…มักน้อย..ก็คือเอาเท่าที่จำเป็น ไม่ต้องการมากไปกว่าความจำเป็น ถ้าไม่ได้ตามเท่าที่จำเป็น ก็เอาเท่าที่ได้
.คือยินดีตามมีตามเกิด เรียกว่า..สันโดษ ถ้าได้น้อยกว่าความจำเป็น ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย
.ให้คิดอย่างนี้ ถ้าไม่ได้เลยก็แล้วไป ถ้าจะต้องตายไป ก็ตายด้วยการฆ่ากิเลสความมักมาก จะไม่ขาดทุน
.เพราะความทุกข์ภายในใจ จะมีน้อยลงไป แต่ถ้าตายด้วยความโลภมาก อยากได้มาก ..” จะตายแบบขาดทุน “ เพราะจะมีความทุกข์ เพิ่มมากขึ้น. …………………………………………… . พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน ๒๗ มกราคม ๒๕๕๖
"…เหมือนว่า ของอยู่ข้างหน้านี่ แล้วเราเอาไปไว้ข้างหลัง แล้วบอกว่าไม่มีแล้ว ที่แท้มันก็อยู่ข้างหลังเรา ทุกข์..ทุกข์ที่แท้เราไม่ได้ละซะหน่อย เราหลงว่าเราละ หลงว่าเราปล่อย ที่แท้ไม่ได้ปล่อยหรอก เวทนา..พระอรหันต์ยังปล่อยไม่ได้เลย แต่ท่านรู้ชัดเห็นชัดว่า เวทนาก็เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ไม่ใช่เรา ไอ้เราไปตั้งใจละ ก็เลยไม่รู้ว่า ไม่ใช่เราสิ มันรู้ก็รู้ไม่ชัด..."
หลวงปู่เจือ สุภโร (ศิษย์อาวุโสองค์ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
หลวงปู่บอกว่า.. จำไว้คนจะมีเต็มล้านในโลก นั่นเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง ความจริงคือ เราต้องทำจิตให้เป็นเอกัคตารมณ์ ให้จิตเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ จากนั้นให้เราค้นลงที่กายนี้ ที่จิตนี้ว่ามันมีอะไร เป็นอย่างไร เมื่อรู้ตน เห็นตน ก็จะรู้ผู้อื่น เห็นผู้อื่น
#หลวงปู่พุทธา #วัดป่าหนองยาว
#ธาตุรู้ #ซึ่งให้นามว่า #จิต
นี้ทรงไว้ซึ่งความรู้ คือหลับก็รู้ หลับสนิทก็รู้ ตื่นก็รู้ และฝันเรื่องอะไรก็รู้ กระทบอารมณ์ซึ่งจะเป็นเหตุให้ดีใจเสียใจก็รู้ รับรู้ไว้หมดไม่ลำเอียง กิริยาที่ลำเอียงเป็นธาตุแทรก หรือความรู้ที่แทรก
ความรู้สึกเดิมนี้ถ้าเปรียบเทียบ เหมือนเหล็กหรือเงินทองทั้งดุ้น ซึ่งยังไม่ได้ถลุง หรือเจียระไนให้เป็นของควรแก่เครื่องประดับที่จะพึงซื้อขาย หรือใช้ประโยชน์ได้ตามความนิยม จะยังใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่ เพราะยังไม่ได้รับการอบรมให้ควรแก่เหตุ เหมือนทารกซึ่งยังไม่รู้เดียงสา แม้จะถูกน้ำร้อนหรือไฟไหม้ ก็จะรู้สึกแต่ความเจ็บปวดเป็นทุกข์เท่านั้น ไม่รู้วิธีที่จะหาทางออกจากอันตรายให้พ้นภัยไปได้
ความรู้เดิมนี้เป็นธรรมชาติที่ไม่รู้จักดับ แต่สิ่งแวดล้อมที่เรียกว่ากิเลสยังมีอยู่ตราบใด ก็เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวไปตามกระแสของ วัฏฏะ ตราบนั้น
หมุนไปเวียนมา ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น ซึ่งให้นามว่า เกิด ตาย จะเป็นกำเนิดหรือฐานะต่ำต้อยเลวทรามอย่างไร ก็ไม่อาจจะพึงเลือกได้ สิ่งแวดล้อมที่มีกำลังเหนือกว่าจะขับไล่ไสส่งไปไหนก็ต้องไปทั้งนั้น เหมือนทารกปราศจากพี่เลี้ยงย่อมเป็นไปตามยถากรรม จะตกน้ำเข้าไฟ ตกเหวตกบ่อแล้วแต่ขาพาไป ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ฉะนั้น
เมื่อกายแตก จิตออกจากร่างไปถือปฏิสนธิก่อรูปร่างขึ้นใหม่ สวยงามบ้างไม่สวยงามบ้าง กำเนิดสูงบ้างต่ำบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาอินทร์พรหมบ้าง เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เป็นต้น ทั้งนี้แล้วแต่จะคว้าถูกมือ เหมือนคนตกน้ำคว้าหาที่พึ่งเพราะกลัวความตายฉะนั้น
แม้ขณะที่จะเข้าสู่ปฏิสนธิในกำเนิดต่าง ๆ ก็หารู้ไม่ว่าเป็นกำเนิดประเภทใด ถ้าเป็นกำเนิดมนุษย์ ก็ต้องรู้ภาวะเดียงสาแล้ว กาลใดจึงจะรู้ว่าตนเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลนั้น ๆ
ถ้าเป็นสัตว์ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร เมื่อปรากฏเป็นตัวผลขึ้นมาแล้ว จะแก้ไขก็ไม่ได้ เป็นของเหลือวิสัยเพราะสายไปเสียแล้ว แม้จะสูงหรือต่ำโดยกำเนิด โดยชาติหรือตระกูล ก็จำเป็นให้ยินดีในภพชาติและตระกูลของตน
จะมีจะจน จะสุขจะทุกข์ก็แล้วแต่กรรมพาให้นิยม ตลอดอาหารในภพนั้น ๆ ก็พึงยินดีและบริโภคตามฐานะแห่งกำเนิดของตน ๆ
ต่างกำเนิดต่างก็ยินดีในกรรมและวิบากแห่งกรรมของตนเอง ซึ่งพอที่จะอำนวยชีวิตให้เป็นไปในภพนั้น ๆ
เนื่องจากจิตที่ไม่รู้จักเกิดตายเป็นตัวเหตุให้ สังสารจักร หมุนไม่หยุด จึงเป็นเหตุให้มนุษย์และสัตว์ได้รับความลำบากทั่วหน้ากัน
ในเมื่อไม่รู้จักวิธีแก้ไขที่พอเหมาะพอดีแก่การหักห้าม วัฏจักร ให้หยุดในการท่องเที่ยวหมุนเวียน ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติอันนี้จะเป็นเจ้าโลกเจ้าธรรมอยู่นั่นเอง แต่ก็ยังฟุบตัวลงเป็นเขียงเท้าของสิ่งแวดล้อมอย่างโงหัวขึ้นไม่ได้
เหตุทั้งนี้ก็เพราะปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรมเกินไป เมื่อใจได้รับความยับยั้งหรืออบรมด้วยธรรม ซึ่งเป็นสวากขาตธรรมแล้ว จิตจะเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้ แต่สิ่งอื่นที่จะสามารถบังคับยับยั้งจิตไม่มี นอกจากจิตจะยับยั้งตนเองด้วยธรรม
#ธรรมคู่แข่งขัน1 #หลวงตามหาบัว
"อย่าพากันไว้ใจในชีวิตตน ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน วันนี้เรามีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ วันหลังมา ชีวิตจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ เราไม่อาจรู้ได้
วันนี้พวกเราทั้งหลาย เชื่อหรือว่า ชีวิตจะคงอยู่ตลอดวัน เพราะความตาย เป็นของไม่มีกาลเวลา มันจะตายเวลาไหนก็ไม่รู้ เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่จะเป็นไป
เมื่อเรามีชีวิตอยู่ อย่าพากันประมาท จงพากันบำเพ็ญความดี ให้เกิดให้มีขึ้น ในดวงจิตของเราเสียแต่บัดนี้ เมื่อตายแล้ว เราจะทำอะไรได้เล่า มีแต่รับผลบุญผลบาป ที่ตัวเองสร้างไว้เท่านั้น"
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
|