นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 3:34 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 30 ม.ค. 2022 6:47 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
…ทุกครั้งที่พูดปด
“ก็เหมือนกับเทความดีออกจากตัวเราไป”

. เราไม่เสียดายความดีหรือ
กลับไปเสียดายความรู้สึกของคนอื่น

.ทำไมไม่รักษาความดีของเราไว้
ให้คิดอย่างนี้

.คนอื่นไม่ทุกข์เดือดร้อน
เวลาที่เราทุกข์เราเดือดร้อน

.ถ้าไม่มีความดีเราจะลำบาก ไม่มีเครดิตนะ
ถ้าพูดปดก็จะเป็นเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ
พูดอะไรไม่มีใครเชื่อ

.ต้องคิดว่า
“ การพูดปด..ทำให้เราเสียความดีไป “
มันคุ้มค่ากับการรักษาน้ำใจของผู้อื่นไหม

.ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว
การรักษาศีลข้อ ๔ จะง่าย…
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕๐, กัณฑ์ที่ ๔๑๔
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓






#พอ...#เขาเรียกว่าเป็นพระ
ถ้าไม่พอมันเป็นพระไม่ได้ จึงว่าพอ
เขียนชื่อพระเขาจึงเขียน พ ขึ้นล่ะทีนี้
พ แล้วยังมี ร มี ร..เรือ ร..รู้ มีละด้วย
#ต้องพอ #ต้องรู้ #ต้องละด้วย จึงจะเป็นพระ...

โอวาทธรรม
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร
วัดป่าหมู่ใหม่ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่






กุสลาทำไม

“ครั้นจะตายแล้วจึงไปนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา กุสลาทำไม เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับ กุสลา ธมฺมา ตายแล้วถึงจะไปนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ถ้าอย่างนั้นศาสนาก็ไม่มีความหมายอะไรซี ก็บวชพระหลวงตาไว้ตามบ้านตามเรือนแห่งละองค์ ๆ ไม่ต้องไปสนใจกับอะไร

เอ้า สร้างลงไปบาป อยากสร้างบาปขนาดไหนสร้างลงไป เพราะมีหลวงตารับรองอยู่แล้ว พอตายแล้วก็ไปนิมนต์หลวงตามา กุสลา ธมฺมา นาย ก. นี่มันไปไหนนา ๆ มัน จะไปไหน มันลงนรก ตั้งแต่หลวงตาก็ไม่รู้ กุสลา ธมฺมา เกิดผลประโยชน์อะไร ให้สร้างเสียเวลานี้ที่มีชีวิตอยู่นี้”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔






ความสุขอันลึกซึ้งซึ่งเกิดจากการปฏิบัติธรรมไม่ได้เกิดง่ายๆ หลวงพ่อชาจึงพร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอว่าขันติความอดทนนั่นแหละ คือเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง วันหนึ่งท่านอบรมพระภิกษุสามเณรว่า “บางคนต้องการมาปฏิบัติเอาความสุขเฉยๆ สุขมันจะมาจากไหนก่อน อะไรเป็นเหตุมัน? ความสุขทั้งหลายนะ มันต้องมีทุกข์มาก่อนมันจึงจะมีสุข เราทำทุกสิ่งทำงานก่อนจึงจะได้เงินมาซื้อกินมิใช่หรือ ทำนาก่อนจึงจะได้กินข้าว มันต้องผ่านความทุกข์มาก่อนทุกอย่างนั่นแหละ”

พระอาจารย์ชยสาโร






"คนมั่งมีศรีสุข เงินทองข้าวของ
กองเป็นล้านๆ เท่าภูเขา
แต่ไม่มีศีลธรรม ภายในใจเลย
คนนี้ สู้คนจนๆ แต่มีธรรมในใจไม่ได้"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







" ความไม่รู้(อวิชชา)
ครอบงำสัตว์โลกให้
มืดบอด มองไม่เห็นตาม
ธรรมชาติของความจริง

แก้ไขด้วยกำหนดสติ
ให้วิชชา(ความรู้)
เข้ามาแทนที่อวิชชา
จนจิตใจมีกำลัง
สติปัญญา พาจิตใจ
ออกจาก"ความมืด"
สู่พระนิพพาน "

โอวาทธรรม
หลวงปู่ศรี มหาวีโร







ไม่ต้องไปเห็นนิมิตอะไร ไม่ต้องไปเอาความอัศจรรย์ทั้งหลาย เอาความพ้นทุกข์ดีกว่า อยู่กับความโปร่งโล่งสบายในปัจจุบันดีมากแล้ว

