ในการเล่นกีฬา ถ้าคู่ต่อสู้ฝีมือด้อยกว่ามากก็ไม่ค่อยสนุกนัก ชนะแล้วก็ไม่ภาคภูมิใจเท่าไหร่ ถ้าคู่ต่อสู้ฝีมือสูงกว่ามากก็ไม่สนุกเหมือนกัน แพ้ยับเยินมักท้อแท้หมดกำลังใจ คู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดคือผู้ที่เก่งกว่าเรานิดหน่อย ในการแข่งกับเขาเราจะรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เราให้เล่นเต็มความสามารถ ยิ่งกว่านั้นบ่อยครั้งเราอาจรู้สึกว่าเล่นได้ดีกว่าที่เคยการเล่นกับคู่ต่อสู้ระดับนี้ช่วยพัฒนาทักษะของเรา
การภาวนาก็คล้ายคลึงกัน ถ้าเราไม่ผลักดันตัวเองเลย เพียงทำไปเรื่อยๆ (เรื่อยเฉื่อย) ผลลัพธ์ก็อาจไม่ค่อยน่าชื่นใจเท่าไหร่ ไม่รู้สึกว่าการปฎิบัติก้าวหน้า ถ้าเราผลักดันตัวเองมากเกินไป ตั้งเป้าหมายที่เกินวิสัย เมื่อแพ้กิเลสยับเยินก็ท้อแท้หมดกำลังใจ
ในการภาวนาควรผลักดันตัวเองเบาๆ แต่พอดี ไม่ประมาท ไม่ให้สบายจนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่หักโหม นี่คือทางสายกลางของพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์ชยสาโร
"ใครจะชม ก็ต้องวางเฉย ใครจะด่า ก็ต้องวางเฉย เพราะห้ามเขาไม่ได้ ปากของเขา แต่เราห้ามใจของเราได้ ห้ามไม่ให้ดีอกดีใจได้ ห้ามไม่ให้โกรธแค้นโกรธเคืองได้ ต้องมีสติไว้คอยเตือนใจอยู่เสมอ"
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต "หยดนํ้าบนใบบัว" กัณฑ์ที่ ๑๒๑ หน้า ๙๕ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๕
“ร่างกายเป็นเหมือนถุงใส่ขยะ ที่ใส่สิ่งที่เป็นปฏิกูล สิ่งที่ไม่สวยไม่งาม แต่เรามองไม่เห็นกัน ก็เลยหลงร่างกาย ทำให้เกิดกามราคะ เกิดความอยากในกาม อยากจะเสพกาม ถ้าเห็นว่าเป็นอาการ ๓๒ มีสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่ถูกขับถ่ายออกมาอยู่เรื่อยๆ ก็จะดับกามารมณ์ได้”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
"ความรู้สึกตัว เหมือนไม้กวาด ไม้กวาดผ่านไปตรงไหน ตรงนั้นก็สะอาด"
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
“เราทำดีนั้นก็เป็นส่วนดีของเรา แต่อย่าเที่ยวไปว่าคนอื่นเขา ศีล มีไว้พัฒนาตนเอง ไม่ใช่มีไว้ จับผิดคนอื่น”
หลวงปู่หา สุภโร
"ศีล มีมากมายหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อหรอก รักษาแต่ใจตัวเองอย่างเดียวให้ดีเท่านั้น กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกัน"
หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต
"ความสกปรกใดก็ตามในโลกนี้ เช่น ขี้ตม ขี้โคลน สิ่งสกปรกโสมมต่าง ๆ ที่โลกไม่พึงปรารถนากันเหล่านั้น ก็ไม่เหมือนใจที่สกปรก เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่ก่อความเดือดร้อน และเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ให้ได้รับความพินาศฉิบหาย เหมือนใจที่สกปรก"
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ลงสู่ความ.เกิดดับ.ตลอดสาย ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย
พอจ. คม อภิวโร
|