นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 9:34 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 07 ก.พ. 2022 5:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่กับงานอยู่กับเพื่อน ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน เราก็แย่เลย ถ้าเราไม่มีความสุขที่พูดดีๆ กับเพื่อน เพื่อเสียสละก็แย่ เราพูดไม่ดีกับเพื่อนก็ทะเลาะกัน เพื่อนก็ไม่รักเรา มันเป็นกระบวนการที่จะทำให้เราไม่ร่มเย็น . . . ใช่มั้ย แต่เพื่อนทำไม่ดีเราก็อย่าไปทำตาม

คนเรานี่นะ อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
คนเราการคบเพื่อนนี่สำคัญ คนเราคบเพื่อนเช่นไรก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเราคบพระพุทธเจ้า เราก็ได้เป็นพระอริยเจ้า ได้เป็นพระอรหันต์ . . . เห็นด้วยมั้ย
ถ้าเราคบพวกกินเหล้าเมายาพวกที่มีเมียมาก เราก็ต้องมีเมียมากเหมือนเค้า . . . ใช่มั้ย คนเรานี้การคบคนสำคัญนะ

เราน่ะมีตาก็เพื่อมีปัญญา มีหูก็เพื่อมีปัญญา เราต้องเจริญปัญญา มันถึงจะไม่หลง

สรุปแล้วเรื่องปัญญานี่สำคัญ เรามีตาก็เพื่อมีปัญญา มีหูก็เพื่อมีปัญญา เรียนหนังสือก็เพื่อมีปัญญา ปฏิบัติธรรมก็เพื่อมีปัญญา

ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็หลงในสมาธิ เพราะมันมีความสุข

คนเราต้องมีความสุขในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีความสุขในการทำงานเสียสละ รับผิดชอบ ถ้าเรามีความสุขสมองเราจะได้รีแลกซ์ ได้คลายเครียด ทำอะไรก็รวยก็เฮง ถ้ามันเครียดคิดอะไรไม่ออก อย่างผู้ใหญ่นี้ก็มีความสุขในการรักษาศีล ในการออกกำลังกาย ในการทำอาหารอร่อย ต้องเอาธรรมะมันถึงมีความสุข

เราอย่าไปคิดว่าเราแก่แล้ว เราจะถนอมร่างกายของเรา เดี๋ยวก็ติดในขี้เกียจ หายใจก็ยังไม่อยากหายใจ ไม่อยากหายใจเดี๋ยวก็ต้องไปไอซียู

ถ้าเราไม่มีปัญญาในปัจจุบัน เดี๋ยวเราก็เป็นอัลไซเมอร์ เพราะเราจะเอาแต่สงบ สมองเราไม่ได้ทำงานน่ะ คนเก่งคนฉลาดเค้าต้องมีความสุขในการคิดวางแผนน่ะ

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒








...สิ่งที่ต้องการคือต้องการฝึกให้ตื่นรู้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อจิตจะมีความตั้งมั่นและความผ่องใสเบิกบานพอที่จะทำงาน อาการนี้เรียกว่า กัมมนีโย คือพร้อมที่จะทำงานคือปัญญา หรือวิปัสสนา ปัญญาจะเป็นตัวตัดกิเลส ละกิเลสได้เพราะปัญญา แต่ปัญญาจะเกิดขึ้น ในจิตที่ตื่นรู้อย่างต่อเนื่อง มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ฟุ้งซ่าน มีความสุขอยู่ในปัจจุบัน การภาวนาจึงเป็นการสร้างเหตุสร้างปัจจัย ที่จะนำไปสู่การใช้ปัญญาในที่สุด

เพื่อให้จิตใจยอมอยู่ในปัจจุบัน ยอมสละความเพลินอยู่ในความทรงจำ ความเพลินในความคิดต่างๆ เราต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องระลึกของสติ เครื่องรู้ของจิต เช่น ลมหายใจ แต่สิ่งที่เราต้องระวังตั้งแต่ต้นคือ เราจะน้อมจิตอยู่กับลมหายใจเพื่อตื่นรู้ ไม่ใช่เพื่อผ่อนคลายเพื่อความสบาย เพราะความผ่อนคลายและความสบายนั้นเป็นมารของเราได้ เพราะทำให้เราปล่อยตัวสติ ปล่อยตัวความเพียร แล้วก็ลอยตามความรู้สึกสบายๆ ผลเกิดความง่วงเหงาหาวนอน...

