Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

มีปัญหาอย่าท้อใจ

เสาร์ 13 พ.ย. 2021 5:46 am

"...คราวหนึ่งหลวงตาท่านแสดงธรรมไป ...
ท่านระลึกถึงเรื่องเก่า ที่ท่านต่อสู้กับกิเลสที่
วัดดอยธรรมเจดีย์ ในเทศน์กัณฑ์นั้น ท่านน้ำตาร่วง อันนี้ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไม่ใช่น้อยเหมือนกัน หลวงพ่อก็กลัวคนจะตกนรกเหมือนกันนะ จนถึงมีพระมาจากไต้หวันมาพูดให้หลวงพ่อฟัง พูดไทยก็ไม่ชัดหรอก พระไต้หวัน “ท่านพระอาจารย์น้ำตาร่วงคราวนั้นนะรู้สึกว่าคนไต้หวันเขาว่าหลวงตามหาบัวไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์น้ำตาจะไม่ร่วง ไม่มีการเสียใจ ไม่การดีใจ พวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะสอนเขายังไง” เราได้ฟัง “เออ! มันไม่ใช่เฉพาะแต่เมืองไทยอย่างเดียว มันทะลักไปถึงเมืองนอกเมืองนาเหมือนกัน

... เรื่องนี้แต่ตามที่จริงหลวงพ่อพูดน่ะ หลวงพ่อก็ไม่ใช่พระอรหันต์หรอก หลวงพ่อชี้แนะแนวให้มองดู คำว่าร้องไห้ของหลวงตานี่กับร้องไห้สำหรับปุถุชนมันคนละเรื่องกัน ถ้าหากว่าการร้องไห้ พระอรหันต์หัวเราะได้ไหม ถ้าใครยังหัวเราะอยู่แสดงว่าระงับอารมณ์ ตัวเองไม่อยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ อย่างนั้นใช่ไหม พระอรหันต์ต้องไม่หัวเราะ ต้องไม่ร้องไห้ อยู่แบบซื่อบื้ออยู่เฉย ๆ ใช่ไหม ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น พวกครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบถึงคราวดุท่านก็ดุ ถึงคราวด่าท่านก็ด่า ถึงคราวหัวเราะท่านก็หัวเราะได้ อันนี้เป็นเรื่องของขันธ์ เป็นเรื่องของอุปนิสัยบุญวาสนา มีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่ละบุญละวาสนาได้

... พระพุทธเจ้านี่ ถ้าจะว่าไปท่านไม่ยิ้ม ท่าน
ไม่หัวเราะเหมือนพระสงฆ์ทั่วๆ ไป แต่ท่านไปเห็นสันตติมหาอัมมาตย์ ท่านยิ้ม การร้องไห้ก็ออกมาจากจุดเดียวไม่ใช่เหรอ จากใจดวงนั้น จากใจของท่าน ท่านเกิดความสลดสังเวชใจ อย่างท่านพระสารีบุตร ถึงท่านจะเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ท่านเดินข้ามคลองนี่ ท่านกระโดดนะ พระสงฆ์ทั้งหลายว่า อัครสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่น่าจะเดินแบบนี้ ไม่น่าจะกระโดดแบบนี้ แล้วพากันมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์บอกว่าพระสารีบุตรเคยเป็นลิงมาก่อน เพราะฉะนั้น
ไปที่ไหนชอบกระโดด เห็นคลองนี่กระโดดเลย เป็นนิสัยเก่า เป็นลิงติดภพติดชาติมาหลายร้อยชาติ เพราะฉะนั้นละไม่ได้ การละบุญและวาสนาบารมี พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวละได้ เปลี่ยนนิสัยตัวเองได้ นอกนั้นเปลี่ยนไม่ได้

... หลวงพ่อเอง เคยอยู่กับครูบาอาจารย์
หลาย ๆ ท่าน ก็เคยเห็นอย่างนี้เหมือนกันนะ แต่หลวงพ่อไม่เคยตำหนิ แล้วก็ไม่เคยที่จะพูดไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่ท่านทำอาการอย่างนั้น ท่านทำได้หลาย ๆ อย่าง

