การโกหก
มุสา คือ การโกหก ตบหูตบตาหลอกลวงผู้อื่นให้ผิดจากปกติ คือความมีความเป็นจริงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายแต่น้อยจนถึงขั้นล่มจมฉิบหาย เป็นคำไม่ควรพูด ไม่ควรโกหกอย่างยิ่งในวงมนุษย์ด้วยกัน
ปากโกหกเป็นปากที่ขาดบาทสลึง คนโกหกเป็นคนขาดบาทขาดเต็ง มนุษย์เต็มบาทเต็มเต็งไม่ควรพูดมุสา จงพูดแต่ความสัตย์ ความจริง เพื่อประโยชน์อันสมบูรณ์ต่อกัน
โอวาทธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย
" ทางโลกจะเรียนถึงปริญญาไหนก็ตามเพราะเป็นเพียงความจำเท่านั้น ถ้ากิเลสโลภโกรธหลงไม่เบาลง มันก็ใช้ไม่ได้ ฝ่ายทางพระพุทธศาสนา เมื่อเห็นชัดในพระโสดาบันแล้ว ส่วนธรรมเบื้องสูงก็ต้องเปิดประตูไปเอง เร็วหรือช้าต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคนและความเพียรที่แยบคายด้วย แต่ให้เข้าใจว่าเมื่อถึงโสดาบันแล้ว เป็นผู้มองเห็นฝั่งพระนิพพาน คือฝั่งที่ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ด้วยพระปัญญา ไม่ใช่ตานอกตาเนื้อเหมือนพวกโลกีย์เสียแล้ว"
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
…สิ่งใดมีการปรากฏขึ้น “ สิ่งนั้น..ต้องดับไปเสมอ “ ถ้ามีเกิด ก็ต้องมีดับ ถ้าไปยึดไปติดก็จะทุกข์ใจ
.“ถึงแม้จะเป็นความสุขใจอันละเอียด “ ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ยังเสื่อมได้ ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงแล้ว จะไม่มีวันเสื่อม
.ถ้าเป็นความสุขที่ยังเสื่อมได้ ก็ต้องใช้ปัญญา พิจารณาให้รู้ทันว่า “ เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา “ อย่าไปยึดติด. …………………………………………… พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี จุลธรรมนำใจ ๒๘ กัณฑ์๔๓๔ วันที่ ๑๕ ม.ค. ๒๕๕๕
กำหนดดูเวทนา
"ในขณะที่นั่งปฏิบัติอยู่นี้ ก็อาจจะรู้สึกเป็นทุกข์ เช่น เมื่อยขบบ้าง ถูกยุงกัดบ้าง ใจกระสับกระส่ายบ้าง คือ อาจจะมีทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ ก็ให้กำหนดรู้ว่ากำลังเป็นทุกข์ กายไม่สบาย ใจไม่สบาย
ไม่สบายเพราะอะไร ?
ก็จะจับเหตุได้ว่ากายไม่สบายเพราะถูกยุงกัดเมื่อยขบ หรือเจ็บที่กายส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็ให้รู้ว่านี่ทุกข์ เกิดจากอามิส คือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ต่าง ๆ
คราวนี้ถ้าไม่สบายใจ เช่น อึดอัด ใจตั้งมั่นไม่ลง ก็ให้พิจารณาว่าไม่สบายใจ เนื่องมาจากอะไร ก็จะพบเหตุว่า เพราะใจบางทีมีกังวลอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ รวมใจไม่ได้ บางทีเพราะยังไม่เคยทำความสงบ ใจจึงมักแล่นไปทางโน้นแล่นไปทางนี้ เพราะไม่เคยทำให้อยู่นิ่ง จึงไม่เป็นสุขที่จะอยู่นิ่ง ก็ให้รู้ทุกข์ใจนี้ว่าเกิดจากอามิส คือมีสิ่งที่มาทำให้เป็นทุกข์ต่าง ๆ
คราวนี้เมื่อกำหนดดูให้รู้ทุกข์ทั้งทุกข์กายทั้งทุกข์ใจในขณะปฏิบัติอยู่ และดูให้รู้ว่ามาจากเหตุอะไร ไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์นั้น คงตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อไปตามกำหนด ทุกข์ก็จะค่อย ๆ สงบไป ใจก็จะตั้งมั่นขึ้น เมื่อใจตั้งมั่นขึ้นก็จะมีความสุขขึ้น" . พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
ความรู้โลกุตตระอันนี้ พูดให้ก็ไม่รู้เรื่อง อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกคือพระพุทธเจ้าบอกให้ได้ แต่ว่าทำให้ไม่ได้ เรื่องการประพฤติปฏิบัติมันเป็นเช่นนั้น
ฉะนั้น อดทนแล้วก็เพียร อดทนแล้วก็เพียร สอบอารมณ์เรื่อยๆไป ถึงคราวเราทำความเพียร เราก็ทำไป ทำสมาธิเราก็ทำไป
ออกจากสมาธิก็พิจารณา เห็นมดก็พิจารณา เห็นสัตว์อะไรก็พิจารณา เห็นต้นไม้พิจารณาทุกอย่างเหมือนเรา ทุกอย่างน้อมเข้ามาหาตัวเรา เหมือนเราทั้งนั้น
อย่างใบไม้มันจะหล่นลงไป ใบไม้มันจะขึ้นมาใหม่ ต้นไม้มันจะใหญ่ ต้นไม้มันจะเล็ก อะไรทั้งหลายเหล่านี้มันล้วนแต่เกิดปัญญาทั้งนั้น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไรมันทั้งนั้น
เมื่อจิตเรารู้จักการปล่อยวางเช่นนี้แล้วก็จะเกิดความสงบ ความสงบไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ มันสงบ เรียกว่าได้ความพอดีเหมาะสม ด้วยความรู้สึกนึกคิดของเรานั้นเรียกว่าเป็นธรรม
#หลวงปู่ชา #สุภัทโท
#จับอารมณ์พระโสดาบันให้ได้
พระท่านมาบอกเรื่องนิพพาน ถ้ามีความประสงค์นะ ถ้ามีกำลังใจไม่ท้อถอย มันได้ทุกคน
ว่าทำแบบสบายๆ ไม่ท้อถอย ทำไปเรื่อยๆ อย่าเร่งรัด แล้ววางอารมณ์นิดหนึ่ง วางอารมณ์ให้ถูก คือ
- มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ใช่ไหม มันอยู่ไม่ได้ - เคารพพระไตรสรณคมน์ เเน่นอน - รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ - นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
จับอารมณ์นิพพานนี้ให้ได้ ถ้าทรงอารมณ์พระโสดาบันได้ เมื่อกี้ท่านบอกว่า เวลาจะตายเป็นอรหันต์ทุกคน เพราะเวลานั้นร่างกายมันเจ็บมาก มันเริ่มเบื่อร่างกาย เพราะการเป็นอรหันต์นี่มันมีจุดยืน คือเบื่อร่างกาย อันนี้ไม่ได้มีอะไรมากเลย
หนังสือพ่อรักลูก ๒ ( ๒๕๔๒ ) หน้า ๙๕-๙๖ พระราชพรหมยานเถระ #หลวงพ่อฤาษี #วัดท่าซุง
คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน.
"คนเรามีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกัน ฝึกปฏิบัติมาไม่เท่ากัน จะให้ทุกคนรู้เหมือนเรา เข้าใจเราทุกอย่างไม่ได้ เมื่อเขาทำพลาดไปเราควรให้อภัย วันหนึ่งเขาจะรู้เอง ทำได้ถูกต้องเอง"
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
"การทำบุญนั้น ไม่ใช่แต่ว่าเอาวัตถุสิ่งของ ให้ทานเท่านั้น จิตที่คิดเมตตาละสิ่งที่เป็นชั่ว มันก็เกิดบุญขึ้นมา"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
|