"ไม่มีบุญใดจะมากเท่ากับการภาวนา นั่งภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป ยืนภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป เดินภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป นอนภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป"
หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
"... ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เราบ่ว่า ใส่เขาดอก เขาติฉินนินทา เขาก็ว่า ใส่เขาเอง..!! ปากของเขา ก็อยู่ที่เขา หูของเขา มันก็อยู่ที่เขา ..."
หลวงปู่ขาว_อนาลโย
เรื่องราวมากมายก่ายกองนั้น ล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากจิตของเราดวงเดียวแท้ ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากบุคคลผู้นั้นบุคคลผู้นี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้เลย แต่ล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากจิตของเราล้วน ๆ เพราะจิตของพวกเรานั้นมันมีโมหะความลุ่มหลงครอบงำไว้ การเสกสรรปั้นแต่งออกไปภายนอกมันจึงออกไปด้วยอำนาจของโมหะ มันจึงนำเอาแต่ความเร่าร้อนขุ่นมัวมาสู่ตัวของเราเองอยู่ตลอดมา
เราพิจารณาดูให้ดีว่า ถ้าจิตของเราไม่ออกไปคว้าอะไรเข้ามาด้วยความนึกคิดปรุงแต่ง ด้วยอารมณ์เรื่องราวต่าง ๆ นานา ชีวิตของพวกเราจะมีทุกข์ไหม มันไม่มี ก็เหมือนเสื้อผ้าของพวกเรา ถ้าเสื้อผ้าของพวกเราไม่ได้ปะปนไปด้วยสิ่งอื่นเลย มันก็จะไม่มีความสกปรกเลย แต่ที่เสื้อผ้าของเราสกปรก เพราะมันเจือปนกับสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายมากมายก่ายกองภายนอกเสื้อผ้าที่เอาเข้ามาปะปนในเสื้อผ้า เสื้อผ้าของเรามันจึงสกปรก
ทีนี้เมื่อเราปรารถนาความสะอาดให้เกิดขึ้นในเสื้อผ้า ไม่ใช่เราจะวิ่งไปหาความสะอาดมาใส่ลงไปในเสื้อผ้า เพื่อให้เสื้อผ้าของเราสะอาด ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว แม้เราจะวิ่งไปขวนขวายแสวงหาความสะอาดมากมายก่ายกองตามความคาดหมายของตนเอง เราคาดหมายว่าน้ำหอมมีความสะอาด ผงซักฟอกมีความสะอาด อะไรมีความสะอาดก็ใส่ลงไป นับวันเสื้อผ้าของเรามันจะรกรุงรังยิ่งขึ้น สกปรกมากมายยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ก็ไม่ได้แตกต่างกับชีวิตของพวกเราทุกวันนี้เลย พวกเราล้วนแต่จมอยู่ในกองทุกข์ แต่เราปรารถนาความสุข เราก็วิ่งวุ่นขวนขวายแสวงหามา คาดหมายว่าได้สิ่งใดแล้วเราจะมีความสุข เราก็พากันดิ้นรนทะเยอทะยานขวนขวายแสวงหามา
ตั้งแต่รู้เดียงสามาแล้วจนกระทั่งถึงบัดนี้ ถามตัวเราเองบ้างไหมว่า ไหนล่ะความสุข สิ่งที่พวกเราคาดหมาย ที่เราปรารถนา เราต้องการมันก็พอเป็นพอมีพอได้ แม้การได้มาของเรา จะไม่เป็นอันดับหนึ่งของสังคมก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ก็ไม่เป็นอันดับสุดท้ายของสังคม แล้วตัวไหนล่ะคือความสุข ไม่มีเลย ชีวิตของพวกเรานับวันจะเพิ่มภาระมากขึ้น เพิ่มความพะรุงพะรังมากขึ้น เพิ่มความยุ่งเหยิงวุ่นวายมากขึ้น เพิ่มปัญหามากขึ้น ส่วนธาตุขันธ์ร่างกายของเราก็เสื่อมโทรมไปด้วยความแก่ชรา ความแก่ความชรามาครอบงำร่างกายของเรามากขึ้น ๆ พร้อมกับการนำโรคภัยไข้เจ็บ นำเอาความยุ่งยากเจ็บป่วยเข้ามาสู่ร่างกายของเรามากขึ้น แล้วสักวันหนึ่งความแตกดับก็มาเยือน
เท่ากับชีวิตของพวกเรา นับตั้งแต่เริ่มต้นมา จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของการล้มหายตายจาก มีแต่ความดิ้นรนทะเยอทะยานขวนขวายแสวงหามาตลอดเวลา แต่นับวันความสุขก็ห่างเหินเราออกไป ห่างออกไป แต่สิ่งที่เราได้มาในชีวิตของเรา ก็ล้วนแต่ได้มาในสิ่งที่เราไม่ปรารถนา ไม่ต้องการ ก็คือ ภาระ เพิ่มแต่ภาระมากขึ้น เพิ่มแต่ความพะรุงพะรังมากขึ้น ไม่มีท่านใดเลยปรารถนาภาระ ไม่มีท่านใดปรารถนาความพะรุงพะรัง แต่ชีวิตล้วนแต่ได้ในสิ่งที่ไม่ปรารถนาไม่ต้องการ แต่สิ่งที่เราปรารถนา เราต้องการก็ห่างออกไป ห่างออกไป จนถึงวันสุดท้ายปลายทางของชีวิต เป็นวันสูญเปล่า เป็นโมฆะ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว ความทุกข์ ความทะเยอทะยานทุกสิ่งทุกอย่างวางไว้อยู่บนผืนโลกนี้หมดสิ้น ไม่ได้อะไรเลยเป็นแก่นสารสาระ นี่แหละการวิ่งไปตามอำนาจของโมหะ เป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกท่านทุกคน
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
"อย่าไปคิดว่า เวลาเราแก่ หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือใกล้ๆ จะแตกจะตายแล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าคิดผิด เพราะเวลาอยู่ดีสบายนี้แหละ เป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่มภาวนาให้ได้ ให้ถึง"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
“มหัศจรรย์แห่งบุญ” ความดีเมื่อทำมากๆเข้าก็จะกลายเป็นบุญวาสนาบารมี เมื่อมีบุญวาสนาบารมีมากๆเข้า จะคิดจะทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่ดี จะสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ ความดีคือบุญ
วันนี้ก็จะได้มาคุยกันถึงเรื่อง "บุญ-วาสนา-บารมี" เราได้ยินคำนี้มาอยู่ตลอดแล้วเราก็คิดว่าใครที่เขามียศฐาบรรดาศักดิ์สูง ร่ำรวยเงินทอง อะไรเหล่านี้ก็ว่าเขามีบุญ วาสนา บารมี
ถ้าหากว่าใคร..ยากๆ จนๆ หรือว่าทำงานก็ไม่ค่อยก้าวหน้า อะไรต่างๆ เหล่านี้เขาเรียกว่าเป็นไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา ไม่มีบารมี แล้วก็พูดกันมาเท่านี้เราก็พอเข้าใจ แต่จะเข้าใจให้ละเอียดได้นั้นก็จำเป็นต้องรู้ว่า บุญนี้คืออะไร
อันดับแรก บุญก็คือ "ความดี" ความดีที่เราได้ทำเอาไว้ ในแต่อดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ ความดีต่างๆ เหล่านั้นเราจะใช้คำว่า "ทำบุญให้ทาน" เหมือนกันกับเรามีลูกมีหลานบวชก็เรียกว่าบุญ ช่วยเป็นศาสนทายาท หรือมีเงินทองข้าวของก็บริจาคตามอัธยาศัย ตามความสามารถ
หรือว่ามีเรี่ยวมีแรงก็ไปช่วยในการทำสาธารณประโยชน์ หรือว่า มีอำนาจวาสนา เราก็ใช้อำนาจวาสนานั้น ไปทำประโยชน์ในทางที่สร้างบุญกุศลเป็นวัดวาอารามบ้าง เป็นโรงเรียนบ้าง เป็นโรงพยาบาลบ้าง หรือว่าส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์นั้นเราก็ทำ อันนี้เรียกว่าเป็น "บุญ"
ทำมากเท่าไรก็เรียกว่า "สะสมบุญ" บุญเหล่านี้แหละเมื่อทำมากเข้าๆมันก็กลายเป็น "วาสนา" ยังไม่มากเท่าไรยังไม่ใช่ชื่อว่าเป็นวาสนาแต่ถ้าหากว่าทำบุญบ่อยๆ ถ้าบุญมากๆหลายภพหลายชาติก็เรียกว่า วาสนา เมื่อเป็นวาสนาแล้ว เมื่อวาสนามากเข้าๆเขาก็เรียกว่าเป็น "บารมี"
บารมีก็เช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี พระองค์ทำทั้ง "บุญ" และทำทั้ง "วาสนา" ในที่สุดก็เป็น "บารมี" เมื่อบารมีเต็มที่ ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
เมื่อพระพุทธเจ้าปรารถนาเมื่อก่อนแต่ที่พระองค์จะมาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ยังเป็นคนธรรมดา เมื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์ก็สะสมบุญ เมื่อบุญมากเข้าๆ ก็เป็นวาสนา เมื่อวาสนามากเข้าก็กลายเป็นบารมี แล้วก็ทำให้พระองค์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าที่เราได้พากันกราบไหว้อยู่ในปัจจุบัน
และพวกเราทั้งหลาย ในขณะนี้เรามีพระพุทธศาสนาที่เป็นที่พึ่งทางใจที่เราพากันพึ่งอยู่ในเวลานี้ เราก็จำเป็นที่จะต้องหา "ผลประโยชน์" ในพระพุทธศาสนานี้ให้แก่เรา การที่หาผลประโยชน์นั้น ไม่ใช่ว่าไปคดไปโกง หรือว่าไปหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่เราหาผลประโยชน์ด้วยการที่เราสร้างบุญ มีเงินมีทองมีข้าวมีของ มีกำลังสติปัญญา เราแค่ใช้สิ่งเหล่านี้สร้างบุญขึ้นมา เมื่อสร้างบุญขึ้นมาแล้วเนี่ย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ปรารถนา หรือเราจะไม่ปรารถนาอะไร แต่ว่าบุญก็จะต้องตามส่งเขาผู้นั้นอยู่ตลอด
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจากการถอดความมาจากพระธรรมเทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม วิ. (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ในหัวข้อ "บุญ วาสนา บารมี" เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วัดราชธรรมวิริยา
จะทุกข์ทำไม? เกิดเท่าไหร่ มันก็ดับเท่านั้น
#พังสลายไม่เหลือซาก เป็นอนัตตา ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
หวง…มันก็ไป ไม่หวง…มันก็ไป ช่างหัวมันแล้วสบายใจ!
โอวาทธรรม ... พระอาจารย์คม อภิวโร
ถ้าเรามองคนด้วยกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เราจะโกรธคนนั้น เราจะเกลียดคนนี้
แต่ถ้าเรามองคน ด้วยความเมตตา ด้วยความเข้าใจ เราจะไม่โกรธ หรือเกลียดใครเลย
โอวาทธรรม หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
" จำไว้นะ ถ้าไม่มีใครคบ " ..จงเลือก เดินคนเดียว ถ้าหาคน มีศีล เสมอกัน หรือสูงกว่า เดินด้วยกัน ไปไม่ได้ พระพุทธองค์ ทรงให้เลือก เดินไป คนเดียว เพราะเลือกคบ คนอย่างไร ก็จะเป็น อย่างนั้น ถ้าคบคนพาล คนโกง หลงกามคุณ ถ้าสติเราไม่พอ อีกไม่นาน เราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น ได้โดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่มีคน มีศีลมีธรรม อยู่รอบตัวเลย จงเลือกเดิน คนเดียว และมี สติเป็นเพื่อน..
โอวาทธรรม :หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
– คำเตือนของหลวงปู่- หลวงปู่ดู่สอนให้ตั้งอกตั้งใจภาวนาตั้งแต่อายุไม่มาก ในเวลาที่พอมีเรี่ยวแรง ท่านว่า
“ข้อสำคัญที่สุดของการปฏิบัติคือต้องไม่ประมาท ต้องปฏิบัติให้เต็มที่ตั้งแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ? เคยเห็นไหม เพื่อนเรา คนที่เรารู้จักที่ตายไปแล้ว นั่นน่ะ เขาเตือนเรา ถ้าเราปฏิบัติไม่เป็นเสียแต่วันนี้ เวลาจะตายมันก็ไม่เป็นเหมือนกัน เหมือนกับคนที่เพิ่งคิดหัดว่ายน้ำเวลาใกล้จะจมน้ำตายนั่นแหละ ก็จมตายไปเปล่าๆ
แกไม่ปฏิบัติหนึ่งวันนี่ เสียหายหลายแสน วันนึงก็มีความหมาย ข้าฝากให้แกไปคิดเป็นการบ้าน”
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
|