นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 30 ม.ค. 2025 1:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จงเชื่อมั่นในความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 18 มี.ค. 2022 7:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4817
…อุบายของการทำใจให้สงบ
ก็มีหลายวิธี ..สวดมนต์ไปก็ได้
บริกรรมพุทโธๆไปก็ได้

.” ใจจะคิดได้ทีละอย่าง “
ถ้าบังคับให้คิดเรื่องนี้
ก็จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้
ถ้าสวดมนต์ไปเรื่อยๆ
จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้
ก็จะสงบได้

.เพราะการสวดมนต์
จะทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
สวดมนต์ไป หรือ บริกรรมพุทโธไป
“ ไม่เช่นนั้นก็..บังคับใจให้อยู่ในปัจจุบัน “

.อย่าให้ไปอดีต ไปอนาคต
ไปที่โน่น ไปที่นั่น
“ ให้อยู่ในปัจจุบัน อยู่ที่ร่างกาย “
อยู่กับการทำงานของร่างกาย

.อย่าไปคิดเรื่อยเปื่อย
ถ้าหยุดความคิดได้แล้ว
เวลานั่งสมาธิ..” ก็จะสงบง่าย “.
………………………………………
.
กำลังใจ ๕๙ กัณฑ์ที่ ๔๔๘
๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







#หลวงพ่อเล็กบอกว่า "เรื่องของสมถะกับวิปัสสนา จริง ๆ เหมือนกับคนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวทีละขา ถ้าก้าวขาเดียวไปแล้วไม่ก้าวอีกขา พอไปถึงแล้วก็โดนกระตุกกลับเข้ามา

สมถะคือการสร้างกำลัง วิปัสสนาเป็นอาวุธ มีกำลังและอาวุธจะตัดจะฟันอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น..เราภาวนาจนอารมณ์มันทรงตัวเต็มที่ ถ้าสังเกตแล้วจะรู้ว่าพอเต็มที่มันจะถอยของมันมาเอง ตอนที่มันถอยนี่แหละ ถ้าเราไม่หาวิปัสสนาให้มันคิด มันจะฟุ้งซ่านไปในรัก โลภ โกรธ หลงเลย แล้วจะรัก โลภ โกรธ หลงได้ชัดเจนมาก จนกระทั่งเขาบอกว่าอยากรู้ว่ามีกิเลสเท่าไหร่ให้ไปทำกรรมฐาน

นั่นเรื่องจริง เพราะถ้าเราใช้ไม่เป็น ด้วยความที่จิตมันนิ่ง จิตมีกำลัง ในเมื่อมีกำลัง ถ้าเราไม่ใช้ในด้านดีก็เอากำลังไปใช้ในด้านชั่ว รัก โลภ โกรธ หลงจะเด่นชัดมาก ๆ เลย

คราวนี้พอสมาธิเริ่มถอย เราก็หางานให้มันทำ ก็คือ วิปัสสนาญาณเอาให้มันคิด ให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ จนยอมรับสภาพจริง ๆ ว่ามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันยังไม่ยอมต้องคิดใหม่

ตอนคิด เราจะคิดไปเรื่อย ๆ จิตมันจะดิ่งลึกไปเรื่อย จะเห็นชัดเจนไปเรื่อย จะกลายเป็นภาวนาอีกรอบหนึ่ง พอมันเข้าไปในการภาวนามันจะเป็นสมถะ เราก็ว่าสมถะไป ก็แปลว่าเมื่อกี้เป็นสมถะหนึ่งก้าว แล้วเรามาวิปัสสนาหนึ่งก้าว พอมันสุดแล้วมันเป็นสมถะอีกก้าวหนึ่ง ก็เลยเป็นภาวนาสลับพิจารณาไปเรื่อย

ไม่ใช่ไปเริ่มต้นใหม่นะ เราทำอย่างนั้นมันจะเข้าหาสมาธิของมันเอง เพียงแต่ว่าการพิจารณาจะดิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ทำอันใดอันหนึ่งไม่พอ

สมถะอย่างเดียวมีกำลัง แต่ถ้าหากเผลอหลุดเมื่อไหร่กิเลสก็งอกงามใหม่ วิปัสสนาอย่างเดียวมันเป็นอาวุธก็จริง แต่ถ้ากำลังไม่พอมันก็ตัดอะไรไม่ได้ ต้องทำสองอย่างสลับกัน มันผูกขาติดอยู่ ทิ้งกันไม่ได้หรอก ถ้าทิ้งแล้วไปเอาอันเดียว มันหลุดได้ เพราะว่าเราต้องใช้สมาธิ ใช้ฌานสมาบัติกดรัก โลภ โกรธ หลงให้กิเลสกระดิกไม่ได้ ทับหญ้า ทับนาน ๆ หญ้ามันตาย แต่อย่าให้หลุดนะ ถ้าหลุดนี่มันงอกงามกว่าเดิมปกติหลายเท่าเลย

เรื่องของวิปัสสนาก็เหมือนกัน ถ้าหากเราคิดไป ๆ ก็จะเป็นสมาธิได้ แต่ว่าสมาธิในวิปัสสนากำลังจะน้อย กว่าจะตัดกิเลสได้ต้องสั่งสมไปเรื่อย ที่เขาบอกว่าให้ใช้สมาธิจดจ่อต่อเนื่อง จดจ่อต่อเนื่อง มันจะภาวนาไปเรื่อยตามที่เขาบอก ก็คือขาดไม่ได้ ถ้าทิ้งช่วงเมื่อไหร่ก็เจ๊งเลย

เราจะเห็นว่าต่อให้เป็นอาจารย์ที่มาสอนและสอบอารมณ์กับเราก็ตาม เผลอเมื่อไหร่ก็ไหลตามเรา ตอนสอบอารมณ์พอเขาหลุดจากสมาธิ ก็ไหลตามเราเหมือนกัน"

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒
หลวงพ่อเล็ก








#หลวงตาแนะอุบายเครื่องแก้ทุกข์ให้พ้นได้ในปัจจุบัน

ฉบับที่ ๔
​วัดป่าบ้านตาด อุดรฯ
​ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๙๙

การปฏิบัติธรรมทางจิต โปรดได้ค้นคิดในขันธ์ให้มาก

เรื่องมัคคสมังคี หรืออริยมรรคที่กล่าวถึงในฉบับก่อนนั้น เป็นผลของงานซึ่งตัดกิเลสขาดไปเป็นตอน ๆ ขอยกไว้ จะกล่าวถึงเรื่องงาน คือการดำเนินปฏิปทา ซึ่งเราควรหยิบยกมาปฏิบัติให้พอดีแก่นิสัยวาสนาของเรา

นิสัยของคุณไม่ใช่นิสัยที่จะอยู่นิ่ง ๆ โดยอาการบังคับจิตไม่ให้คิดนึก ที่ถูกควรค้นคว้าพิจารณาในขันธ์ภายนอกภายในด้วยปัญญาอยู่เสมอ แต่ระวังความหมายรู้ล่วงหน้าไปก่อน จะเป็นการมักง่ายเกินไป จะเสียทางปัญญา

เรื่องอารมณ์อดีตอนาคต ไม่ควรโน้มน้าวมาสู่ใจที่บริสุทธิ์อยู่ในปัจจุบัน จะทำจิตซึ่งตั้งอยู่ในปัจจุบันอันบริสุทธิ์ให้ขุ่นมัว อดีตอนาคตไม่ใช่ตัวกิเลสและบาปธรรม ไม่ใช่ตัวนรก สวรรค์ และนิพพาน ดวงจิตที่รู้อยู่ในปัจจุบันนี้เองจะเป็นดีเป็นชั่ว ในเมื่อเราปล่อยไปคว้าอารมณ์ทำให้เป็นอดีตอนาคตขึ้น ตัวปัจจุบันเลยหลงหลัก

ที่ถูกแท้ จิตซึ่งรู้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้ไปทำเสียหายชั่วร้ายอะไร มีแต่การชำระตนอยู่ด้วยปัญญา แม้ว่าท่านพระอริยเจ้า ในคราวท่านหลงท่านก็ทำบาป แต่เมื่อรู้ตัวแล้วท่านพยายามละโดยปัจจุบัน ก็หลุดพ้นได้อย่างทันตา

ภพก่อนเราจะเคยทำดีทำชั่ว แต่เราจำไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน ตกลงคนเราร้อนก็เพราะสัญญาความจำของตนเอง หากว่าขณะใดเราลืมมิได้เอาใจใส่ที่เราเคยเดือดร้อน ขณะนั้นเราก็สบายเป็นธรรมดาของจิตไปเสีย

ที่เล่ามานี้คือโทษของอดีตที่เราไม่สำรวม แล้วปล่อยให้คิดตามอำเภอใจ

ดังนั้นความผิดหรือถูกมีทุกคน แต่เวลานี้เราไม่ทำและไม่ตั้งใจจะสั่งสมเก็บเอาไว้ เราตั้งใจจะบำเพ็ญ หรือสั่งสมเก็บเอาไว้เฉพาะธรรมที่เป็นปัจจุบัน อันสัมปยุตด้วยปัญญาเครื่องแก้ไขกิเลสและบาปธรรม อันเป็นทางพ้นทุกข์เท่านั้น

ดังนั้นสิ่งใดที่เกิดขึ้นในจิตซึ่งเป็นฝ่ายนิวรณ์ เราพึงทราบด้วยปัญญาทันทีว่า สิ่งนั้นคือมายาของจิตเอง ไม่ใช่บาปกรรมมาจากอื่นที่ไหนเลย การอบรมจิตจึงต้องรู้มายาของจิต ไม่อย่างนั้นจะหลงกลมายาของจิต หาความบริสุทธิ์ไม่ได้เลย

เมื่อเรารู้มายาของจิตที่หลอกลวงเราทุกอย่างด้วยปัญญาแล้ว จิตจะไปหามายามาจากไหนอีก เหมือนเรารู้กลอุบายของคนที่จะมาหลอกลวงเรา เราไม่เชื่อเขาแล้ว เขาจะต้มเราได้ที่ไหน

อันนี้ก็ฉันนั้น เมื่อกำลังสติปัญญารู้ทันความปรุงความคิดหรือความหมายอยู่แล้ว อาการเหล่านี้ก็ค่อยหมดมายาไปเอง จิตเมื่อได้สติกับปัญญาเป็นพี่เลี้ยง คอยสอดส่องความชั่วร้ายหมายโทษมิให้เกิดขึ้นได้ จิตก็จะนับวันผ่องใสบริสุทธิ์ไปเอง

นี่แหละคุณทั้งสอง อุบายเครื่องแก้ทุกข์ให้พ้นได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องไปคำนึงคำนวณถึงอำนาจวาสนาที่ไหน การชำระใจให้บริสุทธิ์อยู่ทุกเมื่อด้วยสติปัญญามิได้ขาดวันขาดคืน ห้วงน้ำในมหาสมุทรก็นับวันจะตื้นขึ้นทุกที ความดีนับวันมากล้น ก็พ้นได้ตามใจหวัง

เอวํ โปรดได้พิจารณาด้วยปัญญา
ขอให้พากันสนใจ สมบัติใหญ่ได้แล้วกินไม่รู้จักหมดสิ้น แม้แผ่นดินหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์จะหมดไป สมบัติใหญ่เรายังคงที่ไม่แปรผัน เป็นของอัศจรรย์เหลือโลก โชคเรามีจึงได้เกิดมาพบศาสนา มีศรัทธาได้หว่านพืชอย่าให้จืดจาง

#จงพยายามปล่อยวางด้วยปัญญา

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






...เราไม่ควรลืมตัว
เราเป็นลูกของพ่อของแม่
อย่าด่า อย่าเถียง อย่าต่อขานพ่อแม่

อะไรที่ขัดต่อเหตุผล
ถ้าพูดหากท่านไม่ฟัง
ท่านถือว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่
เราไม่พูดเสียดีกว่า
หน้าที่อะไรที่เราทำ ก็ทำไปเสีย

การถกเถียงพ่อแม่ มันเป็นนิสัยไม่ดี
เรายกให้พ่อแม่เลย เราอย่าไปแตะ
อย่าไปยุ่ง อย่าไปแย่งชิงเอา

แล้วเกิดทะเลาะ เรานี่แหละเป็นคนเสีย
ไปถกไปเถียงท่าน ท่านเลี้ยงเรามา
เลี้ยงอะไรยากยิ่งกว่าเลี้ยงคน...

- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






"บุญ บาป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน
ใครทำบาป บาปย่อมให้ผล
ใครทำบุญกุศล บุญกุศลย่อมตามให้ผล
แต่ว่าบางอย่างบางประการนั้น
ไม่ทันกับใจกิเลสมนุษย์
ก็เลยเข้าใจว่า ทำบุญก็ไม่เห็นผล
แต่ว่าบาปนั้น ไม่ทำก็เห็นผล"

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร






“จงเชื่อมั่นในความดี คนทำบุญ
ไม่จำเป็นต้องไปประกาศให้ใครรู้
ถ้าจิตของเราเป็นบุญแล้ว
ทำบุญอยู่ที่ไหน มันจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ
ไม่ต้องฉลอง ไม่ต้องให้ใครรู้
ไม่ต้องให้คนเห็น ไม่ต้องมีอะไร
มีแต่กำลังจิตที่เชื่อมั่นในความดี”

หลวงปู่ชา สุภัทโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO