พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พฤหัสฯ. 10 มี.ค. 2022 6:04 am
…บุญหรือกรรม
เป็นสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต
การเจริญหรือเสื่อมของธรรมชาติ
ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ
สิ่งที่เราทำได้ก็คือ..
“ ทำใจให้เป็นอุเบกขา ปล่อยวาง “
.จะปล่อยวางได้ก็ต้อง
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็นว่าเป็นอย่างนี้
.ถ้าไม่อยากจะเจอก็…อย่ามาเกิด
อย่าอยากได้สิ่งที่เป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
.เวลาอยากได้…
ไม่คิดกันเลยว่า ได้แล้วต้องเสียไป
พอเสียแล้วก็ถามว่า ทำไมต้องเสีย
.ทุกอย่างที่เราได้มา เราต้องเสียไปหมด
ได้ร่างกายนี้มา..เดี๋ยวก็ต้องเสียมันไป
ได้ลาภยศสรรเสริญสุขมา
เราก็ต้องเสียมันไปหมด
.สิ่งที่เราไม่เสีย เรากลับไม่เอากัน
คือ…” ความสงบ “ ความสงบสุข
เป็นของเราอยู่กับเราไปตลอด อกาลิโก
.ความสงบที่เกิดจาก
การภาวนา ทำใจให้สงบ
ที่เกิดจากการปล่อยวางด้วยปัญญา
เป็นสมบัติของเรา ที่จะ
ไม่มีวันจากเราไป..อยู่กับเราไปตลอด
.ไม่มีร่างกาย เราก็ไม่เดือดร้อน
เราก็ยังมีความสุขนี้อยู่
ความสุขที่พระพุทธเจ้า พระสาวก
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีกันอยู่
ถึงแม้เวลาจะผ่านมาแล้ว
ตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี
.ความสุขในพระทัยของพระพุทธเจ้า
ที่เป็นปรมังสุขังนี้ก็ยังอยู่
ความสุขของครูบาอาจารย์
ที่ท่านจากพวกเราไปแล้ว
ก็ยังอยู่ในใจของท่าน ไม่มีวันเสื่อม
ไม่มีวันหาย ไม่มีวันหมดไป
.เพราะไม่ได้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ความสุขนี้แหละเป็นสมบัติที่แท้จริง
ที่เราสามารถครอบครองได้
.ถ้าปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้า
ทรงสั่งสอน คือทำทาน รักษาศีล
เจริญสติ สมาธิและปัญญา
เป็นวิธีที่จะ..ทำให้ได้สมบัติอันวิเศษนี้.
………………………………………….
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
"..การเกิดกับการตายนั้น ถ้าพิจารณาให้ดี
อาตมาคิดว่าการเกิดน่าสังเวชมากกว่าการตาย
ให้นำไปพิจารณาดูว่า จริงหรือไม่
นั่งสมาธิภาวนาจิตสงบแล้ว
ให้พิจารณาว่า ทำอย่างไรไม่ให้มาเกิด
เหมือนเมล็ดผลไม้ที่สมบูรณ์ เมื่อนำไปปลูกมันก็งอกงาม
แต่ถ้ามันไม่มีเชื้อ เช่นเราเอามันไปคั่วเสีย
เมื่อนำไปปลูกก็งอกไม่ได้
อุปมาเหมือนเราฆ่ากิเลสภายในจิตใจของเราด้วยปัญญา
หมดสิ้นแล้ว เราก็ไม่ต้องไปเกิด ฉันใดก็ฉันนั้น .."
คติธรรมของหลวงปู่เนตร จิรปุญโญ
“นักภาวนาเราอย่าทำความเพียรแบบทื่อ ๆ หัวหลักหัวตอไปวัน ๆ โดยที่ไม่มีความคิดความอ่านที่จะมาเตือนตนเอง นั่นถือว่าใช้ไม่ได้ มันไม่ใช่ลักษณะของนักปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติธรรมที่จะมีความเจริญในธรรมได้นั้น ต้องมีความแยบคาย มีความรอบคอบ มีความละเอียดในทุกซอกทุกมุม รู้จักคิดพิจารณาที่จะมาเตือนตัวเราเองได้ นี่เป็นคุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรม ต้องมีให้พร้อม อย่าพากันอยู่แบบทื่อ ๆ หัวหลักหัวตอ แล้วจะให้เป็นผู้ฉลาดในธรรมนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ลองพิจารณาให้เห็นว่าที่ผ่านมา เราปล่อยให้จิตของเราเรร่อนจรจัดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ถ้ามาพิจารณาให้ดี มันก็น่าจะเบื่อหน่าย เกรงกลัว และเห็นโทษเห็นภัยของความเร่ร่อนจรจัดของจิตแบบนั้น แล้วถ้าเราต้องการที่จะให้จิตออกจากความเร่ร่อนจรจัดแบบนั้น เราก็ต้องตั้งใจภาวนากันอย่างจริงจัง ให้พากันเดินจงกรมนั่งภาวนา ทำความพากความเพียรอย่างเอาจริงเอาจังลงไป ตั้งจิตแน่วแน่ลงไป อย่าไปคำนึงถึงอะไรทั้งนั้น วางสิ่งรอบตัวลงไปให้หมด เรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเรา มีแต่เรากับธรรมเท่านั้น
ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมะได้ ต้องโอปะนะยิโก น้อมเข้ามาที่จิตดวงนี้ ไม่ใช่ส่งจิตออกภายนอก มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งจิตออกไป มันไม่ใช่ของประเสริฐเลย ในขณะนี้ เราจะมาทำความสงบ เราก็อย่าไปสนใจใส่ใจ ในการส่งจิตออกไปภายนอก ไปคาดหมายเพ่งเล็งภายนอก มันเป็นเรื่องของการทำลายนักปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมนักปฏิบัติธรรม
ดังนั้น เราจึงต้องมีความละเอียด ต้องรู้จักสอนตัวเอง รู้จักละวางในสิ่งที่ควรละ รู้จักเจริญในสิ่งที่ควรเจริญ ถ้าทำอย่างนั้นได้แล้ว เชื่อเถิดว่านักปฏิบัติธรรมผู้นั้น จะได้ดิบได้ดีบนเส้นทางแห่งธรรมะนี้อย่างแน่นอน”
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
เป็นสมมติทั้งนั้นแหละ เนื้อแท้จริงแล้ว มันไม่มีอะไร
หลวงปู่ชา สุภัทโท
#อ้อคนเรามาหลงอยู่ตรงหนังนี่เอง
หลวงปู่แหวนเพ่งพิจารณาหาอุบายกำราบจิตใหม่โดยการเพ่งเอาร่างกายของหญิงงาม นั้นยกขึ้นมาแล้วพิจารณากายคตาสติ แยกอาการ ๓๒ นั้นทีละส่วน โดยอนุโลม ปฏิโลมเทียบเข้าหากายของตน
พิจารณาละเอียดให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อวัยวะแต่ละส่วนของหญิงนั้นก็มีเหมือนกันทุกอย่าง จะผิดแผกแตกต่างกันก็ด้วยลักษณะแห่งเพศเท่านั้น
หลวงปู่ทรงสมาธิแล้วพิจารณาอยู่เช่นนั้นกลับไปกลับมา ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญาพิจารณา กายคตาสติ ไปจนถึงหนัง
ถ้าถลกหนังที่ห่อหุ้มเนื้อออกจนหมด ความจริงก็ปรากฏทันที นั่นคือเนื้อกายซึ่งปราศจากผิวหนังห่อหุ้มอยู่ย่อมีสภาพที่ ไม่น่าดู หรือ ดูไม่ได้เอาเสียเลย เพราะเหลือแต่เนื้อแดง ๆ เยิ้มด้วยน้ำเหลือง มีเส้นเลือดผุดพราวไปทั่ว
"ตัวรู้" ก็บอกว่าหากหญิงงามไม่มีหนังหุ้ม เหลือแต่เนื้อแดง ๆ ใครเล่าจะพิศวาสได้ลงคอ
อ้อ... คนเรามา "หลง" อยู่ตรง "หนัง" นี่เอง
ปัญญาเพ่งพินิจต่อไปอีกจนเห็นความเน่าเปื่อยแล้วก็สลายกาย เป็นกองเนื้อเน่า ๆ และกองกระดูกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรตั้งอยู่ทรงสภาพเดิมไว้ได้อีก ไม่มีส่วนไหนจะคงอยู่ได้เลย
ปัญญาเพ่งต่อไปถึง มูตร (ปัสสาวะ) และ กรีษ (อุจจาระ) ของหญิงงาม ปัญญาก็ตั้งคำถามอีกว่า ที่หญิงงาม น่ารัก น่าพิศวาสนั้น มูตรกับกรีษงามด้วยหรือเปล่า กินได้ไหม เอามาตระกองกอดได้ไหม "จิต" ตอบว่า "ไม่ได้"
ปัญญาก็ตั้งคำถามอีกว่า เมื่อกินไม่ได้ เอามาตระกองกอดไม่ได้ แล้วอันไหนล่ะที่ว่างาม อันไหนที่ว่าดี
จิตโดนปัญญาซักฟอกอย่างหนักเช่นนั้นก็ตอบไม่ได้ หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ จิตมันก็อ่อนลงเพราะจนด้วยเหตุผลของปัญญา ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ยอมสารภาพผิดแต่โดยดี
จิตซึ่งเคยโลดแล่นแส่ส่ายออกไปตามวิสัยความอยากของมันก็พลันถึงความสงบ ไม่กำเริบร้อนเร่าอีก
หลวงปู่แหวนยังไม่วางใจจิตนัก ท่านจึงทดสอบโดยส่งจิตไปหาหญิงงามบ้านนาสอง ริมฝั่งแม่น้ำงึมหลายครั้ง แต่จิตก็ไม่ยอมโลดแล่นไปอีก จิตคงทรงอยู่ในความสงบเพราะได้เห็นความเป็นจริงของธรรมแล้ว
การอดอาหาร และทำความเพียรอย่างยิ่งยวด เพื่อเอาชนะกิเลสมารของหลวงปู่แหวนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ จิตของท่านรู้แจ้งเห็นจริงในภัยของมาตุคาม อย่างทะลุปรุโปร่งและสิ้นพยศตั้งแต่นั้น...ตลอดไป
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
..บัณฑิตนักปราชญ์ ท่านเอาสติมาคุมจิต ให้จิตอยู่ที่จิต อยู่นิ่งเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะปัญญาจะได้เพิ่มมากขึ้น ความรู้เท่าก็มากตามเท่านั้น
ผู้มีปัญญา จิตไปกระทบสิ่งใด ๆ แล้วท่านไม่เป็นทุกข์ ไม่เดือดร้อน ไม่หวั่นไหว ไม่ดิ้นรน ท่านคิดค้นรู้เหตุผลแล้ว ก็ปล่อยวางไว้หมดเพราะจิตท่านเป็นกลางได้แล้ว..”
----------------------------
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
"..กรรมนี้ทำได้ ๓ ทาง
ด้วยกัน ดี ชั่ว ไม่ดีไม่ชั่ว
กรรมดีเรียกว่ากุศล
กุสลาธัมมา กรรมชั่ว
เรียกว่าอกุศล อกุสลา
ธัมมา กรรมไม่ดีไม่ชั่ว
เรียกว่า อัพยากฤต
อัพยากตาธัมมา
กุศลเกิดจากความไม่โลภ
ไม่โกรธ ไม่หลง เมื่อ
ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ก็รักที่จะทำบุญให้ทาน
รักษาศีล ฟังเทศน์
ฟังธรรม เป็นกุศล
อกุศลเกิดจากความโลภ
ความโกรธ ความหลง
เมื่อมีความโลภ ความ
โกรธ ความหลง ก็จะทำ
ในสิ่งที่ไม่ดี เช่นฆ่าสัตว์
ตัดชีวิต ลักทรัพย์
ประพฤติผิดประเวณี
พูดปดมดเท็จ
เสพสุรายาเมา
เมื่อทำกรรมไปแล้วก็มี
ผลตามมา เรียกว่า วิบาก
ทำกรรมไปแล้วก็ต้องมี
ผลตามมา เพราะกรรม
เป็นเหตุ วิบากเป็นผล
เมื่อทำอะไรไปแล้วย่อม
มีผลตามมา ในอันดับแรก
ก็คือความรู้สึกในจิตใจ
คือความสุขและความ
ทุกข์ ถ้าทำความดีจิตใจ
ก็จะมีความสุข ถ้าทำ
ความชั่วทำบาป จิตใจก็
จะมีความทุกข์ มีความไม่
สบายใจ อันนี้เป็นผล
ที่เกิดขึ้นในจิตใจทันที.."
โอวาทธรรม
พระอาจารย์สุชาติ
อภิชาโต
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.