นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 7:27 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พรหมวิหาร 4
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 09 พ.ย. 2021 7:13 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
#ถึงเวลามันก็มาเองแต่ต้องสร้างเหตุให้ดีเสียก่อน

สมัยก่อน มีพระรูปหนึ่งท่านเห็นหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล มีทรัพย์ มีญาติโยมชอบมาหาและมาถวายปัจจัย ท่านก็เข้ามาหาแล้วมาถามว่า

"ท่านอาจารย์ผมอยากมีทรัพย์ มีลาภ มีคนมาหาอย่างท่านอาจารย์บ้าง จะทำยังไงครับ"

หลวงพ่อก็ตอบไปว่า

"ไม่ยากหรอก ท่านก็ไปนั่งภาวนาก่อน ไปนั่งหลับตาภาวนาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวถึงเวลาของมัน มันก็มาเองหรอก"

ท่านนั่งไป ๑ อาทิตย์ ท่านก็เดินมาหาหลวงพ่อแล้วบอกว่า

"ผมนั่งภาวนา ๑ อาทิตย์แล้วมันยังไม่ได้เลย "

ก็บอกท่านไปอีกว่า "นั่งจนกว่ามันได้โน่นแหละ ภาวนาไปจนกว่ามันจะได้ ภาวนาจนตายก็ช่าง เอาจนได้ "

#นี่แหละภาวนาด้วยความอยากมันจะได้อะไร

ภาวนาแค่อาทิตย์ไม่เอาจริง มันจะได้เรื่องอะไร

ภาวนาด้วยความอยาก ความอยากมันก็เหมือนผ้าม่านปิดบังแสงสว่างให้มิดนั้นแหละ มองไม่เห็นอะไร ม่านบังไว้หมด มืดหมด

ให้ตั้งใจว่า...จะได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่าง เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่าง ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร

ถ้ามันเป็นของเรา ถึงเวลามันก็มาเอง ฯ

#พระพรหมวชิรคุณ
ท่านพ่อไพบูลย์ สุมังคโล








กิเลสสั่งให้ล้มหัวนอน ...เราต้องสู้
#ลุกขึ้นมานั่งภาวนาหรือเดินจงกรม

กิเลสสั่งให้ไปเที่ยวมั่วอบายมุข
...เราต้องฝืน เดินหนีจากที่นั่น
ให้เข้าวัดทำบุญหรือไปในที่อันเป็นประโยชน์

#เราต้องฝืนกิเลสอยู่บ่อยๆฝืนอยู่เรื่อยๆ
กิเลสก็จะอ่อนกำลังลง
แล้วจิตใจของเราก็จะเกิดเป็นนิสัยเคยชิน-
ในการสะสมความดี

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา







"ขี้วัว ขี้ควาย ใส่ต้นไม้ยังพอ
มีประโยชน์ ขี้โมโห.. ขี้โกรธ..
จะได้ประโยชน์อะไร..!! "

#ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์






…เพราะศีล อยู่ที่การรักษา
ไม่ได้อยู่ที่วันเวลา

.ถ้าเราอยากจะมีศีล
ก็มีได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่

.ไม่ต้องรอมาที่วัด
ไม่ต้องรอใส่ชุดขาวถึงจะมีศีล ๘ ได้

.เพราะศีล..
“ อยู่ที่ใจ อยู่ที่เจตนารมณ์ “.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๓๗ กัณฑ์ที่ ๓๔๔
๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๐







“สติสำคัญที่สุด”

สตินี้สำคัญที่สุด ถ้ามีสติควบคุมความคิดได้ จะควบคุมกิเลสได้ ต้องมุ่งไปที่การเจริญสติเป็นหลัก ให้ใจอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ อย่าไปคิดถึงคนโน้นคนนี้ ใครจะทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำไป ไม่ต้องสนใจ ต้องปลีกวิเวก

ถ้าอยู่ใกล้คนจะเจริญสติยาก เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็จะดึงใจเราไป เห็นเขาก็อดที่จะคิดไม่ได้ ใจก็ลอยไปแล้ว ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็อย่ามองข้ามสติ สตินี้สำคัญที่สุดในธรรมทั้งปวง

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สติเป็นเหมือนรอยเท้าช้าง ที่ใหญ่กว่ารอยเท้าของสัตว์ทั้งหมด ใหญ่กว่าปัญญา ใหญ่กว่าสมาธิ ใหญ่กว่าวิริยะ ใหญ่กว่าขันติ ถ้าไม่มีสติ ธรรมเหล่านี้จะเกิดไม่ได้ อย่ามองข้ามสติไปเป็นอันขาด

จุลธรรมนำใจ, ๓๐ กัณฑ์ที่ ๔๔๓
วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี






“จะไปนิพพานได้ต้องบวชอย่างเดียวใช่ไหมครับ”

คำถาม: กว่าจะไปนิพพานได้ ต้องบวชอย่างเดียวใช่ไหมครับหลวงพ่อ

พระอาจารย์: ถ้าบวชได้ก็จะได้ไปเร็ว ไปง่าย ก็เหมือนขับรถระหว่างอยู่บนทางด่วนกับอยู่ใต้ทางด่วนนี้ อย่างไหนจะไปเร็วกว่ากัน การบวชก็เป็นเหมือนกับการขึ้นทางด่วน การไม่บวชก็เหมือนขับรถอยู่ใต้ทางด่วน ถ้าอยู่ใต้ทางด่วนมันก็มีรถเยอะ มีสี่แยกเยอะ มีไฟแดงเยอะ มีอะไรการจราจรติดขัดเยอะกว่า ทำให้การไปถึงจุดหมายปลายทางได้ช้ากว่า เขามีทางด่วนไว้ทำไม มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางใช่ไหม ทางด่วนก็มีการอำนวยความสะดวกในการไปนิพพานนี่เอง แต่ไม่จำเป็น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องบวชถึงจะไปนิพพานได้ เป็นฆราวาสก็ไปได้ แต่อาจจะอีกหลายชาติก็ได้ ชาตินี้อาจจะไปไม่ถึงก็ได้เวลาไม่พอ อาจจะต้องไปต่ออีกหลายชาติกว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง แต่ถ้าขึ้นทางด่วนได้นี่มันก็เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงรับประกัน พระพุทธเจ้าเป็นคนขายตั๋วทางด่วน ถ้าคุณขึ้นทางด่วนนี้รับประกันได้ คุณไปถึงจุดหมายปลายทางไม่ ๗ วัน ก็ ๗ เดือน ไม่ ๗ เดือน ก็ ๗ ปี อย่างแน่นอน

รายการตอบปัญหาธรรม ครั้งที่ ๒๕ โดย ท่านพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
คุณหมอวีระพันธ์ สุวรรณนามัย (Dr. V Channel) วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๔








#หลวงปู่มั่นเป็นผู้มีญาณใหญ่_ไม่มีใครเทียบเท่าได้
#และท่านเคร่งครัดในธุดงควัตรมากที่สุด.. "

ลูกศิษย์ลูกหาที่วัดบูรพารามเคยกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เกี่ยวกับเรื่องราวของท่าน พระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เล่าให้ฟังในอีกแง่มุมหนึ่ง อาจแตกต่างจากที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านพบในที่ต่างๆ ไปบ้าง

... ครั้งนั้น พระโพธินันทมุนี ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า “ได้อ่านประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ที่มีผู้เขียนไว้อย่างพิสดาร มีสิ่งเร้นลับเหนือวิสัยและอภินิหารบางอย่างอยู่ในนั้นมากมาย หลวงปู่เคยอ่านบ้างไหม และมีความเห็นอย่างไร..!! "

#หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า :: “เคยอ่านเหมือนกัน สมัยที่เราอยู่กับท่านนั้น ไม่เคยได้ยินท่านพูดสิ่งเหล่านี้ให้ฟังเลย แต่ถ้าจะพูดในแง่ธุดงค์แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่จะถือธุดงค์อย่างเคร่งครัดที่สุด"

...ยืนยันได้เลยว่า ลูกศิษย์ของท่านทั้งหมด
ยังไม่มีผู้ใดถือได้เท่าเทียมกับ ท่านอาจารย์ใหญ่เลยแม้แต่องค์เดียว ท่านพระปรมาจารย์หรือท่านอาจารย์ใหญ่หลวงปู่นั้น จะไม่ยอม
ใช้ผ้าสบงจีวรสำเร็จรูป หรือคหบดีจีวร ที่มีผู้ซื้อจากท้องตลาดมาถวายเลย นอกจากได้ผ้ามาเอง แล้วมาตัดเย็บย้อมเองทั้งหมดจึงใช้ และไม่เคยดำริหรือริเริ่มให้ใครคนใดคนหนึ่งสร้างวัดสร้างวาเลย มีแต่สัญจรไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าป่าตรงไหน เหมาะสมท่านก็อยู่ เริ่มด้วยการปักกลดแล้วทำที่สำหรับเดินจงกรม ส่วนญาติโยมผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เมื่อมาพบและมองเห็นความเหมาะสมสำคัญ ก็จะสร้างกุฏิน้อย สร้างศาลาชั่วคราวถวายท่าน....

... ต่อจากนั้น สถานที่นั้นก็กลายเป็นวัดป่าเจริญรุ่งเรือง ต่อมายิ่งกว่านั้น แม้แต่การรับกฐินท่านก็ไม่เคย สมัยต่อมานั้นไม่ทราบและท่านไม่เคยถือเอาประโยชน์ที่ได้รับอานิสงส์พรรษาตามพระพุทธบัญญัติ ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือน ได้รับการยกเว้นบางอย่างในการปฏิบัติ ท่านจะถือตามสิกขาบทโดยตลอด ไม่เคยยกเว้น ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธุดงควัตรโดยสม่ำเสมอ

... ด้านอาหารการฉันก็เช่นเดียวกัน ท่านถือการบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำไม่เคยขาด แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย แต่พอเดินได้ท่านก็เดิน จนกระทั่งในที่สุด เมื่อเดินไปบิณฑบาตไม่ได้ ท่านก็ลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มบาตร ศิษยานุศิษย์ที่กลับมาจากบิณฑบาต และญาติโยมก็มาใส่บาตรให้ท่าน แล้วท่านก็จะขบฉันเฉพาะอาหารที่อยู่ในบาตรเท่านั้น

... แม้ท่านชราภาพมากแล้ว เวลาท่านเจ็บไข้ หรือป่วยมากจนไม่อาจเดินออกนอกวัดได้ ก็ทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างนี้ และยังฉันอาหารมื้อเดียวตลอด แม้แต่หยูกยาคิลานเภสัชต่างๆ ที่ใช้ในยามเจ็บไข้ ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ไม่นิยมใช้ยาสำเร็จรูป หรือแม้แต่ยาตำราหลวง หากแต่พยายามใช้สมุนไพรตัวยาต่างๆ มาทำเอง ผสมเองเป็นประจำ แม้แต่การเข้าไปพักตามวัด ก็นิยมพักที่วัดป่า จำได้ว่าไม่เคยเข้าไปอยู่ในวัดบ้านเลย แต่จะอยู่วัดที่เป็นป่าหรือชายป่า เมื่อไม่มีวัดเช่นนี้อยู่ ท่านจะหลีกเร้นอยู่ตามชายป่า แม้ว่าจะมีความจำเป็นเวลาเดินทางก็ยากนักที่จะเข้าไปอาศัยวัดวาในบ้าน

หลวงปู่ดูลย์ได้เล่าถึงคำสอนของท่านพระอาจารย์ใหญ่เกี่ยวกับการขบฉันภัตตาหารไว้ว่า

“ท่านอาจารย์ใหญ่สั่งสอนไว้ว่า การฉันอาหารต้องฉันอย่างประหยัด มีสติสัมปชัญญะ เพื่อขัดเกลาจิตใจมิให้เกิดความโลภ วิธีการฉันนั้น เมื่อรับข้าวสุกมากะว่าพออิ่มสำหรับตนแล้ว ให้แบ่งข้าวสุกที่ตนพออิ่มนั้นออกเป็น ๓ ส่วน เอาออกเสียส่วนหนึ่ง แล้วจึงรับเอากับข้าวมาในปริมาณที่เท่ากับส่วนหนึ่งที่เอาออกไป กล่าวคือ ให้มีข้าว ๓ ส่วน กับข้าว ๑ ส่วน แล้วจึงลงมือฉัน”

... ท่านอาจารย์ใหญ่เอง ก็จะฉันภัตตาหาร
ในลักษณะเช่นนี้โดยตลอด เมื่อมีผู้ใดจะตระเตรียมภัตตาหารในบาตรถวายท่าน ซึ่งท่านอาจารย์ใหญ่ ก็จะแนะนำให้จัดแจงมาในลักษณะเช่นนี้ แล้วท่านจึงฉัน นี้คือปฏิปทาส่วนตัวของท่านพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตามที่หลวงปู่ดูลย์เล่าให้ฟัง ซึ่งหลวงปู่ดูลย์จะพูดถึงแต่ในแง่ที่ท่านถือธุดงค์ ในแง่ที่ท่านเคร่งครัดอย่างไร เพื่อให้ผู้สนใจซักถามนั้น ได้ถือเป็นแบบแผนเยี่ยงอย่าง... "

... ส่วนคุณธรรมด้านอื่นๆ นั้น หลวงปู่ดูลย์
เคยกล่าวในแวดวงนักปฏิบัติว่า....

#ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ที่มีญาณใหญ่_ไม่มีใครเทียบเท่าได้. ดังนี้เท่านั้น...

#ปกิณกธรรมหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต
#เล่าโดยหลวงปู่ดูลย์_อตุโล








"..การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่
การกิเลสนี้ร้ายนัก
มันมาทุกทิศทาง ความพอใจก็คือกิเลส ความไม่พอใจ
ก็คือกามกิเลส กามกิเลสนี้ อุปมาเหมือนแม่น้ำธารน้ำน้อยใหญ่
ไม่มีประมาณไหลลงสู่ทะเล ไม่มีที่เต็มฉันใดก็ดี กามตัณหา
ที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นแหล่งก่อทุกข์
ก่อความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุดทั้งหมด อยู่
ที่ใจ
สุขก็อยู่ที่ใจทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละคือตัวเหตุ ทำความพอใจให้อยู่ที่ใจนี่.. "

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่







#เรื่องท่านพ่อลีเป็นพระดีจริง_ดีแท้_หายาก"

"...อาจารย์ลี พระอย่างนี้ดีจริง ดีแท้ หายาก ถ้าจะเผานี่ปล่อยให้มันแย่ง ๕ นาที ก็เกลี้ยงแล้ว(แย่งอัฐิธาตุ)

...ผม(สมเด็จฯ) อยู่วัดโน้น(วัดมกุฏฯ) ผมรู้ มีคนไปเล่าให้ผมฟัง เขาแต่งงานกันมา ๓ ปี อยู่ราชบุรีไม่มีลูก มาขอลูกกับอาจารย์ลี มันก็ได้ลูกขึ้นมา

...อีกคนหนึ่งเงินเดือนก็ไม่เลื่อนสักที เขาก็ไปขออาจารย์ลีให้เงินเดือนขึ้นหน่อย อีกไม่นานเงินเดือนขึ้น หลายคนด้วยที่เป็นแบบนี้

...เป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ติดคุกกำลังจะโดนประหารชีวิต ท่านก็ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ให้ถูกประหารได้

...ยากจนที่สุด เขาจะตายภายใน ๓ - ๔ วัน
ท่านรู้ ก็บอกหวยให้ไปซื้อเอา เมื่อตายแล้ว
ลูกหลานก็ได้เอาเงินนั้นมาทำศพ... "

#อาจารย์ลีก่อนตายเพียง_๓_วัน
#เขียนจดหมายไปบอกผม_ท่านรู้วันตาย
#พระอย่างนี้ต้องเก็บไว้ให้คนได้กราบไหว้บูชา"

#ปกิณกธรรมท่านพ่อลี_ธัมมธโร
#พระดำรัสสมเด็จพระสังฆราชจวน_อุฏฐายี







"เราทำงานคนเดียวไม่ได้
แต่ละคนมีดีคนละอย่าง
ควรหันหน้าเข้าหากัน
ทำงานด้วยกัน
เอาส่วนรวมเป็นหลัก
มิใช่เอาตนเป็นใหญ่"

หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป








"..เจ้ากรรมนายเวร คือ
ผู้ที่ถูกทำร้ายก่อน และ
ผูกอาฆาตจองเวร แม้
ไม่อาฆาตจองเวรก็
ไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวร
คือไม่เป็นผู้คิดร้าย
ไม่ติดตามทำร้ายให้เป็น
การตอบสนอง หรือ
ที่เรียกกันว่าแก้แค้น

ผู้มีสัมมาทิฐิ ความ
เห็นชอบประกอบด้วย
สัมมาปัญญา แม้จะไม่
เห็นหน้าตาของเจ้ากรรม
นายเวรแต่ย่อมไม่
ประมาท ไม่ว่าเป็นสิ่งไม่มี
และย่อมไม่เห็นเป็นความ
เหลวไหล ไม่มีเหตุผล

ที่ท่านสอนให้ทำบุญอุทิศ
ให้ท่านผู้เป็นเจ้ากรรม
นายเวร เช่นเดียวกับ
ท่านผู้เป็นมารดา บิดา
บุพการีผู้มีพระคุณ
ทั้งปวง อะไรที่ไม่มีทาง
เสียหาย มีแต่ทางได้หรือ
เสมอตัว ผู้มีปัญญา
ย่อมทำย่อมไม่ปฏิเสธ.."