... อย่างท่านอัสสชินี่ พอท่านอายุมาก ท่านหลงลืม พระลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติใกล้ชิด ก็ว่า เอ้า! ทำไมพระอรหันต์จึงได้หลงได้ลืมได้ ตามที่จริงพระอรหันต์ต้องมหาสติ มหาปัญญาต้องรอบรู้อยู่ตลอด แต่ทำไมท่านอัสสชิหลงลืม หลงลืมนั้น หลงลืมนี้ จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าทำไมพระอัสสชิหลงลืม ทำไมเป็นพระอรหันต์แล้วจึงมีการหลงลืม

... พระพุทธองค์บอกว่าให้ไปถาม พระอัสสชิดูซิ อริยสัจสี่หัวใจของท่านน่ะ ท่านลืมไหม ถ้าหากว่าไม่ลืมนั่นล่ะ จุดนั้นน่ะคือพระอรหันต์ จุดอื่นเป็นเรื่องสังขาร ความจำได้หมายรู้เป็นสังขาร สัญญาก็เป็นอนิจจังเหมือนกัน สังขารา การปรุงแต่งก็เป็นอนิจจัง เป็นสัญญาอนิจจาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสัญญา และสังขารเหล่านั้นไม่ใช่พระอรหันต์ แต่สิ่งที่เป็นพระอรหันต์คือ ท่านพิจารณาอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหตุที่เกิดทุกข์ ท่านหลงไหม จุดนั้นท่านลืมไหม พระอัสสชิบอกว่า ไม่มีลืมเลย แน่นปึ๋งในหัวใจ อริยสัจในหัวใจแน่นปึ๋งไม่มีลืมไม่หลงไม่ลืม ตัวนั้นพอ จุดอื่นจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องสังขารสัญญาไป อย่าไปติดยึดกับสิ่งเหล่านั้น... "

"... ขอให้พวกเรามองหลาย ๆ มุม มองหลาย ๆ ด้าน ที่หลวงพ่อพูด เพื่อให้พวกเราได้มองครูบาอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์หลวงตาของเรา ท่านน้ำตาร่วง บางคนดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก แต่ถึงจะดูถูกอย่างไร เหยียดหยามอย่างไรหลวงตาก็อย่างเก่า ไม่มีปัญหา ความบริสุทธิ์ของท่าน ท่านก็ยืนยันอย่างเก่า แต่พวกเรามันแพ้เรานะ ถ้าหากว่าเราดูถูกไม่ถูกที่ถูกทาง แพ้เรา บาปกรรมตัวนั้นจะแพ้เรา ถ้าหากว่าใครประมาทพลาดพลั้งท่านละก็
ให้ยกมือไหว้ท่านซะ เพราะกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่พวกเราได้ประมาทพลาดพลั้งครูบาอาจารย์ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าท่านได้สำเร็จได้มรรคได้ผลอย่างไร... "
———
#ขอให้เราอย่าได้ประมาทพ่อแม่_ครูบาอาจารย์_ความสุขความเจริญก็จะเกิดขึ้นในตัวของพวกเรา
#ขอฝากไว้กับญาติโยมนำไปคิดไปไตร่ตรองไปพิจารณา
#ถ้าจะว่าไปหลวงพ่อดึงกระตุกแขนพวกเราอย่าตกนรกนะ
#ที่ว่าคำพูดของหลวงพ่อวันนี้บอกว่าพวกเราผลักหน้าอกไว้_ดึงแขนเอาไว้
#อย่าลงนรกนะต้องคิดดูให้ดี...!!!! "
———
#หลวงพ่ออินทร์ถวาย_สันตุสสโก
#จากพระธรรมเทศนา
#มองรอบจึงเข้าใจชอบองค์หลวงตา
(แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๘)








