Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

อารมณ์ทั้งหลาย

จันทร์ 28 มี.ค. 2022 6:55 am

#กรรม_เหมือนเมล็ดพืชที่ถูกหว่านลงในดิน
" ... เมื่อเราได้คิดได้พูดได้ทำอะไรลงไปแล้ว มันก็เริ่ม
ก่อผลเป็นวิบากขึ้นในจิต ซึ่งเป็นประจุกรรม เหมือนข้อมูล
ที่ถูกป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เราจะไปลบ ไปล้าง
ไปเปลี่ยน ไปแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว ได้อยู่อย่างเดียว
คือ คอยจนกว่ามันจะงอกออกมา และผลิดอกออกผลให้เราเก็บเกี่ยว

... ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนว่า สิ่งที่ทำลงไปแล้ว อย่าย้อนคิดเสียดาย
อย่าเก็บมากังวลครุ่นคิด แต่ก่อนจะกระทำสิ่งใด ให้ไตร่ตรอง
จนรอบครอบเสียก่อน ด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุผลก่อน
จะทำเรามีโอกาสเต็มที่ว่า จะทำอย่างไร เพื่อที่จะไม่ย้อนคิดเสียใจ
เสียกำลัง เสียเวลาที่จะล้มล้าง สิ่งที่เอาคืนมาอีกไม่ได้แล้ว ... "

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน
#วัดป่าบ้านตาด_จังหวัดอุดรธานี






" ขอให้พากันตั้งหน้า
ตั้งตาพินิจพิจารณา
ศึกษา ประพฤติปฏิบัติ

วัน คืน เดือน ปี มันก็มี
แค่นี้แหละวานนี้ผ่านไป
วันนี้ก็หมดไป พรุ่งนี้
ก็จะมีมาใหม่ ก็ของเก่า
ถ้าเราไม่ตั้งหน้าตั้งตา
ประพฤติปฏิบัติรักษา
มันจะได้คุณงาม
ความดีมาจากที่ไหน

วันคืนมันมีหน้าที่
ของมัน ผ่านไป ชีวิต
ของเราก็ความแก่เฒ่า
มันก็ผ่านไปอยู่อย่าง
นั้น ถึงวันจบสิ้นของมัน
มันก็จบสิ้นไป มันจะมี
อะไรซึ่งเป็นคุณค่า
ของดีวิเศษ ถ้าหาก
เราไม่กระทำ บำเพ็ญ
ให้เห็น ให้เป็น ให้เย็น
ให้สงบ

ให้รีบสอนตัว ปลุกตัว
ให้ตื่น กระทำบำเพ็ญ
อย่างเอาจริงเอาจัง
อย่าไปทำเล่น "

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สิงห์ทอง
ธมฺมวโร





"ถ้าเรารู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา
ดูให้ดีเถอะว่า ได้ไปยึดอะไรเข้าให้แล้ว"

ท่านพุทธทาสภิกขุ





#รวมธรรมะ
#หลวงพ่อสุธรรม #สุธัมโม

เมื่อเราเป็นผู้ปรารถนาธรรม
เราจะมาห่วงหาอาลัยอาวรณ์กับอะไร

ไม่ว่าจะผู้คน ไม่ว่าจะทรัพย์สิน อะไรต่ออะไรทุกสิ่งทุกอย่าง

ปล่อย มันไว้ข้างหลังให้หมด เหลือแต่เดินหน้าอย่างเดียว
อย่าหันหลัง

เรื่องหลังเป็น เรื่องอดีต แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ
ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นให้หันหลังให้

——————-

หลวงตา ท่านว่า ถ้ากิเลสหนักมาเราต้องหนักไป

เพราะฉะนั้นคำว่า มัชฌิมาปฏิปทาของท่าน ไม่ใช่ว่าทำพอกลาง ๆ ไม่ลำบากมาก ไม่สบายมาก

ท่านว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือความเหมาะควรต่อกิเลส

อะไรก็ตามที่มันปราบกิเลสลงไป นั่นแหละมัชฌิมาปฏิปทา มันจะหนักขนาดไหน ก็เท่ากับที่เอากิเลสลงนั่นแหละ

———-

“การภาวนาที่ถูกต้องก็คือ เมื่อเวลาที่เราจับเอา พุทโธ หรือ อานาปานสติ หรือ เอาอะไรมาเป็นอารมณ์ของจิต จิตต้องอยู่กับอันนั้นเป็นอารมณ์ แต่ถ้าจิตเผลอหลุดออกไปเกาะเกี่ยวกับความคิดในอดีตหรืออนาคต เมื่อเรามีสติรู้ตัวขึ้นมา เราต้องวางเฉยในเรื่องราวอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น โดยไม่ไปให้ความหมายหรือสนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปยินดียินร้ายหรือสนใจใส่ใจ ไม่ต้องไปต่อต้านอะไรทั้งนั้น ความนึกคิดปรุงแต่งมันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ถ้าเราไม่ไปให้ความหมายในทางยินดีหรือยินร้าย มันมีก็เหมือนไม่มีอยู่ในความรู้สึกของเรา มันก็จะไม่มีอะไรเลย มันก็แค่ยุกยิกไปตามเรื่องตามราวของมัน มันจะไม่มีความหมายอยู่ในจิตของเราเลย

แต่ถ้าเราไปต่อต้านไปให้ความหมายมัน มันก็เลยเป็นความฟุ้งซ่าน พอมีความฟุ้งซ่านเข้ามาครอบงำ มันก็เลยกลายเป็นความหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะเราไปตั้งจิตไว้ในทางที่ผิด เราไปให้ความหมายในความต้องการหรือไม่ต้องการของอารมณ์เรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของจิต เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มันจะต้องมีอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าจิตไม่ไปใส่ใจ มันก็ไม่อยู่ในความรู้สึกของจิต แต่ถ้าเราไปใส่ใจ มันจะเผารนเข้ามาภายในจิตในใจ ทำให้การภาวนาแทนที่จะมีความสุข กลับมีแต่ความเร่าร้อน

ขณะที่เรานั่งภาวนาหรือเดินจงกรม แล้วมีความรู้สึกเร่าร้อนทุรนทุรายเข้ามาในจิต ให้รู้ไว้ว่านี่เราตั้งจิตไว้ในทางที่ผิดแล้ว เราเผลอเดินไปตามร่องรอยของกิเลสแล้ว ไม่ใช่เดินไปตามร่องรอยของธรรม แล้วเราต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับความหงุดหงิดรำคาญใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้รีบกลับเข้ามาอยู่ที่คำบริกรรมพุทโธต่อไป

_________

“สิ่งที่ผ่านไปแล้วนั้น มันหมดไปแล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ ถูกหรือผิด มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราไม่ต้องไปคำนึงถึงมัน แต่เราจะคำนึงถึงปัจจุบัน ขณะนี้ ก็เมื่อที่ผ่านมาก็เป็นคติเตือนตัวเราเองแล้ว เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ เราก็จะปรับปรุงตัวเราเองให้ถูกต้อง เพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ที่จะเข้ามาถึงชีวิตของพวกเรา เพราะอนาคตวันต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไป มันก็มาจากปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้ พวกเราได้คติจากอดีตมาแล้ว ว่าอะไรที่มันผิด มันนำความทุกข์มาสู่เรา สิ่งที่ถูกนำความสุขมาสู่เรา สิ่งที่ดีนำความสุขมาสู่เรา สิ่งผิดนำมาซึ่งความทุกข์แก่เรา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือผิด ก็เหมือนกับขี้ฝุ่นเลอะเปรอะเปื้อนอยู่ที่หน้าตาของเรานั่นแหละ เราก็ไม่รู้ เราก็ไม่เห็น เราก็ต้องมีกระจกมาส่องดู มาตรวจดู พอเรามีกระจกมาส่องดูมาตรวจดู เราก็เห็นหน้าตาเรามีอะไรเลอะเทอะเราก็เช็ดได้

การกระทำของเราเหมือนกัน เราก็เอาหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศสอนโลกไว้ มาเป็นกระจกส่องดูพฤติกรรมของตัวเราเอง ดูการกระทำของตัวเราเอง ศีลธรรมนั่นแหละเป็นกระจกที่ประเสริฐที่สุดและใสที่สุดแล้ว ส่องมองเห็นหมด ถ้าเอาศีลธรรมเข้ามาเป็นกระจกมาเทียบเคียงดูว่า การกระทำของเรานี่มันถูกต้องตามหลักศีลธรรมหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรม ล้วนแต่นำมาซึ่งโทษภัยต่อตัวเราเอง และยังต่อบุคคลผู้ใกล้ชิดของเรา ต่อบุคคลทั่วไปอีก ถ้าเราสร้างความชั่ว เราเป็นทุกข์ล้มเหลวจากการดำเนินชีวิตแล้ว มันไม่ใช่เราทุกข์คนเดียว ครอบครัวเราก็จะทุกข์ไปด้วย เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเตือนตัวเราเอง อะไรที่ผิด ถ้าเราเอาศีลธรรมเข้ามาเป็นกระจก เราก็รู้ว่าสิ่งนี้มันผิดนะ เราต้องคอยสังเกตดูจิตใจของเราให้ดี”

______________

“ในขณะที่จิตยังไม่สามารถทอดวางธุระได้ ยังไม่สามารถปลดเปลื้องให้หลุดไปจากการครอบงำของอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น จิตจะยังไม่วางเฉย แต่เมื่อปัญญาคุ้ยเขี่ยเข้าไป ๆ เหมือนเราจุดไฟเผาป่า ไฟที่มันติดแล้ว มันมีเชื้ออยู่ที่ไหนก็ตาม ไฟก็จะไม่หยุด มันจะเผาไปเรื่อย ตามเชื้อไป จนเชื้อหมดสิ้นแล้ว ไฟนั้นจะดับลง เพราะไม่จำเป็นแล้ว

ปัญญาก็เช่นกัน ปัญญาที่คุ้ยเขี่ยพิจารณาเข้าไป ถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นอัตตาตัวตน ยังมีสิ่งใดที่ปิดบังความจริงไม่ให้จิตนี้เข้าไปเห็น เข้าไปรู้ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นต้น ปัญญาจะคุ้ยเขี่ยเข้าไปว่าสภาพความจริงของมันเป็นอย่างไร ซึ่งมันแสดงความจริงอยู่ตลอดเวลา ปัญญาจะเจาะเข้าไปให้เห็นสภาพความจริงแท้จนทะลุปรุโปร่ง ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถปิดบังปัญญาได้ เมื่อความจริงทุกสิ่งทุกอย่างเปิดเผยแล้ว สิ่งที่เคยแบกหาม สิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นแต่ไรมา ล้วนแต่วางลงไป เหลือแต่ความจริงล้วน ๆ เมื่อเหลือแต่ความจริงล้วน ๆ จะมีสิ่งใดปีนเกลียวกันเล่า ที่ทุกข์กันมากี่ภพชาติ ก็ล้วนแต่เรื่องปีนเกลียวกันทั้งนั้น

เมื่อจิตถอดถอนจากอุปาทานทั้งหลาย จิตก็เป็นอิสระขึ้นมา อยู่กับสิ่งทั้งหลายก็อยู่เถอะ อยู่กับโลกนี้ก็อยู่เถอะ จะไม่มีสิ่งใดปีนเกลียวกับจิตดวงนี้อีกต่อไป ดังที่พระพุทธเจ้าและอรหันตสาวก แม้จะอยู่อีกยาวนานขนาดไหน ก็ไม่มีสิ่งใดปีนเกลียวกับท่านเลย แม้ธาตุขันธ์ร่างกายของท่านจะไม่แตกต่างจากพวกเราก็ตาม มีหนาว มีร้อน มีหิว มีกระหาย มีปวดหัวตัวร้อน มันก็เป็นสมมติอย่างหนึ่ง แต่ไม่มีสิ่งใดจะล่วงล้ำเข้าไปสู่จิตของท่านอีกต่อไป อยู่ที่ไหนก็สุขหนอ นี่แหละ การแสวงหาความสุขที่แท้จริง ต้องแสวงหาที่จิตนี้ โดยอาศัยภายนอกมาเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างสุขภายในของพวกเรา”

หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม
ตอบกระทู้