พระคติธรรม
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก







จำไว้นะ ศีลสมาธิปัญญา เป็นสมบัติที่มีค่าของเรา

หลวงพ่อจิตโต บ้านสบายใจ







“ยศถาบรรดาศักดิ์”ทางโลกหลวงปู่ท่านไม่เคยพูดถึง ไม่เคยได้ยินจากปากหลวงปู่ซักคำ ไม่ได้สนใจเลย ไม่พูดถึง
บรรดาศักดิ์ตามพระธรรมวินัย คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ บรรดาศักดิ์เหล่านี้ต่างหากที่ใครก็ให้ไม่ได้ ถอนไม่ได้ ไฉนไม่แสวงหามาครอบครองเล่า

คือ มันต้องปล่อยวางนะ ท่านอายุกันขนาดนี้แล้ว ลมหายใจจะพ้นคำข้าวคำใดคำหนึ่งหรือเปล่ายังไม่รู้ พรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาหาท่านก่อนกันก็ยังไม่รู้

ท่านต้องเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บ้างไม่มากก็น้อย เรื่องบางเรื่องท่านก็ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล สิ่งใดมาก็มา สิ่งใดไปก็ไป ทำตนให้ว่างจากลาภสักการะ

#หลวงปู่สุพจน์ #วัดห้วงพัฒนา






#จะถอดกิเลสนะ #มันต้องคิด
#พิจารณากายในกาย

ตั้งแต่โสดาบันผล ถึงอนาคามีผล ตั้งแต่กายอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ๓ ระดับ

- กายอย่างหยาบ ก็โสดาบันผล
- กายอย่างกลาง ก็สกิทาคาผล
- กายอย่างละเอียด ที่ละได้ก็อนาคามีผลนั้นล่ะ

#นี่แหละเป้าหมายของการพิจารณา #กายในกายเนี่ย

อันนี้เป็นทางที่ไม่ผิด ไม่เชื่อก็ลองทำดู แล้วจะเห็นประจักษ์ชัดด้วยใจของตนเอง รู้เห็นธรรมขึ้นมาก็ด้วยใจของตนเอง

#ใจจะเป็นธรรมขึ้นมาก็ด้วยพิจารณากายในกายนี่แหละ

พิจารณาอารมณ์นั้น ปล่อยวางชั่วคราวเท่านั้นแหละ วันนี้ละรูปนี้ลงไป ละเสียงนี้ กลิ่นนี้ รสนี้ ออกไป พรุ่งนี้ รูปใหม่ รสใหม่ กลิ่นใหม่ สัมผัสใหม่ ไม่เหมือนเดิม

#สติปัญญาต้องทำงาน
เหนื่อยเหมือนเดิมทุกๆ วัน

ละวางได้แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ขุดรากถอนโคน รากเหง้า คืออุปาทานความยึดมั่น ในกายตนแล้วเนี่ย อารมณ์ไม่มีทางละขาด...

#พระอาจารย์อัครเดช (#ตั๋น) #ถิรจิตโต
#วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
เทศน์เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
เรื่องปฏิปทาที่เหมาะสม








พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้ 5 คือ 3 กับที่ผ่านมาแล้วและละเพิ่มได้อีก 2 ข้อ คือกามราคะ ความยินดีในประเพณีของโลก และปฏิฆะความหงุดหงิดใจ

ส่วนกามราคะนั้นอยู่ในวงของรูปกาย ตามความเห็นของธรรมะป่าว่า สักกายทิฏฐิ ๒๑ นั่นแลเป็นบ่อของกามราคะแท้ ควรเป็นภาระของพระอนาคามี เป็นผู้ละได้โดยเด็ดขาด

เพราะผู้จะก้าวขึ้นสู่ภูมิอนาคามีโดยสมบูรณ์ จำต้องพิจารณาขันธ์ห้าโดยความรอบคอบด้วยปัญญา แล้วผ่านไปด้วยความหมดเยื่อใย คือสามารถพิจารณาส่วนแห่งร่างกายทุกส่วน เห็นด้วยความเป็นปฏิกูลด้วย โดยความเป็นไตรลักษณ์ด้วย ประจักษ์กับใจ จนทราบชัดว่าทุกส่วนในร่างกายทั้งหมดนี้มีความปฏิกูลเต็มไปหมด

ความปฏิกูลของร่างกายที่ปรากฏเป็นภาพอยู่ภายนอก กลับย้อนเข้ามาสู่วงของจิตภายในโดยเฉพาะ

และทราบชัดว่าความเป็นสุภะทั้งนี้ เป็นเรื่องของจิตออกไปวาดภาพขึ้นมา แล้วเกิดความกำหนัดยินดีก็ดี

ความเป็นอสุภะที่จิตออกไปวาดภาพขึ้น แล้วเกิดความเบื่อหน่ายและอิดหนาระอาใจต่อความเป็นอยู่ของร่างกายทุกส่วนก็ดี

ในภาพทั้งสองนี้จะรวมเข้าสู่จิต
ดวงเดียว คือมิได้ปรากฏออกภายนอกดังที่เคยเป็นมา

จิตได้เห็นโทษแห่งภาพภายนอกที่ตนวาดขึ้นอย่างเต็มใจ พร้อมทั้งการปล่อยวางจากสุภะและอสุภะภายนอก ที่เกี่ยวโยงกับส่วนร่างกายที่ตนเคยพิจารณา ถอนอุปาทานความถือกายออกได้โดยสิ้นเชิง

เรื่องของกามราคะซึ่งเกี่ยวกับกายก็ยุติลงได้ ในขณะที่ถอนจิตถอนอุปาทานจากกาย โดยผ่านออกระหว่างสุภะและอสุภะต่อกัน หมดความเยื่อใยในสุภะและอสุภะทั้งสองประเภท

#หลวงตามหาบัว







ผู้หวังพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร ปัญหาไม่มีมาก

ผู้จะอวดดีอวดเด่น ในวัฏฏสงสาร ปัญหามันก็มาก สิ่งไหนมันไม่สมประสงค์ก็ยิ่งยุ่งขึ้นมาใหญ่ เพิ่มปัญหาขึ้นอีกพูนทวี

เพราะในวัฎฎสงสารมันไม่สมประสงค์กับใคร นอกจากจะทำจิตทำใจ ให้คลาย ให้เบื่อ ให้หน่าย ให้หลุด ให้พ้น ไปเท่านั้น จะทำให้มันอยู่ในวงแขนนั้น มันไม่อยู่เสียแล้ว มันไม่อยู่ในวงแขนของใคร

เห็นอนิจจังขณะจิตเดียว ก็เห็นโลกรอบแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยอนิจจัง เห็นทุกข์ขณะจิตเดียว ก็เห็นโลกรอบแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยความทุกข์

เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเขา เพียงแต่สักว่า รูปขันธ์ นามขันธ์ เกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนดับสลาย เป็นสักแต่ว่าสังขาร เพียงแค่ขณะจิตเดียวก็เห็นโลกรอบแล้ว

ไม่ต้องสงสัยในโลกทั้งปวง ถ้าเห็นชัด ถ้าเห็นไม่ชัดก็ไม่ตัดความสงสัย ถ้าเห็นชัดก็ตัดความสงสัย...

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต







...เทศนาธรรม...
“ตัดกระแส”

..เดี๋ยวนี้เราจะค้นคว้า หาสภาพความเป็นจริง อยู่ในธาตุสังขารก้อนนี้ อยู่ในรูปในนามก้อนนี้หละ ว่าความเป็นจริง มันเป็นรูปไหนวิธีไหน

ถ้าหากเราขาดอุปกรณ์ในการค้นคือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล้ว เป็นไปได้ยาก

ค้นคว้า เพื่อจะสละ สลัด ตัดกระแสของความฟุ้งซ่านรำคาญ หรือความส่งหน้าส่งหลังของจิต ให้หดตัวเข้ามาเป็นหนึ่งนี้หละ

ถ้าหากจิตใจหดตัวน้อยลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้จักความเป็นจริง และเห็นภัยในความแก่ ความเกิด ความเจ็บ ความตาย เห็นภัยในสิ่งต่าง ๆ ในโลก เรียกว่าในวัฏฏะสงสารอันนี้หมด

เมื่อเห็นภัยแล้ว มันก็หดตัวเข้ามาเอง

นี้เป็นวิธีการจะตัดกระแสความเกิด ตัดกระแสความตาย เมื่อตัดกระแสความตาย ก็เรียกว่าตัดกระแสความเกิดเหมือนกัน เราจะเป็นไปเพื่อความเจริญ..

#หลวงปู่ศรี #มหาวีโร
เทศนา เรื่อง พิจารณาความตาย






#แล้วเราจะได้ไม่ต้องมาเกิดมาตายในโลกอันนี้อีกต่อไป

โลกอันนี้เป็นโลกต่อสู้ ชีวิตอันนี้เป็นชีวิตต่อสู้ ให้ทำจิตทำใจของเราให้เป็นนักต่อสู้ ทุกข์ยาก อดอยาก เหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด ต่อสู้เอา โลกอันนี้ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นเอง โลกอันนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเราหรอก เราเพียงเดินผ่านมา คนที่เขาตายไปนั้น เขาผ่านไปแล้ว เราผ่านมาแล้วเราก็กำลังจะผ่านไป

สิ่งใดเป็นความดี เราควรจะมีติดไม้ติดมือไป ให้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นสมบัติของใจ เพราะวัตถุใด ๆ ก็ช่างในโลกนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหมด แตกสลายหักพังทั้งนั้น จะเป็นของมีค่ามีราคาละเอียดประณีตงดงามสักเท่าไรก็ช่าง ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เราก็จะจากเขาไปก่อน เราไม่จากเขา เขาก็จะจากเราไปก่อน

สิ่งที่เราไม่จากเขา และเขาจากเราไม่ได้ คือใจ แต่งลงที่จิตที่ใจของเรานี้ ให้เป็นบุญเป็นกุศล ให้สมบูรณ์ด้วยความดี สมบูรณ์ด้วยความเบิกบาน สมบูรณ์ด้วยความปีติ สมบูรณ์ด้วยความใสสุข สมบูรณ์ด้วยความเย็น สมบูรณ์บริบูรณ์

แล้วเราจะได้ไม่ต้องมาเกิดมาตายในโลกอันนี้อีกต่อไป

หลวงปู่แบน ธนากโร









“..ทุกสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครจับจองได้แม้แต่นิดเดียว เพียงแต่มาดู รู้เห็น แล้วก็จากไป

ของที่เราติด เรายึด เราถือไว้นั้น ไม่ใช่ของๆเรา แต่เป็นของของโลก ของมีไว้ประจำโลก จะยกเอาออกไปจากโลกนี้ไม่ได้ มีแต่จะเกิดทุกข์

เพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าของของโลก เราเป็นเพียงแต่ผู้มาดูโลกเท่านั้น และเราเองก็ไม่มีตัวตน เป็นเพียงผู้รู้เฉยๆ.."

หลวงปู่คูณ สิริจันโท








ใจของเรา หากว่าไม่มีสติสัมปชัญญะยับยั้ง จิตใจก็วิ่งอยู่ตลอดรอบโลกจักรวาล เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนี้เรื่องนั้น จนลิ้นห้อย จนเหนื่อย บางคนก็มีเรื่องเครียดเข้ามาอีกจนถึงโมโหโกรธา ตาดำตาแดง นอนไม่หลับอีก เพราะความเครียดความเสียอกเสียใจ ทุกข์ใจอีกต่างหาก

นี่แหละ หากว่าเราเอาจิตจุดนั้น มาสู่ความสงบ จิตใจนิ่งไม่ต้องคิด เรื่องอะไรจะเกิด อะไรจะมีมันต้องมี ในโลกเป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เรายังไม่เกิด จิตใจของเราตัดเข้ามาอยู่ในห้องแอร์ ไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ จิตนิ่ง เพียงแค่นี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นัตถิสันติปะรังสุขัง ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

เมื่อจิตใจเข้าสู่ความสงบแล้วนะ มีความสุข ถ้าอีกทีมันมีความทุกข์ขึ้นมา เราก็หาที่หลบที่ซ่อนกระโดดเข้ามาในหลุมเพาะเลย เราไม่ต้องรับในเรื่องราวต่างๆ เรารู้จักที่หลบที่ซ่อนละทีนี้ เราจะไม่ทะเล่อทะล่าวิ่งเหมือนกับหมาบ้า พอมีเรื่องอะไรก็วิ่งตลอด จนดิ้นลิ้นห้อย น้ำลายไหล หมาบ้ามันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันหยุดไม่ได้ มันต้องวิ่งตลอดไปนะ