#ผู้เป็นพระก็เป็นพระดี_ด้วยศีล_ด้วยสมาธิ_ด้วยปัญญา

#ผู้เป็นทายกทายิกา...
ก็เป็นทายกทายิกาที่ดี คือ ยกทาน ยกศีล
ยกภาวนา เข้าสู่หัวใจ
ยกโลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจ ของตน
ก็เป็นคนเบาล่ะที่นี้
เกิดที่ไหน มันเกิดขึ้น ที่ใจของตน

#เพราะสังขารที่มีวิญญาณครอง...
และไม่มีวิญญาญครอง เป็นทุกข์อยู่เสมอ
ไม่มีสุข
ผู้ที่ไม่รู้ความจริง อัธยาศัยใจคอนั้นชอบสุข
ทุกข์ไม่ชอบ
จึงแสวงหาอามิสสุข คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ดี
เป็นที่ตั้ง แห่งสุขเวทนา

#ครั้นหามาได้ก็กำหนัดยินดี...
ติดอยู่เพลิดเพลิน พัวพันเกิดสุขโสมนัส
ในกามเหล่านั้น
ครั้นกามารมณ์ที่ตนชอบเหล่านั้นวิบัติไป จึงเกิดความเดือดร้อน
เศร้าโศกเสียใจ เพราะ กามารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น..

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต








…ถ้าพิจารณาดู จะเห็นว่า
ทุกอย่างมีจุดเกิด และมีจุดดับทั้งนั้น

.” ไม่มีอะไรที่เกิดมาแล้ว จะไม่ดับไป “
จะช้าหรือจะเร็วเท่านั้นเอง.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๔๔, กัณฑ์ที่ ๓๙๕
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๒








ดวงตาเห็นธรรม

เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านฟังเทศน์เป็นปฐมสาวกนั้น ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย ท่านเข้าใจว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น แล้วมีความแปรไปเป็นธรมดา แล้วผลที่สุดก็มีความดับเป็นธรรมดาของมัน เมื่อก่อนนี้พระอัญญาโกณฑัญญะนั้นไม่เคยได้มีความนึกหรือความคิดอย่างนี้เลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่เคยพิจารณาให้แจ่มแจ้งเลยสักครั้ง ฉะนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงไม่ได้ปล่อยหรือไม่ได้วาง คือมีอุปาทานในขันธ์ทั้ง ๕ นี้อยู่ ต่อเมื่อได้มาฟังเทศน์ของพระบรมศาสดาของเรา ขณะนั่งฟังมีพุทธภาวะเกิดขึ้น ได้มองเห็นธรรมว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่แน่นอน มันเป็นธรรมชาติหรือธรรมดานี่เอง ท่านจึงบอกได้ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น แล้วมีความแปรไป สิ่งเหล่านี้ดับไปเป็นธรรมดา ธรรมชาติอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ความเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะในขณะที่ฟังนั้นเป็นความรู้สึกแปลก แปลกจากในอดีตหรือกาลก่อนที่ได้เคยพิจารณามา อันนี้รู้เข้าถึงดวงจิตจริง ๆ เป็นได้ว่า "พุทธะ" คือผู้รู้ เกิดขึ้นมาในเวลานั้น สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงเรียกว่า พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว

ดวงตาเห็นธรรมนั้น...คือดวงตาเห็นอะไร คือดวงตาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นเบื้องต้น ความแปรไปเป็นท่ามกลาง ความดับเป็นที่สุด สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือทั้งหมด จะเป็นรูปก็ช่าง จะเป็นนามก็ตาม สิ่งใดสิ่งหนึ่งครอบรวมเลยทีเดียว ได้แก่ธรรมชาติทั้งหมดเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นรูปธรรมก็ช่าง จะเป็นนามธรรมก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็แปรดับไป อย่างตัวสกนธ์ร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเกิดแล้วก็แปรไปตามธรรมดาของมัน แล้วมันก็ดับไป

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ดวงตาเห็นธรรม
บรรยายแก่พระภิกษุและสามเณร ณ วัดหนองป่าพง ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑










ครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำสั่งสอน
#ตัวเราเองต้องฝึกฝนปฏิบัติเอง
เดินจงกรม ภาวนาขัดเกลาจิตใจ
ถ้าไม่ฝึกฝนจิตใจจะเป็นอะไรเมื่อตายไปแล้ว
#หมั่นเอาคำสอนครูบาอาจารย์ไปฝึกฝน
อบรมตัวเอง ใครจะทำให้เราได้
ใครทำใครได้ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เองเห็นเอง
ถ้ามีความพากความเพียร
ขันติ อดทน ก็เห็นมรรคเห็นผล

คติธรรม คำสอน
#พระราชวัชรญาณเวที
หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล








ในปัจจุบัน มีลูกศิษย์ลูกหาที่มีความศรัทธาในวัตถุมงคลที่องค์หลวงพ่อสมบูรณ์ ได้แผ่เมตตาอธิษฐานจิตไว้ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
..
ปฏิเสธไม่ได้ ว่า ที่ผ่านมา องค์หลวงพ่อ ได้เมตตาอธิษฐานจิตวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น หลายวาระ
..
ถ้าหากใคร ได้เคยสนทนา กับองค์หลวงพ่อ เกี่ยวกับวัตถุมงคล ก็คงพอจะทราบได้ ว่า แท้จริงแล้ว องค์ท่าน ไม่ค่อยสนับสนุน ให้ไปศรัทธาวัตถุมงคลภายนอก มากกว่าธรรมะและคุณงามความดีในใจ
...
องค์หลวงพ่อ มักพูดเสมอ ว่า “ของขลัง ฟังตั้งแต่ชื่อมันซิน่ะ ขัง ขัง ไม่ใช่มันขลังแต่ภายนอก มันขังอยู่ข้างในด้วย ขัง ไปไหนไม่ได้เนี่ย มันขัง”
..
หลายวาระ องค์หลวงพ่อ มักพูดกับลูกศิษย์ที่ทำวัตถุมงคลไปถวายว่า "ทำมาทำไม ทำมาก็เป็นภาระ ต้องแจก ต้องรักษา ขี้เกียจแจก หลวงพ่อเข้าป่าเข้าดงมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เห็นเคยแขวนพระอะไร มีแต่พุทโธอย่างเดียว"
..
วัตถุมงคล บางรุ่น จนถึงทุกวันนี้ องค์หลวงพ่อยังตำหนิอยู่ ว่าถือวิสาสะทำขึ้นมา
วัตถุมงคล แทบจะนับรุ่นได้ ที่องค์หลวงพ่อ พูดเองว่า ท่านอนุญาตหรือสั่งให้จัดสร้างขึ้น
..
แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่องค์ท่านได้ตกลงปลงใจที่จะอธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้กับวัตถุมงคลรุ่นใดแล้ว มั่นใจได้ว่า องค์ท่าน ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีทำเพื่อลาภสักการะ ไม่มีทำเพื่อให้ใครมาเลื่อมใสศรัทธา แต่อธิษฐานจิต เพื่อให้ผู้รับไป ได้รับอานุภาพแห่งพระพุทธคุณ ไว้คุ้มครองตัว และเป็นเครื่องระลึกเตือนใจ จึงไม่แปลก ที่เรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับวัตถุมงคลขององค์หลวงพ่อ จะเกิดขึ้นอย่างเสมอๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
..
เหนือกว่าวัตถุมงคล สิ่งที่องค์หลวงพ่อเมตตาอบรมสั่งสอนเสมอๆ คือ ธรรมะ การปฏิบัติ ถ้าใครเคยกราบสนทนากับองค์ท่าน ก็จะทราบได้เลยว่า องค์ท่านถอดจิตถอดใจออกมาสอน ไม่ได้สอนพอเป็นพิธี แต่สอนเพื่ออยากจะสงเคราะห์ด้วยเมตตา ไม่มีเลือกชั้นวรรณะ สูงต่ำดำขาว ทุกคน องค์ท่านเมตตาสงเคราะห์ด้วยธรรมะอันสมควรแก่คนนั้นๆ อย่างเต็มกำลังเสมอมา
..
คำสอนข้อหนึ่ง ที่องค์ท่าน มักพูดอยู่เสมอ คือ
"เอาบุญจากของที่มีอยู่ มีกายวาจาใจ ก็พาเขากราบไหว้ทำบุญ มีข้าวน้ำโภชนาหาร ก็ให้รู้จักเอาบุญจากเขา"
..
..
เมื่อช่วงมีเหตุการณ์ทางการเมือง เมื่อหลายปีก่อน
มีคนกราบเรียนหลวงพ่อว่า ทนาย.... แกนนำทางการเมืองฝ่ายหนึ่ง แขวนเหรียญหลวงพ่อ น่าจะไม่โดนยิง ถึงโดนก็คงไม่เข้า
..
องค์หลวงพ่อ รีบหันมา ตอบ ด้วยความจริงจังว่า
"ไม่คุ้มครอง พระไม่คุ้มครองคนไม่ดีหรอก ถ้ามันเป็นคนดี ความดี จะคุ้มครองมันเอง"
..
จึงสรุปความได้ว่า สำหรับเรื่องวัตถุมงคลนั้น หากดำเนินอยู่บนความศรัทธา ที่อยู่บนความพอดี แล้ว การเคารพบูชาวัตถุมงคล ก็เหมือนเป็นการกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นเครื่องเตือนใจ เป็นอนุสสติ แต่หากมีวัตถุมงคล ที่แม้จะอธิษฐานจิตมาดีแค่ไหน แต่หากผู้แขวน ผู้บูชา ไม่ได้ตั้งอยู่ในเงื่อนไขเบื้องต้น คือศีลธรรมแล้ว วัตถุมงคล ก็จะเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง ที่รอจะคุ้มครองผู้มีคุณธรรมต่อไป...

หลวงพ่อสมบูรณ์ วัดป่าสมบูรณ์ธรรม








"ถ้าผูกใจเจ็บ จะเจ็บใจเรา
ถ้าเมตตาเขา ใจเราสบาย"

หลวงปู่จันทร์ กุสโล







“ศัตรู ก็คือใจของเรานั้นเอง
อยากชนะสิ่งใด จงชนะใจตนให้ได้เสียก่อน
เป็นนายของใจให้ได้ก่อน ชีวิตจะพบ
ความสำเร็จได้ไม่ยากเลย​“

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล







"หัดพูดแต่คำวาจาที่ประสานมิตรไมตรีจิต
ต่อกันและกัน ไม่ไปยุให้รำ ตำให้รั่ว
ไม่ไปยุยงให้ใครทะเลาะวิวาท แตกร้าว
สามัคคีกัน

พูดแต่วาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ต่อบุคคลทั่วไป
เว้นจากการพูดคำหยาบโลนต่างๆ

พูดแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตน และผู้อื่น
เรื่องใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตน และผู้อื่นแล้ว
ก็ไม่พูด เพราะเสียเวลาไปเปล่าๆ นิ่งเสียดีกว่า"

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ








"ถ้าเรากำลังมีปัญหา ก็อย่าไปท้อใจ
อย่าหดหู่ใจ แต่ให้ปลอบใจตัวเองว่า
ถ้าเราอดทน ถ้าเราไม่ท้อถอย
ในที่สุด เราต้องผ่านอุปสรรคนี้ได้
(ทั้งทางโลก และทางธรรม)
เพราะพระพุทธองค์ ทรงยืนยันได้ว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ เป็นกฏตายตัว
ของธรรมชาติ"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ









พวกเรามันมีแต่ได้ยินได้อ่านเท่าน้ันแหละ จิตใจของเรามันไม่ถึงจิตของท่าน เลยไม่เกิดอานิสงส์

และความเพียรของเราก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ถ้าเป็นทางไปก็ไม่เท่าไหร่ มีแต่ความคะนองเท่านั้น

อยู่ใคร อยู่มัน ลองดูก่อนสักวันหน่ึง เดินจงกรมเดินอยู่อย่างน้ัน เห็นครูบาอาจารย์ท่านทําอยู่อย่างน้ันนะ

แต่พ่อแม่ครูจารย์เหมือนกัน ไปกับท่านสององค์ พอดีเห็นท่านฉันจังหันแล้ว วันนั้นท่านก็เข้านั่งท่ีเลยทันที เอามุ้งลง ท่ีท่านอยู่มันไม่มีฝาผนังนะ อยู่ห้างท่านนั่งอยู่นั้นจนกวาดตาด กวาดตาดก็บ่ายสามบ่ายสี่นู่น

กวาดตาดออกมาถึง พบท่านเดินอยู่ ฉันจังหันแล้วก็เข้าท่ี พอกวาดตาดถึงออกมาทําอยู่อย่างน้ัน ทําถึงขนาดนั้น ต้องมีต้องรู้อะไรแหละ

แต่นี่ไม่รู้อะไร นั่งภาวนาก็โยกเยก แล้วจิตใจก็ไม่รู้ ว่ามันวิ่งไปทางไหน อันนี้อะไรก็ไม่เตรียมตัวไว้เลย ทําอย่างไรมันถึงจะทันกับความต้องการของเรา

มาบวชก็หวังเพื่อจะพ้นทุกข์ ปรารถนามรรคผลนิพพาน ตายแล้วถึงจะไปนิพพานไปไม่ได้นะ ถ้าไม่ได้ทําเอาไว้ เดี๋ยวน้ีไม่เห็นหรอก ให้พากันเร่งความพากความเพียร

#หลวงปู่ลี #กุสลธโร









“...ขอให้จิตเป็นปัจจุบันเถอะ สิ่งที่ผ่านมาแล้วอย่าไปคํานึง สิ่งท่ียังมาไม่ถึงก็อย่าไปคํานึง

ทําจิตให้เป็นปัจจุบัน ดูหัวใจตัวเอง #ส่ิงใดท่ีคิดไปแล้วมันไม่ดีก็ต้องหักห้ามมัน พอหักห้ามจิตบ่อยเข้า มันก็ห้ามได้เท่านั้นเอง เราก็จับหลักได้..”

หลวงปู่ลี #กุสลธโร









เราจะรักษาทรัพย์ได้ เพราะเรามีศีล ทรัพย์มันถึงจะอยู่กับเรา

หลวงพ่อจิตโต บ้านสบายใจ









ราวห้าสิบปีก่อน มีคนถามอาจารย์เซนชาวเกาหลีที่พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาว่า “ผู้หญิงเข้าถึงพุทธภูมิได้ไหม” ท่านตอบอย่างหนักแน่นไม่ลังเลว่า “ไม่ได้”

มีเสียงสูดลมหายใจจากผู้หญิงหลายคนที่นั่งฟังอยู่ เมื่อทิ้งช่วงให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ กับคำตอบ

สักพัก ท่านก็เสริมขึ้นว่า “ผู้ชายก็เข้าถึงไม่ได้เหมือนกัน ตราบใดที่ยังยึดความเป็นชายเป็นหญิง ก็ไม่มีทางเข้าถึงพุทธภูมิได้”

ในสังยุตตนิกาย โสมาภิกษุณีกล่าวถึงประเด็นคล้ายกันนี้ เมื่อถูกมารปรามาสว่าท่านเป็นผู้หญิง ไม่มีทางจะหลุดพ้นได้ ท่านตอบมารอย่างสุขุมว่าอย่ามาเสียเวลากับท่านเลย

“ความเป็นหญิงจะเกี่ยวอะไร
เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว
เมื่อญาณเป็นไปแก่ผู้เห็นธรรมอย่างชัดแจ้ง

ผู้ใดมีความคิดเห็นแน่นอนอย่างนี้ว่า
เราเป็นสตรีหรือว่าเราเป็นบุรุษ
ผู้ที่ยังมีความเกาะเกี่ยวว่าเรามีอยู่
มารพึงกล่าวกับผู้นั้นเถิด”

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ








ดวงที่ไหน. มันจะดี. กว่าความดี. มีมั้ย. ?

หลวงปู่ชา สุภัทโท
ตอบกระทู้