พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พุธ 02 ก.พ. 2022 5:55 am
ไม่ต้องแสวงหาความสงบ
แค่ปล่อยวางความยินดี
ในความไม่สงบก็พอ
พระอาจารย์ชยสาโร
…ความหลงของสัตว์โลก
ที่ไม่ได้เห็นอริยสัจ ๔
ไม่รู้ว่า..” ความทุกข์นี้อยู่ในใจ “
.และไม่รู้ว่า
ต้นเหตุของความทุกข์นี้
คือ…” ความอยาก “.
……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สนทนาธรรมบนเขา ซีโอน
วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑
“ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเอง
เห็นสิ่งไม่ดีของใคร จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ”
หลวงปู่ไม อินทสิริ
"เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม"
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
"เราเกิดมาในชีวิตหนึ่ง เราจะหาความสงบว่า
คุณต้องพูดให้ถูกใจฉัน คุณต้องทำให้ถูกใจฉัน
ฉันจึงจะสบาย ในชีวิตหนึ่งจะได้สบายไหมคนเรา
คุณต้องพูดให้ถูกใจฉัน คุณต้องทำให้ถูกใจฉัน
ฉันจึงจะสงบ ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่สงบ
คนๆ นี้ เกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ก็ไม่มีความสงบ
เพราะคนหลายคน ใครจะมาพูดให้ถูกใจเราทุกคน
ใครจะมาทำให้ดีทุกคน มันไม่มีหรอกอย่างนี้"
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
#การพิจารณาจะให้ถอดถอนความรัก
นี้จึงต้องแยกดูให้เห็นชัดเจน ว่ามันน่ารักที่ตรงไหน น่าชอบใจที่ตรงไหน นี่คืออุบายของปัญญา คลี่คลายเข้าไปดูสิ่งนั้นๆ ให้เห็นชัดเจน หลายครั้งหลายหนจิตย่อมเกิดความซึ้ง ความเข้าใจด้วยอุบายของปัญญา แล้วถอดถอนตนเข้ามาได้โดยลำดับ ความรักก็เพลาลงไปผ่อนลงไป
ความรักความชัง เมื่อสิ่งหนึ่งผ่อน มันย่อมผ่อนไปตาม ๆ กัน ความเกลียดความโกรธก็ผ่อนไปตาม ๆ กัน จนผลสุดท้ายสิ่งที่ไปรัก ไปเกลียด ไปโกรธนั้น ก็เป็นสภาพแห่งความจริงอันหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร นอกจากผู้นี้ไปเป็นเสียเอง
-ไปรักไปชอบไปเกลียดไปโกรธด้วยความโง่เง่าเขลาปัญญาของตนเท่านั้น-
จิตก็ทราบทั้งภายนอก ทราบทั้งตัวเป็นผู้ไปก่อเหตุ และทราบทั้งวิธีแก้ไขถอดถอนสิ่งเหล่านี้ จิตก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นปกติโดยลำดับ สิ่งกวนใจทั้งหลายเหล่านี้ก็มีน้อยลง เพราะการกลั่นกรองอยู่เสมอ
จนผลสุดท้ายสิ่งภายนอกถูกพินิจพิจารณา จนเข้าถึงขั้นความจริงแล้วปล่อยวางเข้ามาได้โดยลำดับ จนกระทั่งปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิง เพราะอุบายของสติปัญญา ผู้พิจารณาแก้ไขถอดถอน จิตย่อมเข้าสู่ความเป็นตัวของตัวได้โดยลำดับ
#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน
#ในเรื่องของอินทรียสังวรศีลต้องยืนหลักปกติเป็นพื้น
เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียงอะไรมันจะได้ไม่ออกไปพอใจหรือไม่พอใจ แล้วความเป็นกลางของจิตจะต้องมีให้มาก ความเผลอเพลินจะได้น้อย
เราต้องพยายามทำจริงด้วยกันทุกคนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือว่าให้ เพียรเผากิเลสอยู่ทุกอิริยาบถ นี่เป็นข้อปฏิบัติรวมหมดเลย ไม่ว่าใคร จะต้องอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ให้มาก
เพราะถ้าไม่เพียรเผากิเลสทุกอิริยาบถแล้ว เราตรวจดูซิว่าจิตสงบหรือไม่สงบ กิเลสนี่รอบข้าง มันเผลอไผลในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง มันเคยชินกันมาทั้งนั้น เพราะไม่ได้สำรวมไม่ได้ระวัง
แล้วข้อปฏิบัติมันต้องรวมเข้ามารู้ที่เดียว รู้จิตใจของตัวเองในการที่จะรับอารมณ์หรือรับผัสสะ ยืนหลักปกติได้ ความเผลอเพลินน้อย ความชอบไม่ชอบน้อยลง
#อุบาสิกากี #นายายน
(ท่าน ก.เขาสวนหลวง)
#ปัญญาอบรมสมาธิ
ตามแนวแถวสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นพูด หลวงปู่มั่นเทศน์ให้ฟัง ท่านบอกว่าใจของเราปรุงฟุ้งอยู่ตลอด มันคิดมันเอาไม่อยู่ พอเอาสมาธิกำหนดพุท-โธ กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก พุท-โธมันไม่อยู่ มันมีแต่ออกอย่างเดียว
ถ้ามันออก จากนั้นท่านว่าใช้ปัญญานะ ใช้ปัญญาพิจารณาร่างกายดูสิ แยกส่วน แบ่งส่วนของร่างกาย เกศา-ผม โลมา-ขน นะขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตะโจ-หนัง มังสัง-เนื้อเอ็นกระดูก ชำแหละกระดูก ชำแหละเนื้อ เอาตับ เอาปอดมากองไว้
จากนั้นก็พิจารณากระดูกทุกท่อนทุกข้อ ตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงไปถึงฝ่าเท้า นิ้วเท้า แล้วก็ย้อนจากนิ้วเท้าขึ้นมาหากะโหลกศีรษะ ย้อนไปย้อนมา ย้อนมาย้อนไป เห็นกระดูกท่อนไหนที่มันชัดในขณะที่พิจารณาอยู่นั่น เพื่อไม่ให้ใจไปทางอื่น คือใช้ปัญญา ปัญญาพิจารณาไม่ใช่สมาธินะ
สมาธิคือนิ่ง เข้ามาสมถะ คือ นิ่งทำจิตใจให้สงบ กำหนดลมหายใจเข้า- พุท หายใจออก-โธ พุทโธ ก็นิ่ง จากนั้นพอจิตใจนิ่งเป็นสมาธิแล้วก็นำจิตใจที่นิ่ง มาพิจารณาทางวิปัสสนา อันนี้แปลว่า สมาธิอบรมปัญญา เมื่อมีสมาธิเดินปัญญา แต่นี้เดินปัญญาซะก่อน กำหนดลมดูร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าตลบไปตลบมาจนหลายครั้งต่อหลายหน จากนั้นกระดูกท่อนไหนที่มันชัดในความรู้สึกของเรา เราเห็นเลือด เราเห็นตรงไหนที่มันชัด ลองพิจารณาร่างกายของเรา ก็เอาจิตอยู่จุดนั้นไม่ต้องให้ขยับ ให้นิ่งจ่อดูจุดนั้น เมื่ออยู่จุดนั้นจิตใจก็สงบพึ๊บเลยหยุดนิ่ง และจิตใจเข้าสู่ความสงบ เมื่อจิตใจเข้าสู่ความสงบแล้ว ยังเดินวิปัสสนาพิจารณากลั่นกรองไตร่ตรองอีกต่อไป อันนี้เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ให้ใช้ปัญญาซะก่อน เพราะมันเอาความรู้สึกไม่อยู่ในขณะที่มันปรุงฟุ้งนั้นน่ะ
แต่เรา สำหรับเราท่านว่านะหลวงตามหาบัว ท่านว่า สำหรับเรา เราถลกหนัง เราถลกหนังออกมา เราเห็นแผ่นหลังของเรา เห็นแผ่นหลังของเราแดงเถือกท่านว่านะ เลือดอาบ เราถลกหลังออกไป เมื่อเราเห็นแผนหลังของเราแดงเถือกแล้วก็ดูจิตใจ ใจของเราก็จ่อดูที่แผ่นหลังของเราที่มันแดงเถือกนั่นน่ะ ไม่ให้จิตใจขยับไปที่อื่น จิตใจก็รววมสงบท่านว่า อันนี้คือว่า ปัญญาอบรมสมาธิ แต่ไม่มีในพระไตรปิฎกนะลูกหลานศรัทธาญาติโยมในจุดนี้นะ แต่หลวงตาท่านอธิบายให้ฟังก็มีเหตุผล
แต่สำหรับหลวงพ่อเอง หลวงพ่อยอมรับว่าหลวงตาพูดถูก ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นลักษณะอย่างนั้น ถ้าผู้ปฏิบัตินะ เว้นเสียผู้ปฏิบัติเอาตำรามาพูดเถียงกันคอเป็นเอ็นเหมือนกันนะ ก็ไม่ว่ากันนานาจิตตังนานาทัศนะ ก็ไม่เห็นจะเสียหาย ไม่เห็นมันจะเสียที่ตรงไหน มีเสียหายไหม ถึงจะไม่พูดตามพระไตรปิฎกเสียหายไหม ไม่เสียหาย มันก็ไปแนวลักษณะเดียวกันใกล้ๆกันเคียงคู่เคียงกันสำหรับผู้ปฏิบัติ อันนี้แหละในหนังสือขององค์หลวงตามหาบัวจะมีลักษณะอย่างนี้บ้างนิดๆหน่อยๆ แต่ถึงยังไงก็ตาม ท่านก็เน้นการเป็นแนวความคิดของพระไตรปิฎก แต่พวกเราจะให้พวกเราไปอ่านในพระไตรปิฎกไปอ่านนะลูกหลานนะ
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อย่านอนรอความตาย”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.