พระอาจารย์คม อภิวโร







หลายท่านไม่สงบรวมใหญ่ ก็บรรลุธรรมได้

พระอาจารย์คม อภิวโร







"..เมื่อหลับตื่นขึ้นมาหายเหนื่อยแล้ว ก็รวบรวมกำลังใจจะนอนอยู่แบบนั้นก็ได้ ไม่ต้องนั่งก็ได้ตามสบาย เพราะการเจริญสมาธิทำจิตบริสุทธิ์ มันสำคัญอยู่ที่จิตใจไม่ได้สำคัญที่กาย ต้องปล่อยให้กายสบายอย่าฝืนกาย รวบรวมกำลังใจนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ คิดตามความเป็นจริงว่าชีวิตนี้มันต้องตาย จะตายวันนี้ตายพรุ่งนี้ตายเมื่อไร อันนี้ไม่ทราบคิดว่ามันตายแน่ ก็คิดว่าถ้ามันจะตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว หลังจากนั้นจิตก็คิดตามความเป็นจริงว่า

ขึ้นชื่อว่า ความโลภ อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น มาเป็นของเราโดยไม่ชอบธรรม เป็นของไม่ดีเราไม่ต้องการ

ความโกรธคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นเป็นของไม่ดี เราจะไม่โกรธ ความจริงมันต้องโกรธอาจจะลืม ก็คิดทุกวัน อารมณ์จะตายตัว

และความหลงไหลใฝ่ฝันในรูปเสียงกลิ่นรส คือร่างกายของเรา คิดว่าจะทรงตัวเป็นของไม่จริง ของในโลกทั้งหมดมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด คือ พังหมด เราไม่ต้องการ ร่างกายเลว ๆ อย่างนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน หลังจากนั้นถ้ามีเวลาก็ภาวนานิดหน่อยพอใจสบาย ก็ลุกไปทำงานต่อไป

เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทำวันละเล็กละน้อย กำลังบุญของท่านส่วนใหญ่ นี่ใหญ่มากไม่ใช่เล็ก กำลังใหญ่มาก เวลาที่ท่านป่วยไข้ไม่สบาย ถ้าอาการตายจะเข้ามาถึง ให้สังเกตไว้ถ้าป่วยครั้งใด ถ้าจิตใจยังวุ่นวายอยู่ ขณะนั้นมันไม่ตาย ป่วยคราวนั้นไม่ตาย ถ้าป่วยถึงคราวเครียดมันจะตายจริง ๆ พอเริ่มป่วยใหม่ ๆ จิตจะเริ่มทรงตัว จิตนี่จะเริ่มไม่เป็นห่วงอะไร เริ่มป่วยน้อย ๆ นี่จิตใจมีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันไม่แน่มันอาจจะตายก็ได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่มีอยู่ ไม่มีความสำคัญสำหรับเรา ถ้าเราตายเวลานี้ เราหมดห่วง จิตมันเริ่มเป็นสุข อารมณ์เยือกเย็นจิตวางเฉย ถ้าเป็นอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ให้หวังได้คราวนี้ตายแน่

แต่ก่อนจะถึงเวลาตายจริง ๆ ถ้าใน ๗ วันในระยะ ๗ วัน หรือ ๓ วันก่อนจะตายจะพบภาพ ภาพที่ได้เห็นจะเต็มไปในอากาศ จักรวาลนี่เต็มไปหมด ถ้าเห็นเทวดาอยู่แนวหน้าให้ท่านทราบว่าตายคราวนี้ไปเป็นเทวดาแน่ ถ้าเห็นพรหมอยู่แนวหน้า ให้ทราบว่าตายคราวนี้เป็นพรหมแน่ ถ้าเห็นพระอยู่แนวหน้า พระพุทธเจ้าอยู่ใกล้ที่สุดตายคราวนี้ไปนิพพานแน่ อันนี้เป็นนิมิตหมายแน่นอน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี







#ลองเอาอุบายนี้ไปสอนใจเราก่อนนอน

นั่งกำหนดเอา ร่างกาย ปู่ย่า ตายาย
ญาติพี่น้องของเรา ที่ตายแล้ว มานอนเรียงกัน รวมทั้งตัวเราด้วย กำหนดดู ร่างกายแต่ละคน ดูไป พุทโธไป

ทำไมทุกคนต้องตาย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา หรือแม้กระทั่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็กำหนดให้เขามานอนเรียงต่อๆไป

เพราะสุดท้าย เขาเหล่านั้น ที่ยังเดินได้ ยิ้มได้ กินได้ หัวเราะได้ สักวันเขาก็จะมีสภาพ ไม่ต่างจากทุกๆคน ทุกๆศพ ที่มีตายก่อน เพียงแต่คนๆนั้น เดินทางก่อนเราเท่านั้นเอง

มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดกับทุกๆคน ไม่มีใครหลีกหนีได้

สาธุ
กราบในพระคุณของ#พระคุณแม่จันดี #โลหิตดี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO