Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

รักษากำลังใจ

อาทิตย์ 27 ก.พ. 2022 8:06 am

ศาสนาเรื่องความจริง

ดีมากเหลือเกินโยม ถ้าปฏิบัติในทางศาสนา
ไม่มีทาง ต้องสัมผัส
แต่ก่อนไม่เคยสัมผัสความดีความงาม
แต่ระวังมากเข้าใจไหม

หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต
วัดป่าบ้านตาด






…ต่อจากนั้น
ก็มีงานที่ละเอียดกว่านั้นอีกที่ต้องทำต่อ
คือ..” การพิจารณานามขันธ์ที่อยู่ในจิต “

.ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่จิตยังหลงยึดติดอยู่
ยังติดอยู่กับสังขาร ความคิดปรุงแต่ง
ยังชอบคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
คิดแล้วก็มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง

.แต่พอมีความทุกข์
ก็ไม่รู้จักระงับดับมัน
เพราะติดสังขาร ไม่รู้จักหยุดคิด

.จึงต้องพิจารณาแยกจิตผู้รู้
ออกจากสังขาร ความคิดปรุง
แยกจิตออกจากเวทนา
แยกจิตออกจากสัญญา
แยกจิตออกจากวิญญาณ

.ให้เห็นว่า..” จิตกับขันธ์เป็นคนละส่วนกัน “
ขันธ์ออกมาจากจิต..เป็นอาการของจิต

.เหมือนกับฟองน้ำกับคลื่น
ที่ต้องอาศัยน้ำทำให้เกิดขึ้นมา
เช่นเดียวกับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ “ ต้องมีจิต ถึงจะเกิดขึ้นมาได้ “.
………………………………………….
.
จุลธรรมนำใจ ๗ กัณฑ์ที่ ๒๗๔
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





ที่ว่าน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ นั้นไม่ใช่จิต (แต่)เป็นสังขาร

แท้จริงจิตนี้ไม่เคยเศร้าหมอง เพราะจิตนี้คือ ความว่าง..ความว่าง ไม่เคย เสียใจ ไม่เคยน้อยใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ ไม่เคยโกรธใคร เพราะเรามีความว่าง..รู้อยู่ แต่ปรุงแต่งไม่ได้ กิเลสจะตัดหรือไม่ตัด ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราไปหาธรรม

ถ้าเราระลึกรู้ตรงนี้ เราก็จะรู้ได้ จะรู้ไม่รู้ก็ขึ้นอยู่กับ สติของเรา สติของเราเข้าใน รู้ว่าสติเราอยู่กับตัวหรือเปล่า หยุดตรงนี้ กลางกายของเรา ถ้าน้อมเข้ามาแล้วความวุ่นวายทั้งหลาย กิเลสที่เราอยากตัด มันจะจบทันทีเลย มันจะตัดเองไม่ต้องไปตัดมัน ถ้าเราอยู่ตรงนี้สังขารไม่มา หากเราไปอยู่กับสังขารมันก็ใช้เราตลอด

ถ้าเราหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของสังขาร เพราะมันปรุงแต่งให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในสังขารทั้งนั้น สติตรงนี้ ไม่มีอดีต อนาคต เหลืออยู่แต่ปัจจุบันธรรม ถ้าไม่น้อมเข้ามาก็ไม่เป็นสมาธิ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อยากเห็นพระพุทธเจ้าก็น้อมเข้ามาที่ตัวเรา เรียกว่า ปัจจุบันจิต เป็นธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่ง นั่นคือธรรมะ แต่ถ้าปรุงแต่งก็เป็นธรรมะ แต่เป็นสังขารธรรม

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่าไปหากิเลส มันเป็นเรื่องของมัน เราอย่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นกองบัญชาการ มันทำให้เรามีแต่ความทุกข์ มีแต่ความร้อน เป็นธรรมที่เกิด เกิดเพราะโลภะ โทสะ โมหะ

พระองค์จึงให้ไปหาธรรมะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยู่ที่ตัวของเรา ตั้งสติไว้ปกติ ไม่มีอดีต อนาคต ก็เกิด ความว่างทันที ถ้ารู้อยู่ตรงนี้จะไม่รู้อย่างอื่น รู้แค่รู้

เหมือนที่หลวงปู่ดุลย์ท่านว่า การปฎิบัติ ถ้าเราไปหาจิตเจอ สังขารก็ตายเอง ไม่ต้องไปฆ่ามัน แต่ถ้าหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของมัน เพราะทิฎฐิที่ทำให้เราไม่รู้ธรรม ก็เพราะมีอดีต อนาคต.

พระธรรมเทศนา พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล





#จิตหนึ่ง....

การทำใจให้สงบ
ให้รู้อยู่ในจุดรู้
อยู่อย่างเดียว

ประคองเข้าสู่จุดนั้น
รักษาความรู้สึกไว้
ในจุดเดียว

ถือเอา
ความรู้สึกนั้น
ให้ ไปรวมอยู่
ในที่จุดเดียว

หรือมิฉะนั้น
ให้กลั้นลมหายใจ
มันจะจดจ่อ
เป็นที่ตั้งของใจ

เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว
ให้จำตรงนั้น
ประคองความรู้สึก
ไว้ที่ตรงนั้น

ให้มันอยู่
ให้มันติด
ตรงจุดนั้น
ให้ได้

เมื่อตั้ง
จนชำนิชำนาญ
จิตมันจะติดตรงนั้น

เมื่อใจมันติด
ตรงจุดนั้นได้
มันก็วางข้างนอก

มันไม่ไป
ต่อข้างนอก
มันจะต่อจุดนั้น
อย่างเดียว

เมื่อมันแน่ว
อยู่ในจุดเดียวแล้ว
มันเป็น
สมาธิเบื้องต้น

รักษาจิต
ให้อยู่ในจุดนั้น
มากขึ้นเท่าใด
ใจก็จะมั่นคง
มากขึ้นเท่านั้น

เป็นเอกัคตาจิต
จิตมีอารมณ์
เป็นอันเดียว
อยู่ในจุดที่ตั้งนั้น
เป็นสภาวะธรรม
ของ..จิตหนึ่ง.
———-
พระโพธิญาณเถร
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง
อ.วารินชำราบ
จ.อุบลราชธานี






พยายามให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าเราได้บำเพ็ญต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ก็เรียกว่าคุ้มค่ากับการเกิดมา
ไหนๆ ชีวิตสังขารนี้
จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไร้สาระ

ดังนั้นก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ
นอนแน่นิ่งให้เขานำไปเผาเป็นขี้เถ้า
ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ก็ควรสร้างบุญบำเพ็ญกุศลให้มากๆ
ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่
อย่าให้หมดลมหายใจ
สิ้นวิญญาณไปเปล่าๆ เลย

ชีวิตถ้าเกิดมาเพียงปล่อยไปวันๆ หนึ่ง
ก็ได้แค่ แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีสาระอะไร
เสียโอกาสที่ได้ชีวิตเป็นมนุษย์
เป็นสัตว์อันประเสริฐ มีมันสมอง
มีสติปัญญาที่จะพัฒนาตัวเองได้
การปล่อยให้ชีวิตล่องลอย เลอะเลือน
ใหลหลงไปตามอำนาจของกิเลส
ก็น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมา
ยิ่งเกิดมาในยุคนี้
มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาแล้วไม่สนใจ
โอกาสที่จะได้หวนกลับมาเป็นมนุษย์อีกก็ยาก
ถ้ายังมัวประมาทอยู่
ก็ต้องไปสู่ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน
วนเวียนอยู่ในอบายภูมิ
ฉะนั้นจึงต้องเร่งแข่งกับเวลา
ที่หมดไปในแต่ละวันๆ
เพราะวันเวลาผ่านไปทุกนาที
ไม่สามารถหวนคืนกลับมาได้
กลืนกินชีวิตไปทุกขณะ
เราได้ทำอะไรที่เป็นแก่นสารบ้างหรือยัง

สาระของชีวิตอยู่ที่คิดดี พูดดี ทำดี
ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง
ตามครรลองประโยชน์ตนและคนอื่น
ทำชีวิตของเราให้มีสาระขึ้น
คือให้มีประโยชน์
ได้ประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น

ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
‪‎ท่านเจ้าคุณ‬ ‪‎พระภาวนาเขมคุณ‬ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

-----------------------------------------

ถาม : คนที่เขาอายุยืนเป็นร้อยปี เขาทำอะไรถึงได้อายุยืน ?
ตอบ : ปาณาติบาตน้อยจ้ะ พูดง่าย ๆ ก็คือ ชาติก่อนเรื่องฆ่าคนฆ่าสัตว์ ตั้งแต่เล็กสุดถึงใหญ่สุดนี่แทบไม่เตะเลย

#อายุยืนเกิดจากพื้นฐานของจิตใจที่มีเมตตา #ไม่ได้ทำปาณาติบาตเอาไว้ ในเมื่อเราไม่ฆ่าเขา ถึงเวลาอายุเราก็อยู่ยั้งยืนยง แต่ก็ไม่เกินเกณฑ์เท่าไรหรอก

เว้นจากการฆ่าสัตว์อายุจะยืน เว้นจากการลักทรัพย์ ทรัพย์สินจะไม่เสียหายด้วยภัยธรรมชาติหรือโจรภัย เว้นจากการประพฤติผิดในกาม จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ สามารถปกครองคนอื่นให้เชื่อฟังทุกอย่างได้ เว้นจากการโกหก เกิดใหม่พูดอะไรก็มีแต่คนเชื่อฟัง เว้นจากการดื่มสุราเมรัย เกิดใหม่จะไม่เป็นโรคปวดหัว ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า ส่วนนี้เป็นแค่เศษ ๆ เท่านั้น เพราะว่าโทษหนักจริง ๆ ส่วนใหญ่ไปรับอยู่ข้างล่างแล้ว หลงมาเกิดเป็นคนแล้วถึงจะได้รับเศษที่เหลือ

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖
ที่มา : www.watthakhanun.com

-----------------------------------------

สมาธิจากการเดินจงกรม

การรักษากำลังใจของเรานั้น ส่วนใหญ่พวกเราไม่เคยชิน แล้วก็ไม่ได้ฝึกในการปฏิบัติยามที่เคลื่อนไหว เราจึงต้องมาเดินจงกรมกัน การเดินจงกรมมีอานิสงส์อะไรบ้าง ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมเสื่อมได้ยาก เพราะร่างกายเคลื่อนไหวอยู่จนได้สมาธิ

สมาธิที่เรานั่งอยู่แล้ว เมื่อเดินหรือว่าขยับไปทำอย่างอื่น อาจจะเคลื่อนคลายหายไปหมด แต่สมาธิจากการเดินจงกรมจะคลายตัวได้ยาก แปลว่าทรงตัวได้มั่นคงมากกว่า

อันดับที่ ๒ ได้ออกกำลังกาย ทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย อันดับที่ ๓ อาหารที่กินลงไปย่อยสลายได้ละเอียดขึ้น ดีขึ้น ร่างกายดึงเอาสารอาหารไปใช้งานได้มากขึ้น สิ่งที่หมักหมมตกค้างอยู่ในร่ายกายมีน้อยลง โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง อันดับต่อไป ทำให้เป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล

ถ้าเรายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ วันหนึ่งสัก ๑๐ ชั่วโมงก็เท่ากับว่าวันหนึ่งเราสามารถเดินทางได้วันละ ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน ถ้ายกหนอ ย่างหนอได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง ก็เดินทางไกลได้ ๒ ชั่วโมงเช่นกัน เรามาเน้นตรงที่ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมทำให้เสื่อมได้ยาก

แต่สำคัญที่ว่า การบริกรรมกับการเคลื่อนไหวต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยกหนอ ยก..ก็ยกเท้าขึ้น หนอ..ก็ยกสุดพอดี ย่างหนอ ย่าง..ก็เคลื่อนเท้าไปข้างหน้า หนอ..ก็เคลื่อนสุดพอดี เหยียบหนอ เหยียบ..ก็ลดเท้าลง หนอ..ก็แตะพื้นพอดี ให้ทุกอย่างเป็นปัจจุบันทันกันอย่างนี้

ถ้ากำลังใจเราอยู่กับการเคลื่อนไหวแบบนี้ตลอด ไม่หลุดไปสู่อารมณ์อื่น รัก โลภ โกรธ หลงจะกินใจเราไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราไม่ได้ แปลว่าความชั่วใหม่ไม่มี เกิดขึ้นไม่ได้ ความชั่วเก่าก็โดนขัดเกลาไปเรื่อย ๆ

เหมือนอย่างกับบ้านหลังหนึ่ง โดนกวาดโดนถูไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่สกปรกเพิ่มขึ้น เดี๋ยวก็สะอาดเอี่ยมทั้งหลังไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะขัดเกลากำลังใจของตนให้ผ่องใสก็จะมีมากขึ้น

วิธีการสังเกตว่าการปฏิบัติของเราได้ผลหรือไม่ได้ คือดูว่า กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้นหรือเปล่า ? หลายคนเข้มงวดกับตัวเองเวลาปฏิบัติ แต่พออยู่ที่บ้านมักจะปล่อยไปตามอารมณ์

กระทบอะไรเป็นด่ากระจาย หรือว่าต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างกำลังใจของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้นขอให้รู้ว่า กำลังใจของเรายังหาดีไม่ได้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี อ.ทองผาภูมิ
โอวาทงานบวชเนกขัมมะลอยกระทง
๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗
ที่มา: เว็บวัดท่าขนุน

-------------------------------------------

รู้สึกมันสวนกับทางโลก

ถาม : เวลาปฏิบัติไป รู้สึกมันสวนกับทางโลก เราทำงานไม่ได้เลย
ตอบ : แสดงว่าคุณทำผิด การปฏิบัติธรรมเราไปตามกรอบของศีล ทำไมจะไปกับทางโลกไม่ได้ ?

ถาม : เวลาเราทำงาน เราใช้พลังบางอย่างเพื่อที่จะปลุกเร้าทีมงานให้เกิดความรู้สึกขึ้น ใจเราก็เห่อตาม
ตอบ : เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน แสดงว่าคุณแบ่งเวลาไม่เป็น คุณจะอยู่กับกรรมฐานตลอด ก็ทำงานไม่ได้สิ

ไปปรับใหม่ เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างให้ใจอยู่กับกรรมฐาน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

ถาม : หลัง ๆ เวลางานจะเยอะขึ้น ก็เลยลองถอดกำลังใจบางส่วน แล้วก็ทำกับงาน พอกำลังใจบางส่วนทำกับงาน รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา วุ่นไปหมด ไม่สงบ
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้น เดี๋ยวก็ต้องทิ้งงานแล้ว ถ้าเราอยู่กับความสงบจนชินก็จะอยู่กับงานไม่ได้ ต้องทิ้งงานมาเข้าวัด ดูจังหวะดี ๆ เสียก่อน ค่อยหาโอกาสเข้าวัด

ถาม :พยายามหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าทางบ้าน ?
ตอบ : อดทน สู้ต่อไปไอ้มดแดง..!

เราจะเห็นความสุดยอดของพระพุทธเจ้า
โอวาทของท่าน ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา
ขึ้นต้นด้วยขันติ ต้องอดทนอย่างเดียว..!

