พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ฉะนั้น เราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งโดยแท้ได้ก็ด้วยการเข้าถึงพระธรรม พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้วก็จริง แต่ธรรมะเป็นอมตะ ไม่ได้หายไปไหน เหมือนนำ้ที่อยู่ใต้ดิน ใครยอมขุดดินอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคย่อมมีสิทธิ์ดื่มรสพระธรรม และการดื่มรสพระธรรมนั้น เปรียบเสมือนการกราบพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์ชยสาโร
- ให้เราอยู่ในโลกอย่างไม่ผูกพัน ไม่มีรัก ไม่มีชัง อยู่กับสัตว์ร่วมโลกด้วยพรหมวิหาร ๔ - ไม่เสาะแสวงหาสิ่งต่างๆ เกินจำเป็น หามาเพียงปัจจัย ๔ ตามความจำเป็น อย่างไม่ทำให้เดือดร้อนมากเกินไป - วางตัณหา ราคะ ตัดความผูกพันต่อสิ่งต่างๆ ละความรัก ละความชังทั้งหมด - แม้ทำกุศล ก็ทำด้วยความอิ่มเอิบใจ แล้ววางทิ้ง ไม่ไปติด ##จึงเป็นการละสังโยชน์
หลวงพ่อวิชัย วฑฺฒโน วัดแม่สะลาบ
10 คำสอนอันทรงคุณค่าจาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
1.ความดีเป็นศัตรูของชีวิต ความดีต้องมีอุปสรรค เขามาร้าย อย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา จงใช้ความดีเข้าไปแก้ไข คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจ ไปสนทนา
2.จงอย่าหวั่นไหว จงทำใจให้ได้เมื่อมีทุกข์ คนที่ทำใจได้เพราะมีสติควบคุมใจได้ ถ้าผู้ใดเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จิตมั่นคง ต้องช่วยตัวเองได้ ทำใจได้ จะไม่เสียใจ ไม่น้อยใจต่อบุคคลใด คนทำใจได้นั่นแหละ จะได้รับผลดี มีสติเป็นอาวุธของตนตลอดไป
3.คนโบราณท่านมีคติดี เวลาไปไหนมาไหนต้อง นิ่งได้ ทนได้ รอได้ ช้าได้ ดีได้ คนสมัยนี้นิ่งไม่ได้ ปากไม่ดี ทนไม่ได้ อยู่ไม่ได้อีก รอก็ไม่ได้ ช้าก็ไม่ได้ จึงเอาดีกันไม่ค่อยจะได้ ในยุคสมัยใหม่ปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้มีความหมายมาก แต่ทุกคนไม่เคยคิด
4.ใครตั้งใจ “ทำดี” อย่าไปกังวลเรื่อง “ปากคน” เพราะต่อให้เรา “ดี” ขนาดไหน หากไม่ถูก “กิเลส” เขา เขาก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เขาก็ตำหนิ ดังนั้น ดี-ชั่ว ไม่ได้อยู่ที่เขาว่าเรา แต่อยู่ที่เราเองทั้งหมด เรารู้เราเองก็เพียงพอแล้ว
5.ชาวพุทธแท้ๆ ควรจะได้ดีมีสุขจากการนับถือศาสนาพุทธ โดยแก้ปัญหาที่เกิดด้วยอริยสัจ 4 ทุกข์เกิดแล้วหาสาเหตุของทุกข์ด้วยการกำหนดทุกข์หนอ มันทุกข์ตรงไหนหนอ บำเพ็ญจิตภาวนา สมาธิ ปัญญาจะบอกทุกข์เกิดขึ้นตรงนั้น ต้องแก้ตรงนั้น อย่าไปแก้ผิดจุด อย่าไปให้ผีให้เจ้ามาแก้ หรือเอาหมอดูมาแก้ มันไม่ถูกเรื่อง
6.ความอดทนเป็นสมบัติของนักต่อสู้ ความรู้เป็นสมบัติของนักปราชญ์ ความสามารถเป็นของนักประกอบกิจ ความสามารถทุกชนิดเป็นสมบัติของผู้ดี
7.วันไหนโยมถูกด่ามากวันนั้นเป็นมงคล วันไหนโดยถูกป้อยอเขาจะล้วงไส้เราโดยไม่รู้ตัว หลงเชื่อเราจะประมาท จะเสียท่าเสียทีต่อมารร้าย และที่เขามาป้อยอกับเรา ระวังให้ดี เขาไม่ได้รักเราจริง
8.สร้างบุญใช้สติ ไม่ต้องใช้สตางค์ พวกเราหาแต่สตางค์ ไม่หาสติกันเลย
9.คนเราจะทำอะไรได้ก็ช่วงมีชีวิตอยู่เท่านั้นเมื่อตายแล้วไม่สามารถจะทำความดีหรือความชั่วได้เลยฉะนั้นในช่วงที่มีชีวิตอยู่ควรที่จะทำความดีใช้ชีวิตให้เป็นสาระ จะต้องต่อสู้กับความไม่ดีงามทั้งหลายที่มีอยู่รอบตัวเรา
10.จงพอใจในชีวิตของตัวเอง โดยมิต้องไปเปรียบเทียบชีวิตของผู้อื่น (ข้อความสุดท้ายใน ส.ค.ส.2559 ที่หลวงพ่อจรัญ เขียนไว้ก่อนละสังขาร)
พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม)
...ให้น้อมเข้าระลึกถึง 'พระพุทธคุณ' อยู่เป็นอารมณ์ ให้เสมือนว่าพระพุทธองค์ เสด็จมาประทับอยู่จำเพาะตรงหน้า เพื่อเราทุกคน ได้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีความยับยั้งชั่งใจ ข่มใจ เพียรละเว้นบาปอกุศลทุกชนิดที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ ไม่ให้ความชั่วทั้งปวงปรากฏแสดงออกมา ไม่ว่าทางกาย วาจา และแม้ที่สุดคือในทางใจ ให้มีความสามารถในการแผดเผากิเลส จนมอดไหม้หมดสิ้นเชื้อไปไม่เหลือแม้แต่ธุลี . --- พระคติธรรม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
.."คุณงามความดีทั้งหลายก็ไปจากของเล็กน้อยแหละ เหมือนฝนตก เราเห็นไหม ?เห็นอยู่ด้วยกันทุกคนปฏิเสธได้ยังไง เม็ดฝนที่ตกลงมามันเท่าลูกมะพร้าวเมื่อไร มันก็เท่าเม็ดฝน อย่างที่เราเห็นนั่นแหละ แล้วทำไม ? มันทำให้ท้องฟ้ามหาสมุทรท่วมไปหมด ด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาทีละหยดละหยาดเท่านั้นได้ล่ะ ก็เพราะรวมกันแล้วมันมาก ตกไม่หยุดไม่ถอยมันจึงมากนั่นเอง ..การสร้างบุญกุศล พระพุทธเจ้า ท่านก็กล่าวไว้อย่างนั้นเหมือนกัน สั่งสมทีละเล็กละน้อย ก็ย่อมเป็นกองใหญ่โตขึ้นมา ท่านเทียบเหมือนกับเม็ดฝนนี้เอง ตกทีละหยด ละหยาดเท่านั้น สามารถยังโอ่งอ่างกระถาง ตลอดถึงท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มไปได้ด้วยน้ำ ท่านว่า กองการกุศลก็เหมือนกัน เราสร้างไว้ทุกวันทุกเวลา ไม่ประมาทโดยลำดับลำดา ก็พอกพูนขึ้นไป ๆ งอกงามขึ้นไป เจริญขึ้นไป เมื่อกองบุญกองกุศลเจริญ ใจเราก็เจริญ ภพ-ชาติ ก็หดสั้นเข้ามา ..สมมุติว่า จะเกิดไปอีกหมื่นชาติอย่างนี้ ก็ย่นเข้ามา ๆ ชาตินั้นย่นเข้ามา เพื่อความสุดสิ้นแห่งความทุกข์ ที่เกิดจากชาติความเกิดนั้นนี่ละ !บุญกุศลหนุนเรา ไปโดยลำดับลำดา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงจะเกิดจะมีความทุกข์อยู่บ้าง เพราะการเกิดเป็นเหตุก็ตาม ความสุข ก็มีแทรกอยู่ในนั้น เพราะอำนาจแห่งบุญ ให้เราได้พึ่งพิงอิงอาศัยตลอดไป จนกระทั่งถึงสิ้นภพชาตินั้น ๆ แล้วความดีก็หนุนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง..
..#โอวาทธรรมองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙
การทําบุญทํากุศลนั้น โปรดอย่านึกว่าจะต้องหอบข้าวหอบของไปใส่บาตรที่วัดทุกวัน หรือ บุญจะเกิดได้ก็ต้องทอดกฐินสร้างโบสถ์สร้างศาลาและอื่นๆอย่างที่เขาโฆษณาขายบุญกันทั้งทางวิทยุหนังสือพิมพ์ และ ใบเรี่ยไรกันเกลื่อนกลาดจนรู้สึกว่าจะต้องเป็นภาระที่ต้องบริจาคเมื่อไปวัดหรือสํานักนั้นๆเป็นประจํา
บทสวดมนต์ชื่อพระพุทธชัยมงคลคาถาที่ขึ้นต้นด้วย“พาหุง...” มีอยู่ท่อนหนึ่งซึ่งกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงชนะมารคือกิเลสว่า “พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ทรงชนะมารคือกิเลสด้วย วิธีบําเพ็ญบารมีธรรมคือความดีมีการบริจาคทานเป็นต้น” พระพุทธเจ้าทรงสอนการทําบุญทํากุศลด้วยการให้ทานรักษาศีลและสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนาให้ทานทุกครั้งให้ทําลายความโลภคือกิเลสทุกครั้งรักษาศีลเจริญภาวนาเพื่อทําลายความโกรธความเห็นแก่ตัวให้ใจสะอาดใจไม่เศร้าหมอง มองเห็นบาปบุญคุณโทษได้ทุกครั้งทําได้ ดังนี้จึงชื่อว่าทําตามพระพุทธเจ้า
อมตะธรรม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
|