ถ้าเรารู้จักที่หลบ ที่หยุด มีสติสัมปชัญญะ หยุดในความรู้สึกนึกคิด จุดนั้นนะ นี่แหละจะมีความสุขขึ้นมาในระดับหนึ่ง แต่ไม่ให้นิ่งนอนใจในความสงบนั้น เพียงแต่ว่าเป็นการพัก เป็นการพักอริยาบทหรือว่าพักความรู้สึกนึกคิด การเป็นอยู่ของเราทุกสิ่งทุกอย่าง

ถึงพวกเราจะมาเกิดกี่ภพกี่ชาติก็อย่างนี้แหละในโลกนี้ มาบางทีก็ประสบผลสำเร็จ บางทีก็เหมือนกับเราไปแข่งกีฬา มีแพ้มีชนะอยู่ตลอดเท่านั้นหล่ะ บางทีก็แพ้ร้องห่มร้องไห้ บางทีชนะก็ไชโยโห่ฮิ้ว ต่อมาอีกก็แพ้อีกก็ร้องห่มร้องไห้ มันมีกระเพื่อมอยู่อย่างนี้โลกวัฎสงสาร

สรุปแล้วก็คือโลกเกิดมาในโลกมันน่าเบื่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพวกเราได้นำธรรมคำสอนของพุทธะมาแนะนำสั่งสอนบอกกล่าวให้กับพวกเรา ขอให้พวกเราศึกษา เมื่อศึกษาแล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ พวกเราจะได้รับรส รับรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เราปฏิบัติไปแล้ว เมื่อเราได้รับผลนั้น จิตใจของเราก็หลุดพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร ไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในที่สุด นี่แหละจุดประสงค์ของพุทธะ ไม่มีอย่างอื่น

หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าเกียร์ถอย ถอยจากความชั่ว และก็คันเร่งเสียต่อต่อคุณงามความดี สิ่งไหนที่ดี คิดดี ทำดี พูดดี เข้าเกียร์เหยียบคันเร่งเสียจุดนั้นนะ แต่เรื่องความชั่วน่ะเข้าเกียร์ถอย อย่าไปมุ่งหวังในโลก มันไม่ชนะหรอก มันชนะคราวนี้ก็แพ้คราวต่อไป เหมือนกับนักฟุตบอล เหมือนนักมวยนะหล่ะ ผลที่สุดก็ลานวมเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกันโลกของเรา จะเอาชนะตลอดไปไม่ได้นะ มีแต่เอาชนะใจตนเองเท่านั้นล่ะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “ต้นตอแห่งความดีและความชั่ว”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๓







#ความดีระดับเปลือก

๑. ไม่มีความกังวล ขณะที่ทำจิต เจริญสมาธิวิปัสสนาญาณ ต้องไม่มีห่วง ตัดความห่วง เอาเฉพาะเวลา แต่ความห่วงนี้เลิกแล้วห่วงได้ ถ้าเรายังไม่ทำ ห่วงได้ ในขณะที่รวบรวมเจริญสมาธิเป็นฌานสมาบัติ เวลานั้นต้องไม่ห่วง ตัดความห่วงใยชั่วคราว หรือจะเรียกว่าตัดปริโพธทั้งหมด

๒. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว นั่นก็คือ รักษาศีลให้บริสุทธิ์

๓. ระงับนิวรณ์ได้โดยฉบับพลัน เมื่อเราต้องการความเป็นทิพย์ของจิต ขณะใดที่จัดต้องการสมาธิ ไอ้ความเป็นทิพย์นี่มาจากสมาธิ มีความตั้งใจ จิตสะอาด ถ้าต้องการจิตไม่เป็นทุกข์ หรือต้องการสมาธิ ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด ไม่ยอมเป็นทาสนิวรณ์ ๕ ประการ

๔. จิตทรงพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา คือเป็นปกติตลอดวัน ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ทรงตัว เพื่อความเยือกเย็นของจิต

ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างนี้ ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน สว่างบ้างมืดบ้างจะไม่มี จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ ความดีขนาดนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความดีขั้นเปลือกของความดีในพระพุทธศาสนา

#หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ
#หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
#วัดท่าซุง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO