวทั้งเขาทั้งเรา ตอนนี้ละราคะจะสงบเต็มที่นะจะไม่มีราคะ ปรากฏว่าเหมือนหนึ่งเป็นพระอรหันต์น้อยๆ นั่นแหละ ไม่มีเรื่องราคะ กำหนดหลอกมันให้กำหนัดมันก็ไม่กำหนัดเพราะอันนั้นมาเป็นภูเขากั้นหน้าไว้ คืออสุภะ มีแต่อสุภะจะเอาอะไรมากำหนัดยินดี นี่ละเวลาอสุภะมันแก่กล้าแล้วจะไม่เห็นความสวยความงาม เรื่องหญิงเรื่องชายไม่มีความสวย มีตั้งแต่อสุภะอสุภังเต็มตัวๆ นี่ราคะจะสงบตอนนี้ สงบมากเข้าๆ โดยลำดับ เอ้า ที่นี่เรื่องสุภะอสุภะก็ดีไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถอนกิเลสโดยตรงนะ เป็นเครื่องฝึกซ้อมที่จะก้าวเข้าไปหาการตัดราคะต่างหาก ราคะจริงๆ ไม่ได้อยู่ในนั้นนะ เวลาพิจารณาจริงๆ เอ้า เวลามันชำนาญแล้วจับให้ดีนะคำนี้ เวลามันชำนาญแล้วตั้งกำหนดอสุภะ เช่น เรานั่งเป็นหนังห่อกระดูก หรือเอาหนังออกหมดให้เหลือแต่เนื้อแดงโร่ หรือให้เหลือตั้งแต่กองกระดูก แล้วแต่เราจะพิจารณาแบบไหนคำว่าอสุภะมันก็เข้าใจกัน เอ้า เอามาตั้งไว้ตรงหน้า เอ้า ไม่ทำลาย นี่ละเรื่องทดสอบกันฝึกซ้อมกัน เราพิจารณาทำลายเมื่อไรเร็วที่สุดแหละเรื่องอสุภะนี่ เมื่อสติปัญญาคล่องตัวแล้วพิจารณาเมื่อไรพังเมื่อไรนี้ขาดสะบั้นไปทันทีไม่ยากเลย เพราะความคล่อง ทีนี้ไม่ทำลาย เราจะทดสอบเอาหลักความจริงว่าราคะนี้มันเกิดจากไหน ราคะจะสิ้นไปเมื่อไร เอาตรงนี้ละ ตรงนี้ตรงหัวเลี้ยวหัวต่อนะ ทีนี้เวลามันชำนิชำนาญในการพิจารณาอสุภะอสุภังแล้ว เอ้า กำหนดไว้ข้างหน้าที่นี่นะ จะกำหนดเรื่องผู้หญิงอสุภะก็ตาม กำหนดผู้ชายเป็นอสุภะก็ตาม แต่ส่วนมากมันจะเอาตัวเองนั่นแหละออกเป็นอสุภะ อสุภะไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะตัวนี้เป็นผู้ไปหมายนี่นะ ตั้งไว้ทีนี้ไม่ทำลาย สมมุติว่ากองกระดูกก็ให้มันเป็นอยู่นั้น เอ้า มันจะเป็นไปไหน เราไม่ตกไม่แต่งคือไม่ไปทำลาย ไม่ไปโยกย้ายมันด้วยเจตนานะ ให้ตั้งไว้ เอ้า มันจะเป็นอย่างไร ทีนี้เพ่งดู เพ่งดูอสุภะอันนี้อันที่เราเคยพิจารณาชำนิชำนาญให้แตกให้ดับเมื่อไรได้ตามต้องการ ทีนี้ไม่ทำลาย เอาตั้งไว้ตรงหน้าแล้วเพ่งดู นี่ละตอนสุดท้ายของอสุภะ เราจะได้เห็นชัดเจน ตั้งตรงนี้ เราไม่มีเจตนานะ ตั้งไว้ในปัจจุบันไม่มีเจตนาทำลาย ไม่มีเจตนาที่จะดึงเข้ามาและที่จะไสออกไป ทางซ้ายทางขวาข้างหน้าข้างหลัง ให้มันอยู่อย่างนั้นก่อน เราอย่าไปตกแต่งนะ นี่จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ ตกแต่งเป็นความผิดนะ ให้มันเป็นในหลักธรรมชาติเอง เอ้า เอาตั้งไว้ตรงนั้นแหละ เมื่อตั้งไว้ไม่ทำลาย เอาอยู่อย่างนั้นมันอยู่อย่างนั้น อยู่จนถึงกาลอันควร เมื่อมันยังไม่เคลื่อนไหวไปไหนแล้ว เอา ทำลายเสียก่อนพิจารณาอีกๆ นะ พอสมควรแล้วเอามาตั้งอีก นี่ละที่จะฝึกซ้อมหาต้นตอของราคะตัณหา มันจะเกิดนี้ อันนี้ผมพูดยากนะ ถ้าพูดหมู่เพื่อนจะจับ ให้มันเป็นเอง เพราะฉะนั้นจึงเปิดประตูให้เข้าเอง นี่ละประตูที่จะสังหารราคะตัณหาตรงนี้เอง เอ้า ตั้งไว้ตรงนั้น เราไม่ต้องไปดึงเข้ามา ไม่ต้องไสออกไปข้างนอก ไม่ต้องให้เอียงหน้าเอียงหลัง คือตั้งไว้อย่างนั้นเป็นหลักธรรมชาติ ฟังว่าแต่หลักธรรมชาติ ให้มันเป็นโดยหลักธรรมชาติของมัน แล้วให้เพ่งดู เอ้า ว่ามันจะเคลื่อนย้ายไปไหนอสุภะอันนี้น่ะ เราพิจารณามาพอแล้ว ให้แตกทำลายก็พอ ทีนี้ไม่ให้ทำลายแล้วจะดูมัน เอ้า ตั้งไว้นั้นแหละ มันจะเป็นอย่างไรให้เป็นเองให้เห็นประจักษ์ โดยไม่ต้องถามใครนะ เป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะบอกตัวเอง ถ้าหากว่ามันยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ให้อยู่มันก็อยู่ แสดงว่ายังไม่พอ การพิจารณาอสุภะของเรายังไม่พอ ฝึกซ้อมใหม่ เอ้า ทีนี้ทำลายเสีย จะทำลายก็ทำลาย แล้วพิจารณาต่อไปอีกอย่างนั้นแหละ ตั้งขึ้นแล้วทำลายในนั้นและเอามาตั้งอีกทดสอบกันอีก เมื่อมันพอแล้วไม่บอกละนะ อันนี้ผมจะไม่บอก ให้ตั้งไว้นั้น อันที่ตั้งนั่นละมันจะมาสอนเราเอง เรื่องราคะตัณหามันจะบอกในตัวเอง เห็นโทษของตัวเองที่ไปหมายมั่นปั้นมือเอาอันไหนๆ มันจะรู้ขึ้นในปัจจุบันโดยไม่ต้องถามใคร นี่ละหลักถอนราคะ ไม่ใช่ว่าถอนด้วยอสุภะนั้นอสุภะนี้อะไรนะ มันถอนด้วยตรงนี้ เอาตรงนี้มาตั้งจุดสุดท้ายมันจะอยู่จุดนี้ กำหนดให้ดี เอ้า มันจะออกจะเข้าให้มันเป็นเองของมัน นี่ละตอนสำคัญ ผมบอกเพียงจุดเดียวนี้นะ ให้เอาอย่างนี้มาพิจารณา มันจะเข้าสู่หัวใจของเรานี่ละเป็นผู้ตัดสินมันเรื่องราคะ อ๋อ อย่างนี้เอง โห ราคะเป็นอย่างนี้เอง อันนั้นเป็นนั้นอันนี้เป็นนี้เราหลงเงาลืมเงา นี่จับตัวจริงได้แล้ว ทีนี้พอผ่าน เราพูดเอาตอนผ่านเลย ตอนที่ปฏิบัติหน้าที่เรื่องราคะกับอสุภะอันนี้พูดเพียงแค่นี้ก่อน ไม่พูดให้มากไปกว่านี้ ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดเอานี้เองนะ เราจะพูดเรื่องทางผ่านต่อไปนะ ทีนี้พอมันหมดจังหวะ อสุภะนี้หมดจังหวะแล้ว ให้เราตั้งอันนี้แหละตั้งอสุภะขึ้นมา ที่เราเคยได้เหตุได้ผลประจักษ์หัวใจแล้ว ตั้งครั้งนี้ฝึกซ้อม เอ้าฝึกซ้อม เอาอันนี้เป็นหินลับปัญญาเลย ฝึกซ้อมเรื่อย มันจะละเอียดเข้าไปๆ ตั้งขึ้นแล้วกำหนดนี้ปั๊บเข้าปุ๊บๆๆ ต่อไปก็ค่อยเร็วเข้าๆ สุดท้ายหมด นี่แหละเรียกว่าฝึกซ้อม สติปัญญาจากนี้ไปแล้วจะเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ส่วนสติปัญญาพิจารณาทางอสุภะอสุภังนี้ยังไม่เป็นอัตโนมัตินะ มันเป็นชุลมุนวุ่นวาย จะเรียกว่าอัตโนมัติยังไม่ได้ พอผ่านอันนี้ไปแล้วที่นี่ มันอาศัยอันนี้ละเป็นเครื่องฝึกซ้อม แล้วจะเป็นอัตโนมัติหมุนเรื่อยๆๆ นี่ละพระอนาคามีที่ท่านถึงจุดนี้แล้วท่านจึงว่าไม่กลับมาเกิดอีก จะเกิดได้อย่างไรก็มันรู้ชัดๆ ก็มีแต่ฝึกซ้อมให้มันเลื่อนขึ้นละเอียดเข้าไปๆ นี่ละอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี คือการฝึกซ้อมจิตอันนี้เอง มันจะละเอียดเข้าไปๆ ควรขั้นไหนๆ มันจะรู้ของมันเองเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสุดท้ายของมันถึงเรื่องอันนี้หมด เรื่องวิธีฝึกซ้อมอะไรมันหมด นี่ก็จะบอกอีกเหมือนกัน จนกระทั่งอวิชชา ถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ลงในอวิชชา ขาดสะบั้นไปแล้วนี้จ้าไปหมดเลย ถึงขั้นไหนล่ะที่นี่ นี่ละเรื่องวิธีปฏิบัติให้ท่านทั้งหลายจำเอานะ ผมพูดมาตามลำดับลำดาแห่งภาคปฏิบัติที่ตัวเองได้ปฏิบัติมาแล้วหายสงสัยเป็นลำดับลำดา เป็นแบบฉบับแก่การสอนผู้อื่นได้โดยไม่สงสัยเลย เพราะเราปฏิบัติมาอย่างนี้ เป็นผลประจักษ์กับเรามาโดยลำดับลำดาหาสงสัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงกล้าที่จะนำมาสั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความแน่ใจไม่สงสัย นี่ละเรื่องอสุภะสำคัญมากนะ ขอให้ท่านทั้งหลายใช้เรื่องอสุภะอสุภังให้มาก กามราคะอยู่จุดนี้นะ ต้องใช้อันนี้ให้มาก กามราคะนี้จะค่อยลดลงๆ พอลืมหูลืมตาได้ ถึงมันยังไม่ขาดก็ลืมหูลืมตาได้ จนกระทั่งถึงจุดมันขาดมันก็รู้เอง ให้เอาอันนี้หนัก จากนั้นไปก็ก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วมหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงถึงกัน อันนี้ไหลไปเลย นี่ละภาคปฏิบัติ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน อยู่ที่ธรรมที่วินัยพระพุทธเจ้าสอน ที่พูดนี้เป็นธรรมล้วนๆ นี่ละอยู่ที่ธรรม นี่ละศาสดาองค์เอกอยู่ที่นี่ละ จำให้ดีนะอยู่ที่วิธีปฏิบัติอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามที่ท่านสอน นี่ละศาสดาองค์เอกคือธรรมละที่นี่ องค์เอกอยู่ที่นี่ อะไรขาดไปๆ ศาสดาองค์เอกจะบอกขึ้นมาๆ เรื่อย วินัยเป็นรั้วกั้นๆ ศาสดาองค์เอกนี้เป็นธรรม ฝึกซ้อมนี่ให้ดีๆ จิตกระจ่างออกมาๆ ส่วนวินัยเรารักษาด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรละนั่น เรื่องวินัยไม่ได้ไปใช้อสุภะอสุภังอะไรละ วินัยเป็นวินัย ห้ามไม่ให้ล่วงเกินสิกขาบทข้อนั้นข้อนี้ ไม่ให้ล่วงเกินเราก็รู้กันแล้ว เราไม่ล่วง แต่เรื่องธรรมละเอียดกว่านั้น พิจารณาเรื่องธรรมให้ขาดสะบั้นออกไปจากใจของเรานะ เมื่อจิตถึงขั้นนี้แล้วจะเบิกกว้างแล้วหมุนตัวขึ้นเรื่อยๆ จิตที่ขาดจากอสุภะอสุภังในฐานเบื้องต้นนี้เรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นสำลีหมุนขึ้นเรื่อย ให้ลงไม่มี เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก มันบอกชัดๆ อยู่ในหัวใจ มีแต่หมุนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งที่สุดฟาดอวิชชาขาดสะบั้นลงไปนี้โลกจ้าไปเลย นี่ละภาคปฏิบัติ ท่านทั้งหลายอย่าไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนนะ ให้จำให้ดี ธรรมและวินัยที่เราปฏิบัติอยู่นี้แลคือศาสดาองค์เอกคอยชี้แนะทางเราอยู่เสมอ อย่าให้ห่างจากนี้นะ เรื่องธรรมของเราที่ไม่ชำนิชำนาญตรงไหน เอาให้ดี เช่นอย่างพิจารณาฝึกซ้อมอสุภะอสุภัง เพราะกิเลสตัณหากามกิเลสนี้หนักหน่วงมากทีเดียวนะ แหม ไม่มีอะไรที่จะกดจะถ่วงมากยิ่งกว่ากามกิเลสราคะตัณหานะ กดถ่วงมากกล่อมมากด้วยนะ สัตว์ทั้งหลายนี้ติดกันงอมไปเลยไม่มีวันฟื้นคือตัวนี้แหละ มันกดมันถ่วง เพลินด้วย ความทุกข์ก็เต็มอยู่ในอันนี้ ทีนี้เวลาพิจารณานี้เบาเข้าๆ เรื่องความทุกข์ความกดถ่วงนี้ค่อยเบาไป ฟาดกามกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วความกดถ่วงไม่มี มีแต่ดีดขึ้นข้างหน้าเรื่อย ดีดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ที่ว่าไม่กลับมาเกิดอีก ก็คือกิเลสตัวนี้เองพาให้เกิดให้ตาย กดถ่วงให้เกิดภพนั้นภพนี้คือกามกิเลส พอตัวนี้ขาดสะบั้นไปจากใจแล้วจิตนี้เหมือนสำลีขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งฟาดอวิชชาขาดสะบั้น นั้นแหละจอมแห่งไตรภพอยู่ที่นั่น ขาดสะบั้นแล้วไม่ต้องถามใคร พูดแล้วสาธุทันทีเลย พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ธรรมอันเดียวกันอย่างเดียวกัน ท่านสอนเพื่อให้รู้อย่างนี้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะไปสงสัยที่ไหน สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาแล้ว เป็นพระโอวาทอันเด็ดขาดของพระพุทธเจ้าเสียด้วย นั่นละท่านจึงไม่มีถามกัน พระสาวกองค์ไหนไม่เคยไปทูลถามพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุธรรมถึงที่สุดนี้แล้วเป็น สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมิๆ ให้ตั้งใจปฏิบัตินะ เวลานี้ผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลมันน้อยลง ก็เพราะผู้ปฏิบัติสนใจปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยเพื่อความพ้นทุกข์ มีน้อยลงเป็นลำดับลำดานะ ต่อไปจนจะไม่มีนะ มันจะหมดไปๆ คำว่าศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาหนาแน่น ในคัมภีร์ก็เต็มไปหมดมันก็เป็นเหมือนแบบแปลนแผนผังนั่นเอง เราไม่หยิบยกออกมากางมาประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่ท่านสอนไว้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่ความจำเฉยๆ ผู้ใดเรียนก็จำได้ ผู้หญิงผู้ชายเด็กผู้ใหญ่เรียนจำได้ทั้งนั้น ไม่ว่าทางโลกทางธรรมเรียนอะไรจำได้ทั้งนั้น แต่มันมีแต่ความจำ ไม่มีความจริงเพราะไม่ปฏิบัติ ถ้ามีการปฏิบัติแล้วความจริงจะรู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือน เอาแปลนมากางแล้ว เอ้า จะทำอย่างไรเอาตึกหลังไหนขนาดไหน ดูแปลนปั๊บนี้ เอาที่นี่ขุดดินขุดอะไรขึ้นไปเรื่อยจะเอาแบบไหนๆ วางรากวางฐานตามแปลน มันก็ค่อยปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาๆ จนเป็นบ้านเป็นเรือนสมบูรณ์แบบตามแปลนนั้นแลเพราะแปลนถูกต้องแล้ว นี้แปลนของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วยิ่งกว่าคนมีกิเลส ของเขาเขาก็รับรองของเขาอยู่แล้วตามสมมุตินิยม ทางวิมุตติธรรมนี้ก็สอนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงนิพพานถูกต้อง เป็นสวากขาตธรรมตลอดนะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ..
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ผู้ใดขยี้กามราคะตัณหา อันเป็นเหมือนเปือกตมไปได้ ขยี้หนาม คือกามราคะตัณหาไปเสียได้ ผู้นั้นนับได้ว่าเป็นผู้หมดโมหะ ไม่สะทกสะท้านในนินทา สรรเสริญ ทุกข์หรือสุขถ้าใครปฏิบัติได้ มันก็เป็นอย่างนั้น
โอวาทธรรม #หลวงปู่เจี๊ยะ #จุนโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง
…ใครเขามีวาสนาบารมีมากกว่าเรา เขาเก่งกว่าเรา ดีกว่าเรา เจริญกว่าเรา “ เราก็ควรที่จะแสดงมุทิตาจิต “
.คือ..ชื่นชมยินดีว่า เขาอุตส่าห์สร้างบารมีมาต่างๆ ตอนนี้บารมีที่เขาสร้างมา ได้ส่งผลให้เขาได้รับผลของเขาแล้ว
.ถ้าเราอยากจะได้เป็นเหมือนเขา เราก็ต้องพยายามสร้างบารมีแบบเขา แล้วต่อไปในอนาคต เราก็จะได้เป็นเหมือนเขาได้
.ให้คิดแบบนี้ดีกว่าที่ไปอิจฉาเขา เพราะอิจฉายังไงเราก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะการที่จะได้ดิบได้ดี ได้ความสุขความเจริญนั้น “ มันเกิดจากการสะสมบุญบารมีต่างๆ “. ……………………………………. . ธรรมะบนเขา ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สร้างบุญบารมีไม่หยุดไม่ถอย ภาวนาไม่หยุดไม่ถอย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง บุญบารมีจะเต็มเอง
ก็เหมือนกับเราหยอดกระปุกออมสินนั่นหล่ะ หยอดวันละ ๑ บาท เดี๋ยวก็เต็มเอง...
หลวงปู่ไม อินทสิริ
#วิธีอุทิศบุญกุศล
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ... เมตตาสอนวิธีอุทิศบุญกุศล
ให้ตั้งนะโม 3 จบ … ข้าพเจ้า (บอกชื่อตัว) นามสกุล เกิดวันที่... วันนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตถึงบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก รวมถึงองค์เทพ องค์พรหม ที่ปกปักรักษากายสังขาร วิญญาณ ลูกอยู่
วันนี้ลูกตั้งจิตถวาย (บุญที่ทำ เช่นใส่บาตร ถือศีล สวดมนต์ ให้ทาน ฯลฯ) ลูกขอถวายบุญกุศลนี้ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ นำส่งบุญให้ลูกเจริญขึ้น ทั้งการงานการเงิน และความรัก ให้ลูกมีเดช ปัญญาโภคะ (ความสมบูรณ์) ทุกภพทุกชาติ และขออุทิศบุญกุศลนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ รวมถึงวิญญาณที่ตามมาทุกผู้ทุกคน คือมนุษย์ เช่น บริวาร ญาติมิตร คนรับใช้ สามี ภรรยา บุตร ธิดา ทุกภพทุกชาติ
ขอให้ได้รับมหากุศลนี้ รับแล้วขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ให้ขาดจากกัน ณ เดี๋ยวนี้บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้า มีบุญบารมีสูงขึ้นๆ เต็มขึ้น เพื่อช่วยสังคมให้สูงขึ้น และสร้างคนให้เป็นพระต่อไป และให้เกิดปัญญาทางธรรม สมบูรณ์พูนผลทุกอย่าง ด้วยบุญที่ทำนี้เทอญ...สาธุ
ศรัทธา มีมากเกินไป ขาดปัญญา กลายเป็น #งมงาย. ปัญญา มีมากเกินไป ขาดศรัทธา กลายเป็น #ทิฏฐิมานะ. สมาธิ มีมากเกินไป ขาดปัญญา กลายเป็น #โมฆะ.
ปัญญา มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเป็น #ฟุ้งซ่าน. วิริยะ มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเป็น #เหน็ดเหนื่อย. สมาธิ มีมากเกินไป ขาดวิริยะ กลายเป็น #เกียจคร้าน.
#สติ_มีมากเท่าไหร่ยิ่งดี_มีแต่คุณ_ไม่มีโทษ
#หลวงปู่เทสก์_เทสรังสี
“วันหนึ่ง … ขณะที่อาตมายังเป็นวัยรุ่น จำได้ว่า เดินเข้าไปในห้องสมุด ขนาดใหญ่ แล้วรู้สึกท้อแท้เป็นที่สุด สมัยนั้น อาตมากระหายความรู้มาก อยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ในวินาทีนั้น อาตมารู้ว่า... ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต อยู่แต่ในห้องสมุด ไม่ทำอะไรเลย นอกจากอ่านหนังสือ อาตมาก็อ่านได้เพียงส่วนน้อยนิด จากจำนวนหนังสือที่เก็บไว้ทั้งหมด อาตมายืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น .. และ รู้สึกท่วมท้น
อาตมาระลึกถึง คำถามของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ชาวอินเดียท่านหนึ่ง ที่ถามว่า... “อะไรคือสิ่งเดียวที่รู้แล้ว เราจะรู้ทุกสิ่ง” อาตมาตระหนักว่า คำตอบข้อนี้เป็นของธรรมดาที่สุด
เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือทุกเล่ม ที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่จำเป็นต้องศึกษา และ ทำความเข้าใจ “#จิตใจของตนเอง”
มีความรู้มากมาย ที่เราต้องเรียนรู้ เพื่อเอาตัวรอดในโลกนี้ และทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า แต่สิ่ง ที่สำคัญที่สุด คือ “#การรู้จักตัวผู้รู้”
- ชยสาโรภิกขุ - แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ .รวบรวมโดย - ท.ส.ปญฺญาวุฑฺโฒ
|