พระอาจารย์ชยสาโร
ปฏิบัติธรรมวาระอบรมคณะครูและผู้ปกครองโรงเรียนทอสี
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา







…จะเป็นร่างกายของเราเอง
หรือร่างกายคู่ครองของเรา
ร่างกายของลูกเรา ของบิดามารดา
ร่างกายของ ญาติสนิทมิตรสหาย
“..เป็นของไม่เที่ยง..”

.มันทำมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ
เกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
“..ให้คิดอย่างนี้เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ลืม..”.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สนทนาธรรมบนเขา ชีโอน
3พฤศจิกายน 2560






" การสู้เวทนา จะทำให้
จิตเห็นธรรมง่าย ถ้าหาก
จะสู้กันจริงๆจังๆเชื่อมั่น
ว่าคนนั้นไม่ถึง 7 วัน
จะต้องเห็นในจิตในใจ
ของตน (ตาทิพย์) คือ
เราสู้เอาชีวิตเป็นประกัน
มันจะปวดขนาดไหน
ก็ปวดไป จะไม่ยอม
ขยับเขยื้อน เรานั่งอยู่
ขาใด มือใดท่าใด
เราจะนั่งอยู่อย่างนั้น

เวลามันจวนจะตายจริงๆ
มันเจ็บมันปวดนั้น เวทนา
ใหญ่เกิดขึ้น มันเจ็บปวด
รวดร้าวอย่างที่บอก
ไม่ถูก เหมือนนั่งอยู่ใน
กองไฟ หรือเหมือนเอา
หลาวทิ่มขึ้นไปบนอากาศ
แล้วนั่งอยู่บน
ปลายแหลน ปลายหลาว

ถ้าหากจิตไม่รวมให้
ใจไม่เป็นธรรม มันก็
ทำท่าจะตายถ่ายเดียว
คนที่ใจไม่เด็ด ไม่ยอม
เสียสละชีวิต มันก็อยู่
ไม่ได้ จะต้องลุกต้องหนี
ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ
อิริยาบถ นี้ปิดบังทุกข์
เอาไว้ไม่ให้เราเห็นชัดเจน
ถ้าเราสู้ทนเอา
เรานั่งก็ท่านี้แหละ.."

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สิงห์ทอง
ธัมมวโร






"การที่เราจะพึ่งใครซักคนหนึ่งนี่
มันก็พึ่งได้ไม่เท่าไหร่หรอก หรือจะไปพึ่งคนโน้น
พึ่งคนนี้ เขาก็ไม่ให้พึ่งเท่าไหร่ แล้วไปอยู่กับเขา
ไม่กี่วัน เขาก็อยากไล่หนีแล้ว เพราะฉะนั้น
บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง เราจะไปเกิดในชาติใด
ภพใด บุญก็ตามช่วยเรา เหมือนกันกับเงาตามตัว
ฉันนั้น"

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร







ที่เราฝึกกรรมฐาน ก็ฝึกให้ใจของเราละเว้นความชั่วในปัจจุบัน -

หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง






กรุณาพักผ่อนใจ ด้วยการภาวนามากๆ

หลวงตามหาบัว






หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

ไปยืนดูสมมติอยู่ เป็นเรื่องปวดหัวจริงๆ ทวนกระแสเข้ามาหาตัว ว่าตัวไปรับรู้อะไรบ้าง มากมายขนาดไหน ไม่มีอะไรน่ายึดถือ จะไปหายึดอะไรกันนักหนา

ถ้าไม่ยึดไม่ถืออะไรเลย วางได้แล้ว ถ้าปล่อย ถ้าวางแล้ว ใจก็ว่าง อยู่ด้วยความว่าง

ถ้าใจวางก็เหมือนคนตายแล้ว ไม่มีอะไรจะยึดถือ ว่าง…วางเฉย

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร








#ราชาแห่งธรรม #ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร #อนัตลักขณสูตร #อทิตปริยายสูตร

ธรรมราชากับนางฟ้า สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้งหนึ่งองค์ท่านหลวงปู่จันทา ถาวโร ได้ไปจำพรรษาร่วมกับองค์ท่านหลวงปู่ขาว อนาลโยและ องค์ท่านหลวงปู่หลุย จันทสาโร ที่วัดถ้ำกองเพล จ.อุดรธานี

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ท่านกำลังเร่งรัดภาวนา ไม่นอนสามไตรมาส อดนอนผ่อนอาหาร เจริญสติมิได้ว่างเว้น

วันหนึ่งคืนแสงแห่งศศิธร คือพระจันทร์วันเพ็ญขอรับ องค์ท่านได้ดำเนินวิถีจิตเข้าสู่ภวังคภพแห่งอุปจารสมาธิและทันใดนั้นเองได้ปรากฏแสงโอภาสโชติช่วงสว่างราวกับว่าเป็นแสงแห่งทิวากาล คือประมาณว่าเฉกเช่นเวลากลางวันก็มิปาน

ได้มีหมู่ฝูงอมรทิพยอัปสรจากแดนเทวดาเหาะละล่องลอยละลิ่วปลิวว่อนมาดุจใยสำลี ในมือมีธงแดงและธูป

พอมาถึงก็สำแดงอาการนอบนพกราบซบน้อมวันทนาการปักธงจุดธูป

ต่อจากนั้นก็สวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทำวัตรเย็น

ลำดับต่อมา ท่านผู้มาเยือนได้สวดธรรมราชา คือธรรมจักกัปวัตตนสูตร และตามติดด้วยอนัตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร

ทั้งสามสูตรนี้เขาเรียกว่า ราชาธรรม คือเป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ (โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง) เขาผู้มาจากเทวพิภพว่าคือ...พระธรรมทั้ง ๘,๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์มารวมกันอยู่ที่นี้ทั้งหมด

เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ท่านเหล่านั้นก็ได้เจริญพระกรรมมัฏฐานภาวนาหลับตาเพ่งพิศ สงบจิต สำรวมเนตร ราวๆประมาณว่าสามชั่วโมง เมื่อเสร็จการก่อกิจอันเป็นกุศลก็แสดงทีท่าว่าจะจรลีจากจร

องค์ท่านหลวงปู่ก็เลยกำหนดจิตไต่ถามว่าคุณโยมมาจากสถานห้องแห่งที่ใด? ท่านผู้รูปงามก็ตอบว่าเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์

องค์ท่านหลวงปู่ก็ไต่ถามต่อไปว่าท่านมาที่นี้เพื่อประโยชน์อันใด ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตอบว่ามาบูชาแก้วสามประการนะท่าน

องค์ท่านถามอีกว่า บูชาเพื่อประโยชน์อันใด?

เพื่อบำเพ็ญกุศลนะท่าน เพราะแก้วพุทธโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้นเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนและของหอม.

และองค์ท่านหลวงปู่จันทาได้ถามอีกว่าอยู่บนสวรรค์มิได้บำเพ็ญหรือโยม

คำตอบต่อไปนี้สำคัญที่ทุกท่านทุกคนจะต้องเงี่ยโสตะสดับหลาย ๆ รอบ คือ

บำเพ็ญอยู่เหมือนกัน แต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนบำเพ็ญอยู่ในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ทำน้อยได้มาก ทำมากยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญบุญกุศล

จะไปสวรรค์หรือพรหมโลกก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมนุษย์นี้ก่อนจึงจะไปนิพพานพ้นทุกข์จากโลกสงสารก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุทธในเมืองมนุษย์นี้เสียก่อนจึงจะได้ นอกนั้นไม่มี

วรรค เขาได้เล่าว่าได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้านามว่ากัสสปะ ปฏิบัติภาวนามา สองหมื่นปี

และที่สำคัญเขาได้ฝากมายังมนุษยพิภพ ว่า ท่านอาจารย์ขอให้ได้โปรดแนะนำพร่ำสอนญาติโยมทั้งหลายให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาถัดจากนั้น ท่านผู้มาเยือนก็เหาะหนหาย วับไปกับสายตาทะลุผ่านไปในกลีบเมฆา

อ้างอิงจากหนังสือ..๘๐ ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร แห่งวัดป่าเขาน้อย อ.ทรายมูลจังหวัดพิจิตร







#ชีวิตเรามันมีค่าอยู่ที่
#หัวใจที่มีธรรม

ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั้นแหละ จะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที

เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่ " หัวใจที่มีธรรม "
#หลวงปู่เจี๊ยะ #จุนโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 143 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO