นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 18 ม.ค. 2025 9:26 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญเป็นที่พึ่ง
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 01 เม.ย. 2022 5:08 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4806
"เหตุที่จำแนกไปอยู่สวรรค์ชั้นต่าง ๆ เมื่อตายจากความเป็นคน"

#ภุมเทวดา

ถ้าการทำบุญของบุคคลทำบุญแล้วไม่เต็มใจนัก เขาใส่บาตรเราก็ใส่บาตร เขาไหว้พระเราก็ไหว้พระ เขาฟังสวดมนต์เราก็ฟังสวดมนต์ สักแต่ว่าทำตามเขา คนประเภทนี้ตายจากความเป็นคนเป็นภุมเทวดา เป็นเทวดาที่มีวิมานอยู่แถวภาคพื้นดิน สูงกว่าดินอยู่หน่อย มีสภาพร่างกายเป็นทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นทิพย์เหมือนกัน

เป็นอันว่าเป็นเทวดาหางแถวก็ยังดีกว่าเป็นคนหัวแถว เพราะร่างกายทรงตัว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสมบูรณ์แบบ มีความปรารถนาอะไรก็ได้สิ่งนั้นสมดังความปรารถนาด้วยกำลังของบุญ แต่ว่าทุนน้อย ต้องเป็นเทวดาชั้นต่ำ แต่ก็อย่าลืมว่า เทวดาชั้นต่ำเวลานี้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอนาคามีก็มีเยอะ

#รุกขเทวดา

คนที่ทำบุญยิ่งไปกว่านั้น ตั้งใจรักษาศีลด้วยดี แต่ทว่าการรักษาศีลนี้ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์นัก เวลาว่างรักษาครบ แต่ว่าวันธรรมดาบางทีก็มีจิตผิดเพี้ยนไปบ้างจากศีล บางครั้งก็ทำให้ศีลมัวหมอง บางคราวศีลทะลุไปบ้างไม่ถึงขาด บางวันศีลก็แจ่มใส

คนประเภทนี้ไซร้ตายจากความเป็นคนก็กลายเป็นรุกขเทวดา มีสภาพวิมานแปะ อยู่ข้างยอดไม้ มีความสวยสดงดงามดีกว่าภุมเทวดา แต่ว่าวิมานไม่สามารถลอยอยู่บนอากาศได้ ถ้าใครเขาโค่นต้นไม้ ต้นไม้พัง วิมานของเทวดาองค์นั้นก็พัง

แต่ถ้าเขานำต้นไม้นั้นไปปักเป็นเสาบ้านหรือปักไว้เมื่อใด ก็มีสิทธิ์ที่วิมานไปแปะใหม่ได้ เมื่อวิมานพังเทวดานี้ก็เดินดินไปหาที่อยู่ใหม่ ถ้าต้นไม้ต้นใดไม่ว่างจากวิมานของรุกขเทวดาองค์อื่นท่านก็ไม่มีสิทธิ์อาศัย ท่านก็มีความลำบาก แต่ว่าการลำบากก็เป็นการลำบากอย่างเทวดา ไม่ใช่เป็นการลำบากอย่างมนุษย์ ยังมีสภาพความเป็นทิพย์ มีความอิ่มเอมเปรมใจ มีความสุขทางกายและทางใจ เว้นไว้แต่ที่อาศัยนั้นไม่มี

#อากาสเทวดา

ต่อไปคนที่ทำบุญยิ่งไปกว่านี้คือผู้ทรงฌานสมาบัติตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 3 แต่ทว่าเป็นกำลังไม่เท่าฌานที่ 4 ท่านผู้นี้เวลาตายแล้วไปเกิดเป็นอากาสเทวดา

แต่ว่ากำลังใจของท่านเหล่านี้เป็นกุศล ท่านผู้นี้ตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นเทวดาเป็นอากาสเทวดาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่ถือว่าเป็นเทวดาที่เป็นทหารของพระอินทร์

#สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

คนที่จะเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ได้คือ

1. ถวายสังฆทาน อย่างที่ท่านพุทธบริษัททุกท่านไปถวายในชั้นนี้ จัดเป็นสังฆทาน

ประการที่ 2 สร้างวิหารทาน คือ สร้างที่อยู่ สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ สร้างศาลา สร้างโบสถ์ สร้างศาลาที่พักอาศัยระหว่างคนเดินทาง หรือสร้างส้วมก็เหมือนกัน สร้างสะพานข้ามลำน้ำ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

หรือมิฉะนั้น ก็ตั้งใจรักษาอุโบสถศีลดี มีศีลมีสมาธิพอสมควรจึงจะมีโอกาสเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ถ้าจะให้ทานแบบธรรมดา ให้ทานกับชาวบ้าน อันนี้ต้องให้ทานแบบตัดชีวิต เรามีน้อยแต่ยังสามารถแบ่งให้คนอื่นกินได้ทั้ง ๆ ที่ เราก็ด้อยกว่าคนอื่น อย่างนั้นทำเพียงครั้งเดียวก็สามารถที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้

ชั้นดาวดึงส์ นี้เป็นเมืองหลวงของเทวดาทั้ง 5 ชั้น เป็นที่รื่นรมย์ของเทวดา

#สวรรค์ชั้นยามา

และชั้นต่อไป ชั้นที่ 3 ที่เรียกว่า "ชั้นยามา" เทวดาชั้นนี้ขาวหมด ใสหมดเป็นแก้ว วิมานก็เป็นแก้วใส เครื่องประดับของเทวดาทั้งหมดก็เป็นแก้วใส ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะจิตของท่านใส เพราะว่าคนที่จะเกิดบนชั้นนี้ได้ คือ

1. ต้องเป็นนักสวดมนต์ ชอบสวดมนต์เป็นปกติ สวดมนต์วันละหลาย ๆ ครั้ง เวลาสวดมนต์ต้องตั้งใจจริง ถ้าวันไหนไม่ได้สวดมนต์ตรงตามเวลาใจไม่เป็นสุข ต้องสวดมนต์

ถ้าก่อนนอนไม่ได้สวดมนต์ก็นอนไม่หลับ เพราะจิตจับอยู่ที่มนต์ คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จัดเป็นอนุสสติ

หรือมิฉะนั้นท่านก็จะเจริญสมาธิ มีกำลังจิตไม่ถึงอุปจารสมาธิก็ดี ตายแล้วมาเป็นเทวดาชั้นนี้ ปฏิปทาของเทวดาชั้นนี้ก็มีอยู่ว่า เจริญกรรมฐานเป็นปกติ สวดมนต์เป็นปกติ

นี่บางคืนที่ท่านพุทธบริษัทเจริญสมาธิ ในตอนกลางคืนยามดึก ๆ พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ จะได้ยินเสียงสวดมนต์ลอยมาจากอากาศ เป็นเสียงจากเทวดาชั้นนี้

#สวรรค์ชั้นดุสิต

ชั้นดุสิตนี้เครื่องประดับกายหลากสี ไม่สม่ำเสมอกันนัก เพราะว่าเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มแล้วนี่ประการหนึ่ง

2. เป็นที่อยู่ของพระพุทธบิดา และพระพุทธมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ที่ยังไม่ได้ไปนิพพาน

3. คนที่จะมีสิทธิ์ไปเกิดบนชั้นนี้ได้ก็ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป นอกจากบุคคลทั้ง 3 เหล่านี้แล้วไม่มีสิทธิ์อยู่ในชั้นดุสิต

ฉะนั้น เทวดาชั้นดุสิตนี้ก็แปลว่า "ยิ้มแย้มแจ่มใส" มีกำลังใจมีแต่เป็นสุข ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความรื่นเริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโพธิสัตว์ ย่อมเป็นที่เคารพของพรหมและเทวดาทั้งหมด เวลาที่พระอินทร์ท่านจะแสดงธรรมกับบรรดาเทวดาทั้งหลายที่เทวสภา ถ้าหากพระโพธิสัตว์ว่างท่านจะอาราธนาพระโพธิสัตว์มาเทศน์

ถ้าพระโพธิสัตว์ชั้นดุสิตไม่ว่าง ก็จะดูว่าพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นพรหมมีไหม ถ้าพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นพรหมมีท่านก็จะเชิญมาเทศน์ แต่ก็อย่าลืมว่าพระโพธิสัตว์มีจำนวนนับเป็นโกฏิ ๆ หาเวลาว่างยากเหมือนกัน เพราะท่านสงเคราะห์ในที่ทุกสถาน

ถ้าคราวใดพระโพธิสัตว์ไม่ว่าง พระอินทร์ก็เทศน์เอง เพราะว่าพระอินทร์นั้นเดิมทีท่านเป็นพระโสดาบัน เวลานี้เป็นพระอนาคามีและพร้อมที่จะไปนิพพานได้ทันที ถ้าไม่ห่วงลูกไม่ห่วงหลาน ที่ท่านยับยั้งใจไว้เพราะว่ายังห่วงลูกห่วงหลาน ยังไม่ไปนิพพาน เพราะว่าเรื่องไปนิพพานของท่านเป็นของง่าย เพราะว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูง

#สวรรค์ชั้นนิมมานรดี

สำหรับเทวดาชั้นที่ 5 เรียกว่า "ชั้นนิมมานรดี" เทวดาชั้นนี้เมื่อสมัยที่เป็นมนุษย์ ในการทำสมถะหรือวิปัสสนาญาณ แล้วก็ได้อภิญญาห้า ไม่ใช่อภิญญาหก มีการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ เป็นต้น แต่ทว่ามีนิสัยซุกซน เวลาได้แล้วก็ไม่ได้อยู่เป็นสุข จิตไม่ได้จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ หลงนิยมในการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ เวลาตายไปไม่ได้เข้าฌานตาย ถ้าเข้าฌานตายก็ไปเกิดเป็นพรหม ในเมื่อไม่ได้เข้าฌานตายก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ มีหน้าที่เนรมิตของทุกอย่างให้กับเทวดาชั้นที่หก

#สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

สำหรับเทวดาชั้นที่ 6 มีชื่อเรียกว่า "ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี"

เทวดาชั้นนี้เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ทรงฌาน 4 ละเอียด บางท่านก็ได้อภิญญาสมาบัติ บางท่านก็ทรงฌาน 4 อย่างเป็นสุข แต่ทว่าฌานของท่านมีอารมณ์สงัด ไม่ซุกซนเหมือนเทวดาชั้นที่ 5 แต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย จึงไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

ก็เป็นอันว่าจะยับยั้งไว้แค่เทวดา 5 ชั้น แถมเป็น 2 ชั้น รวมรุกขเทวดาและภุมเทวดา รวมความว่าเทวดาทุกชั้นมีพระอริยเจ้าทั้งหมด

พระราชพรหมยาน, ธัมมวิโมกข์ (2552), 337, 38-53







คนที่มีนิสัยผูกโกรธเป็นคนน่าสมเพช น่าสงสาร พอมีใครพูดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา คนขี้ผูกโกรธก็อารมณ์ขึ้นทันที โอ! เขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ พอถามว่า เพราะอะไร รู้ได้ยังไง ก็ตอบว่า เมื่อกว่า ๓๐ ปีที่แล้ว ผมเคยโดนเขาทำอย่างนู้นอย่างนี้ เอาเรื่องเมื่อ ๓๐ ปี ๔๐ ปีที่แล้วมาพูดราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ นี่เป็นเพราะคิดบ่อยๆ มันจึงมีความต่อเนื่อง แต่สำหรับเรานี่ โอ้! เรื่องมันตั้ง ๒๐ - ๓๐ ปีที่แล้ว น่าจะปล่อยวางไปนานแล้ว เราเองก็เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว เขาเองก็คงเปลี่ยนเป็นคนละคนเหมือนกัน เพราะชีวิตมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำไมจึงเอาอดีตมาประณามเขาในปัจจุบัน มันไม่ยุติธรรม เราอาจจะรู้สึกอย่างนั้น แต่สำหรับคนผูกโกรธ เขาคิดต่อเนื่องทุกวันๆ เพราะฉะนั้น ในความรู้สึกของเขา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ มันก็เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ความผูกโกรธเป็นความเศร้าหมองโดยแท้ เป็นกิเลสหนึ่งในอุปกิเลส ๑๖ เป็นสิ่งที่หากใครยังมีอยู่ ต้องพยายามชำระให้ได้

พระอาจารย์ชยสาโร








เมื่อเย็นวันก่อน อาตมาอยู่ในศาลาธรรมขนาดเล็กที่วัดไทยในชนบทของประเทศสวีเดน มีโยมผู้หญิงไทยหลายคนมากราบถามปัญหา บางคนก็มากับสามีชาวสวีเดน อยู่ดีๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็มีคนตั้งคำถามที่ลึกเหลือเกิน “ขอให้พระอาจารย์ช่วยอธิบายสภาวะนิพพานเจ้าค่ะ”

อาตมาตอบว่าอธิบายไม่ได้ เราจะหาคำมาอธิบายสิ่งที่อยู่เหนือภาษาได้อย่างไร ตอบไปแล้วโยมก็ยังดูไม่หายข้องใจ อาตมาจึงถามไปว่า “โยมช่วยอธิบายรสชาติของขนมปังให้อาตมาฟังหน่อยได้ไหม” โยมตอบว่าอธิบายไม่ถูก อาตมาจึงบอกว่า ขนาดเรื่องธรรมดาพื้นๆ อย่างรสชาติของขนมปัง โยมยังอธิบายไม่ได้ แล้วจะมาคาดหวังให้อาตมาอธิบายรสของพระนิพพานได้อย่างไรกัน

อาตมาขยายความว่า พระพุทธองค์ทรงเลี่ยงที่จะกล่าวถึงพระนิพพาน แต่ทรงเน้นหนทางที่จะนำไปสู่พระนิพพานมากกว่า อาตมาบอกว่าก็เหมือนการเล่าเรื่องขนมปังให้คนอื่นฟังนั่นแหละ เราบอกได้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ต้องใช้แป้งสาลี น้ำ ยีสต์ เกลือ เป็นต้น แล้วก็อธิบายว่านวดแป้งอย่างไรให้จับตัวเป็นก้อน เอาเข้าเตาอบนานแค่ไหน ใช้อุณหภูมิเท่าใด เสร็จแล้วจึงบอกว่า “ลองบิใส่ปากดูสิ แล้วก็จะรู้เองว่าขนมปังอบใหม่ๆ มีรสอร่อยอย่างไร”

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ







"มีคนชอบถามว่า บวชเป็นพระมานานแล้วได้อะไร ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง เราตอบไปว่า #เราบวชมาเพื่อไม่ได้เป็นอะไรเลย.. ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราบวชเพื่อให้เห็นโทษในความเป็นอะไร การบวชจึงเป็นการไปสู่ความไม่เป็นอะไรเลย แม้ว่าจะพูดตามภาษาชาวบ้านว่า เราเป็นชาวไทย เป็นชาวอเมริกัน หรือเป็นพระก็ตาม แต่ความจริงแล้วเราไม่ได้เป็นอะไร นั่นเป็นเรื่องของสังขาร ความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง ถ้าเรายึดถือความ ติดมากก็สงสัยมาก เกิดคำถาม"

พระพรหมวชิรญาณ
(หลวงปู่โรเบิร์ต สุเมโธ)
วัดอมราวดี สหราชอาณาจักร







"บุญเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของเรา
ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า"

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธฺโร






“ถ้ามีใครทำไม่ดีหรือโกรธ อย่าโกรธตอบ
ถ้าท่านโกรธตอบ ท่านจะโง่ยิ่งกว่าเขา
จงเป็นคนฉลาด สงสารเห็นใจเขา
เพราะว่าเขากำลังได้ทุกข์

จงมีเมตตาเต็มเปี่ยม เหมือนหนึ่งว่า
เขาเป็นน้องชายที่รักยิ่งของท่าน
เพ่งอารมณ์เมตตา เป็นอารมณ์ภาวนา
แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก”

หลวงปู่ชา สุภัทโท







ถาม : ทำไมถึงไม่ได้เหมือนกัน ?

ตอบ : เพราะได้คนละคาถา ได้คนละวิธี เรื่องธรรมะทุกคนที่อยู่ที่นี้มีธรรมะหมด ไม่มีผู้ที่จะไม่มีธรรมะ แต่จะมีมากมีน้อยอันนี้ต่างกัน

ทำไมถึงต่างกัน ก็เพราะบุญสร้างมาไม่เท่ากัน มันถึงต่างกัน คนที่มีบุญมากนั่งสมาธิภาวนา จิตก็สงบได้ง่าย เมื่อจิตสงบแล้วดวงสว่างก็เกิดขึ้นมาง่าย ดวงสว่างเกิดขึ้นแล้ว

บางคนก็ไม่เห็นอะไร บางคนก็จะเห็น บางคนก็เห็นเป็นดวงสว่างเล็กๆ บางคนก็สว่างทั่วไปไกลไม่มีขอบเขตจักรวาล บางคนรู้ไปถึงสวรรค์ลงไปเมืองบาดาล ไปทั่วสารทิศ

อย่างที่อยู่กลางเขาอย่างนี้ ถ้าเราลืมตาขึ้นมองไปก็จะเห็นภูเขา ป่าปิดบังหมดมองไม่เห็น แต่ถ้าเกิดเป็นตาทิพย์ข้างใน มันจะทะลุไปหมดไม่มีอะไรจะปิดกั้นได้ นี่มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นเรื่องจิตนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เราควรที่จะศึกษาให้เข้าใจ เมื่อเราศึกษาให้เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมในจิต เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า ทำไมไม่เป็นอย่างเดียวกัน พ่อแม่ครูอาจารย์ก็สอนภาวนาพุทโธตัวเดียวกัน แต่ทำไมถึงไม่ได้เหมือนกันอย่างนี้

เราก็มานึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ที่พระองค์แสดงไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็คือ ๘๔,๐๐๐ คนเอาอย่างนี้ ได้คนละคาถา ได้คนละวิธี

คนหนึ่งนั่งลงไปจิตก็สงบ คนหนึ่งนั่งลงไปมีแต่คิด แต่ความคิดนั้นคิดที่จะหนีออกจากกิเลส หนีออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อันนั้นก็เป็นปัญญา

เมื่อทำให้เกิดขึ้นมาได้แล้ว ก็จะทำให้ตัวเราได้รับความสงบสบายใจขึ้นมา อยู่ยังไงก็มีความสงบมีความอิ่มเอิบใจ มีความแจ่มใสทุกที่ อยู่ในความสงบ

คนที่อยู่ในความสงบอยู่ที่ไหนก็มีความสงบนิ่งอยู่ ความโกรธ ความโลภ ความหลงก็ไม่โกรธ

เหมือนกันกับคนที่ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาก็ได้มาคนละทาง เพราะกำจัดความโลภ กำจัดความโกรธ กำจัดความหลงได้เหมือนกัน นี้มันเป็นอย่างนี้

บางคนก็จะทำให้เกิดความศรัทธาให้มากขึ้นไปอีก เกิดฌาน เกิดญาณ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมา ก็จะมองเห็นอดีตกรรมของตัวเองขึ้นมา

คำว่าอดีตกรรม คือกรรมที่เคยก่อให้เอาไว้ตั้งแต่หลายภพหลายชาติ พอเรารู้ว่าเราเคยทำผิดศีลข้อไหนมา ภพชาตินี้เราก็จะไม่ทำผิดศีลข้อนั้นๆอีก ให้มีความหิริโอตัปปะ คือความละอายต่อบาป

เมื่อเรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ แล้ว ก็ให้เอามาใช้ทำความดี ไม่ใช่ว่าจะทำบาปเหมือนในชาติก่อนๆที่เคยนิมิตมา เพราะการเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของง่าย เพราะต้องมีบุญมาก เมื่อมีบุญมากส่งให้มาเกิดแล้ว เราจะสร้างบุญใหม่ให้กับตัวเองยังไง ก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้ เหมือนที่พวกเราพากันมาทำ ณ ที่แห่งนี้แหละ

———

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ
ในงานพิธียกยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ศรีสามหมื่นทุ่ง วัดป่าบ้านมูเซอสามหมื่นทุ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก วันที่ ๐๔ ธ.ค.๕๙
ถอดเทป/เรียบเรียง :
นรินทร์ ศรีสุทธิ์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO