งานถอดถอนกิเลสเป็นงานที่เสร็จสิ้นลงได้ งานทางโลกหาทางสิ้นสุดไม่ได้ ตายก็ตายกับงาน ตายกับความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ห่วงใย ไม่มีใครทำงานสำเร็จแล้วค่อยตาย...
คติธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
…ถึงแม้ว่าเราจะรักษาศีล “ แต่เราก็อาจจะมีการผิดพลาดได้ “ .หรือเพื่อความปลอดภัย “ ก็ควรจะทำบุญไว้เรื่อยๆ “ ทำบุญบ่อยๆ ทำบุญให้มันติดเป็นนิสัย
.เพราะการทำบุญนี้ ถ้าทำบ่อยๆ ทำติดเป็นนิสัยแล้ว มันจะทำอยู่เรื่อยๆ
.ถ้าทำเป็นโอกาส นานๆทำที เช่นวันเกิดทำทีหนึ่ง วันปีใหม่ทำทีหนึ่งนี่
“ มันอาจจะน้อยกว่าบาปที่เราทำก็ได้ “. …………………………………………… พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี สนทนาธรรมบนเขาชีโอน ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
.
#การปรามาสในพระไตรสรณคมน์
สำหรับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ให้ถือศีล ๕ เป็นแก่นสำคัญ แต่บางท่านถือว่ารักษาศีล ๘ และฉันไม่ต้องการรักษาศีล ๕ อันนี้ลงนรก และก็มีหลายท่านที่สมาทานอุโบสถศีลแล้วแต่เผอิญในกาลนอกเวลา
สมมติว่าเขามาถวายผ้าป่ากฐินสังฆทาน นอกเวลาไป พระต้องให้ศีล ๕ พอพระว่าไตรสรณคมน์เสร็จ พอพระจะให้ศีล ๕ วางมือไม่แสดงทำความเคารพ อันนี้ลงนรกเหมือนกัน เป็นการปรามาสในพระไตรสรณคมน์ คือปรามาสในพระพุทธเจ้า การว่าตามเขามันไม่ใช่ของแปลก การสมาทานศีลนี่มันก็ไอ้แค่ศึกษายังไม่ใช่ตัวปฏิบัติ เรามีอุโบสถศีล เขาให้ศีล ๕ เราก็ว่าตามได้
การว่าตามให้ว่าด้วยการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า คือว่าศีลนี่พระพุทธเจ้าว่า ศีล ๕ เราได้มาจากพระพุทธเจ้า เป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์นำมาให้เรา จิตใจเราเคารพในพระไตรสรณคมน์ และเวลาปฏิบัติจริงๆ เราปฏิบัติในสิกขาบทมันไม่เสียหายอะไร
มีญาติโยมเมืองน่าน มาบอกว่า เวลาเขารักษาอุโบสถศีล เวลาให้ศีล ๕ เขาเอามือลง อันนี้เป็น "มานะทิฐิถือตัวถือตน" เป็นกิเลสที่หยาบหนัก และก็เป็น "การปรามาสในพระไตรสรณคมน์" อันนี้เวลาเจริญกรรมฐานไปดูคนพวกนี้นะ ครูนำไปดูคนพวกนี้ว่าในนรกเกลื่อน เข้าใจว่าตนดี
หลวงพ่อพระราชพรหม วัดท่าซุง จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๑๗ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘ หน้า ๙๔ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์
อุทิศบุญแล้ว...บุญเราจะหมดไหม
พระอนุรุทธะเถระ
ชาติหนึ่งท่านเกิดในครอบครัวคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐีเวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญ จะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระ ปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านมารับบิณฑบาต
ท่านก็เมตตาเปรียบให้ฟังว่า...
“สมมุติว่าโยมมีคบและมีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไหม”
ท่านพระอนุรุทธะ ก็ตอบว่า
“ไม่ยุบ”
แล้วท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็ตอบกลับว่า...
“การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขาเขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ไม่ได้หายไป "
ที่มา : 84000.org
พระนางสามาวดี
.....การไปนิพพานทำอย่างไร แต่ว่าดินแดนไหนล่ะที่เราควรไป เกิดเป็นมนุษย์อีกมันก็มีแต่ความทุกข์ความสุขจริงไม่มี ถ้าจะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็สุขชั่วคราว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ จุดหมายปลายทางที่ไปควรจะไปนิพพาน การไปนิพพานทำอย่างไร อันดับแรกเกาะชายรั้วไว้ก่อน เข้ารั้วให้ได้ก่อน จะถึงหรือไม่ถึงก็ตามที ปลายทางเมื่อเข้ารั้วได้ สักวันหนึ่งก็ขึ้นบ้านได้ รั้วที่เราจะเกาะก็คือ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ตัวอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นอัจฉริยะมนุษย์ ก็ทรงนิพพานเหมือนกัน คนในท้องเรื่องที่เราฟังทั้งหมดนี้ก็ตายไปหมดแล้ว คิดว่าเราไม่ช้าก็ตาย ก่อนจะตายเราจะป้องกันอบายภูมิ คือไม่ยอมเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน นั่นคือเราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยปัญญา ไม่สงสัยแล้วตั้งใจปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน คือรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
ศีล ๕ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒. ไม่ลักทรัพย์ ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ๔. ไม่พูดมุสาวาท ไม่พูดวาจาหยาบ ไม่พูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน หรือไม่ว่านินทาเขา และก็ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล วาจาที่ไร้ประโยชน์ แล้วก็ ๕.ไม่ดื่มสุราเมรัย กำลังใจตั้งไว้จุดเดียว มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า มนุษย์โลกเป็นทุกข์เราไม่ต้องการอีก เทวโลกและพรหมเป็นสุขชั่วคราว หมดบุญวาสนาก็ต้องมาเกิดใหม่เราไม่ต้องการ จุดที่เราต้องการไปนั้นคือนิพพาน หลังจากนั้นก็ทำกำลังใจของเรา ให้คลายจากโลภะ ความโลภ ด้วยการให้ทาน คลายจากโทสะ ความโกรธด้วยการทรงพรหมวิหาร ๔ คายจากโมหะ ความหลงด้วยปัญญา รับรองความเป็นจริงว่า มนุษย์นี้เกิดแล้วก็ต้องแก่ ก็ต้องเจ็บ ก็ต้องตาย ความหมายในความเป็นมนุษย์ไม่ได้มีความสุขจริง
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และบรรดาภิกษุสามเณรที่รักทั้งหลาย สัญญาณบอกหมดเวลาแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท พุทธศาสนิกชน ผู้รับฟังทุกท่านสวัสดี.....
โดยพระเดชพระคุณ พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี
คือว่าบรรดาผีทั้งหลายตั้งแต่บวชมานี่เวลาแกมาขอให้ทำบุญให้แก
๑) ขอถวายสังฆทาน มีอาหารแห้งก็ได้ อาหารไม่แห้งก็ได้ ๒) มีผ้าหนึ่งผืน ๓) มีพระพุทธรูปหนึ่งองค์ แต่ว่าพระพุทธรูปหน้าตักต้องไม่ต่ำกว่าสี่นิ้ว เกินเท่าไหร่ก็ได้
ขออย่างนั้นมาสิ้นเวลายี่สิบปีเศษ ทำบุญให้กับผีประเภทนี้นับเป็นพัน ต่อมาวันหนึ่งเขานิมนต์ไปฉันเพลบ้านหนึ่ง แต่ว่าฉันกลางวัน ฉันตอนเพล แต่ยังไม่ทันจะสวดมนต์ก็นั่งอยู่คนเดียว ก็เห็นบรรดาผีทั้งหลายมาล้อมอีก แล้วมาขออีก ขอแบบเดียวกัน มาขอ "สังฆทาน" คือ มีอาหารหน่อยหนึ่ง มีผ้าชิ้นหนึ่ง มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ก็เลยถามว่า "การขอแบบนี้ แกขอกันมาตั้งยี่สิบปี" แต่ความจริงพวกที่ขอก่อนแล้วเขาก็ไปแล้ว เขาดีไปแล้ว ถามว่า "ตั้งยี่สิบปีมาแล้ว ขอแล้วแกได้ประโยชน์อะไรบ้าง ลองบอกให้ฉันฟังซิ" ฉันว่าผีตัวนั้นเป็นผีฉลาดหน่อยท่าทางคล่องตัว แกบอกว่า
การได้อาหารนิดหนึ่ง ทำแล้วเป็นเหตุให้ผมมีร่างกายเป็นทิพย์ ผ้าชิ้นหนึ่งเป็นผ้าสบง หรือจีวร หรือผ้าไตรก็ตาม เป็นเหตุให้ผมมีเครื่องประดับประดาเป็นทิพย์ แล้วก็สำหรับพระพุทธรูปนี่เป็นเหตุให้ร่างกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือพรหมถือว่า ถ้าใครร่างกายสว่างองค์นั้นมีบุญญาธิการมาก
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จาก "ธัมมวิโมกข์" ฉบับที่ ๔๓๙ เดือนตุลาคม ๒๕๖๐ หน้า ๕๙ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์
|