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

------------------------------------------

พระเครื่อง

ถาม : เวลาอาราธนาพระเครื่องและวัตถุมงคลสายวัดท่าซุง เราสามารถอาราธนาบารมีพระรัตนตรัย โดยมโนภาพและตั้งจิตนึกเป็นภาพพระพุทธรูป ภาพพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ดอกมะลิแก้วร่วงจากแย้มพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าแทนพระธรรม และภาพหน้าหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษี และพระอริยสงฆ์องค์อื่น ๆ แทนคำพูดได้หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : คิดถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาออกชื่อทีละท่านสองท่าน

ถาม : ห้ามใส่พระเครื่อง วัตถุมงคล เข้าสถานบริการทางเพศ หรือใส่มีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนวัตถุมงคลจะเสื่อม จริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : มีทั้งจริงและไม่จริง ที่จริงก็คือกติกาข้อห้ามของครูบาอาจารย์ที่สร้างวัตถุมงคลไว้เป็นเช่นนั้น ส่วนที่ไม่จริงก็คือครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่ถือสา เราก็ใช้ลุยไปเถอะ ท่านไม่ได้ว่าอะไรหรอก

ถาม : ใส่พระเครื่อง วัตถุมงคล ห้ามเป็นชู้ลูกเมียเขา ถ้าฝ่าฝืนวัตถุมงคลเสื่อม จริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่วัตถุมงคลเสื่อมหรอก ทำเมื่อไรตัวคนทำเสื่อมแน่ ๆ..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
(หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙

-----------------------------------------

อธิษฐานหนีกรรม

ถาม : เราอธิษฐานหนีกรรมได้ไหม ?
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่หนีไม่รอด จำไว้ว่า กรรมจะตามให้ผลอยู่เสมอ ยกเว้นว่าเราทำบุญอยู่ตลอดเวลา กำลังบุญที่สูงพอก็จะหนีห่างกรรมไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเราทำดีถึงที่สุด หลุดพ้นเข้าพระนิพพานไป กรรมก็ตามไม่ได้

อธิษฐานเป็นความตั้งใจเฉย ๆ ถ้าไม่ได้ทำบุญประกอบ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีบุญประกอบตั้งใจอธิษฐานหนีกรรม กำลังบุญก็ส่งให้ได้ แต่ได้เพียงระยะเดียว ถ้าเผลอเมื่อใดกำลังบุญสิ้นสุดลง กรรมจะตามทันให้ผลอีก เพราะฉะนั้น..ต้องทำบุญให้สม่ำเสมอไว้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ที่มา : www.watthakhanun.com

-----------------------------------------

ถาม : เกย์กับตุ๊ดบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : เกย์กับตุ๊ดบวชได้ เพียงแต่ว่าอุปัชฌาย์เป็นผู้พิจารณา อย่างวัดท่าขนุนบอกแล้วว่า ถ้าคุณเก็บอาการได้ก็บวชได้ ถ้าไปออกอาการเมื่อไรต้องสึก เราไม่ได้รังเกียจ

แบบเดียวกับที่ไปบรรยายธรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาถามว่าหลักการปฏิบัติธรรมของเพศที่ ๓ มีอะไรบ้าง ? ก็บอกกับเขาไปว่า ไม่มีหรอกเพศที่ ๓ มีแค่ ๒ เพศเท่านั้นแหละ ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคุณมีความเข้าใจหรือเปล่าว่า ระหว่างการสร้างบารมีนั้นจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ถ้าหากบารมีต้นก็เป็นผู้หญิงตลอด อุปบารมีก็เริ่มจะเป็นผู้ชาย อุปบารมีขั้นกลางเป็นผู้ชายมาใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงก็ยังติดมา คราวนี้พอเป็นลักษณะอย่างนี้ จะไปนับเข้าเป็นอีกเพศหนึ่งก็ไม่ได้หรอก

ถาม : โยมผู้หญิงก็บารมีน้อยกว่าสิ ?
ตอบ : ไม่ถูก เพราะว่าผู้หญิงที่เขาเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ ท่านก็ยังเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ ต่อให้บารมีมากกว่าเรากี่เท่าก็ยังเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ อีกประเภทหนึ่งก็คือเป็นผู้ชายแล้วแรดมาก จะโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิง ไอ้นั่นก็บารมีเยอะเท่าไรก็ต้องไปเกิด เพราะตัวเองสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้ จะได้รู้ว่าความช้ำใจเป็นอย่างไร พอถึงเวลาก็มีกิ๊กยันเตเลย พวกเรื่องกิ๊กนี่บางทีเขาไม่ได้อยากมีหรอก มาตามวาระ ต้องระวังให้ดี ถ้าหากว่าไม่มีสติสัมปชัญญะอยู่ก็จะพัง

ถาม : ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ผิดสิครับ เพราะมาตามวาระ?
ตอบ : ผิด...มาตามวาระก็คือวาระกรรมที่สร้างเอาไว้ คุณจะต่อกรรมไหม ? ไม่ผิดก็ไม่มีหรอก

ถาม : ผมจะได้พยายามไปเล่าให้ภรรยาฟัง
ตอบ : อย่าพยายามเอาอาตมาอ้าง

ถาม : เดี๋ยวบ้านแตก
ตอบ : บ้านแตกไม่เป็นไรหรอก หัวแตกสิสำคัญ...!

ถ้าถึงวาระบุญกับวาระกรรมที่สร้างร่วมกัน เขาก็จะมา ก็อยู่ที่เราว่ามีสติสัมปชัญญะแค่ไหน ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มีความมั่นคงในศีล ก็สามารถประคองตัวรอดไปได้ ถ้าไม่มีความมั่นคงในศีลก็ไหลไปตามเวรตามกรรม ก่อเวรก่อกรรมมากขึ้นไปอีก ชาติต่อ ๆ ไปก็ต้องมาผูกเวรผูกกรรมกันต่ออีก ก็ไม่เห็นหรือคู่นักร้องกับเมียที่ทะเลาะกันบ้านจะแตก เต็มโซเชียลไปหมด ไม่เห็นเลิกกันเสียที

ถาม : เพศตรงข้ามที่โผล่เข้ามาในชีวิตมากมาย นี่เข้ามาหนุนเสริมหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บางคนก็ไม่ใช่ บางคนก็มาหนุนเสริม บางคนก็มาตัดรอน แล้วแต่ว่าสร้างบุญร่วมกันมาหรือสร้างกรรมร่วมกันมา ก็เลยเหมือนกับเลือกผิดเลือกถูก อยู่ที่ว่าดวงจะเฮงแค่ไหน

ถาม : แล้วท่านไม่เจอคู่บารมีบ้างหรือครับ ?
ตอบ : เจอ...คราวนี้มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า ถ้าเราคงมั่นคงต่อแนวทางของเรา เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไอ้ที่มาตามตื๊อตามอะไรอยู่เป็นพรรษา ๆ ท้ายสุดก็โดนไล่เตลิดไป

เรื่องของเนื้อคู่ต้องบอกว่ายิ่งกว่าถูกหวยอีก ถูกยากถูกเย็น ไปถูกเลขท้ายสองตัวก็พอดีใจได้หน่อยหนึ่ง จะไปหวังรางวัลที่หนึ่งก็ยากมาก

ดูคุณชรินทร์กับเพชรา มีแต่คนเขาบอกว่าเพชราตาบอด มองอะไรไม่เห็น คุณชรินทร์จะนอกใจขนาดไหนก็ไม่มีใครว่าอยู่แล้ว ทำไมถึงได้รักนักรักหนา ดูแลกันมาขนาดนี้ ? คุณชรินทร์เขาบอกว่า ตอนที่จีบกันใหม่ ๆ แกเป็นคนที่ไม่น่าจะได้รับเลือก เพราะคุณสมบัติต่ำสุด มีอย่างเดียวคือเป็นนักร้อง ไม่ว่าจะฐานะ ไม่ว่าจะความรู้ ไม่ว่าจะในสภาพวงสังคมวงศ์ตระกูลอะไรก็ตาม สู้ใครไม่ได้เลย แต่ในเมื่อคุณเพชราเลือกแกแล้ว แกบอกว่า ของที่ได้มายากขนาดนี้ ถึงเวลาก็ต้องดูแลรักษาให้ดี

เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
(หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)

-------------------------------------------

ครั้งหนึ่งมีข่าวลือว่าจะเกิดภัยพิบัติ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า

"เรื่องของการถือมงคลตื่นข่าว ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป อย่าลืมว่าการกิน การนอน การสืบพันธุ์ การกลัวภัย จัดเป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์โดยถ้วนหน้า สำคัญที่ว่าใครจะมีสติมากกว่ากัน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงสติสัมปชัญญะว่าเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก คือ หลักธรรมทุกข้อต้องอาศัยสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องหนุนเสริมทั้งหมด

ถ้าเรามีสติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตาย กำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนว่าตายแล้วจะไปไหน เรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ ก็ไม่ใช่ของน่ากลัว เพราะความตายถ้าไม่หลุดพ้นไปนิพพานเลยก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต เป็นแค่การเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนขันธ์ไปเท่านั้น ดีไม่ดีเวียนว่ายตายเกิดอย่างยาวนานอีก
ในเรื่องของการถือมงคลตื่นข่าว ถ้าหากว่าเรายังเชื่อถือและแตกตื่น ก็แสดงว่าเราไม่มั่นคงในพระรัตนตรัยจริง ๆ บุคคลที่ไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย โอกาสที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็ยาก ถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จะไม่ถือมงคลตื่นข่าวอีกแล้ว"

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
#รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว

--------------------------------------------

+++ อุทิศบุญให้คนอื่น บุญเราจะหมดหรือไม่ +++

ถาม : การอุทิศส่วนกุศล....
ตอบ : #การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลนั้น #พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นคนแรก ท่านเคยชินกับธรรมเนียมพราหมณ์ที่ว่า การให้อะไรใครก็เอาน้ำเทรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอ #แต่พออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว #เขาไม่ได้ยื่นมือมาให้เห็น #ท่านไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเทรดมือตัวเอง พวกเราไม่รู้ที่มาที่ไปก็เทรดมือตัวเองต่อกันมาเรื่อยๆ

ความจริงแล้วแค่เราคิดว่า #กุศลที่เราทำทั้งหมดนี้ขออุทิศให้แก่ใคร #เจาะจงชื่อนามสกุลไปเลยก็ได้ #แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปกรวดน้ำเป็นคูลเลอร์แบบคุณยายในเว็บหรอก

ถาม : ถ้าเราอุทิศกุศลให้คนอื่น กุศลของเราจะหมดหรือไม่ ?
ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านบอกว่า #ถ้าเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่น #เปรียบเหมือนเราก่อไฟขึ้นมาแล้วอนุญาตให้เขาต่อไฟไปใช้ได้ กองไฟของเราไม่ได้ลดความสว่างลง #แต่ความสว่างเพิ่มขึ้นจากการที่ตัวเองให้เขาก่อกองไฟต่อไป

การที่เราจะให้เขาได้จิตเราต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี ในเมื่อจิตประกอบด้วยเมตตาบารมี บุญใหญ่ก็เกิดขึ้น #แทนที่จะหมดก็มีแต่มากจะขึ้นเรื่อยๆ

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
(หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕
ตอบกระทู้