ปล่อย ปลอด โปร่ง
“... ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ เป็นเรื่องของการเสียสละ หรือการสลัดทิ้ง ไม่ใชว่า เราปฏิบัติแล้ว แล้วเรากอบโกยได้อะไร ที่จะออกมาอวดว่า กูเก่ง ได้อย่างนี้ อย่างนั้น
แต่เป็นความสงบและความสุข ที่เกิดจากการสลัดทิ้ง การเสียสละ หรือการไม่ยึดไว้ เพื่อเป็นของตน หรือเป็นส่วนหนึ่งของ การประดับความรู้สึกต่อตัวตน
ยิ่งปล่อย ยิ่งปลอดโปร่ง ยิ่งปล่อย ยิ่งเบิกบาน ยิ่งปล่อย ก็ยิ่งจิตไพศาล ความสบายอยู่ตรงนี้ ความปลอดโปร่งก็อยู่ตรงนี้ … “
พระราชโพธิวิเทศ (หลวงพ่อปสันโน) ณ มูลนิธิมายาโคตมี ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒
ศึกษาทั้งสองอย่าง ทั้งสุขและทุกข์ จุดมุ่งหมายนั้น สิ่งที่ทำให้สุขเกิดขึ้น เมื่อมันดับไป มันก็มาหาทุกข์ ทุกข์ดับเราก็มุ่งไปยึดสุขได้ นี่มันอยู่ตรงนี้แหละ
แต่แท้ที่จริง การแสวงหานี้ต้องการความสุข แต่สิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดทุกข์ เราได้มาพิจารณาบ้างไหม
#หลวงปู่เปลี่ยน #ปัญญาปทีโป
รู้ทุกอย่าง แต่ปล่อยวางไม่ได้ เพราะกำลังของจิตไม่พอ จึงมีความจำเป็นต้องฝึกฝนอบรมจิต การอบรมจิต เป็นยอดของบุญ ยอดของกุศล
ทำความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง เริ่มต้นจากฝึกตัดอดีต ตัดอนาคต อยู่กับปัจจุบัน เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ สมาธินั่นแหละเป็นกำลังของจิต
ฝึกจิตของเราให้รู้เหตุรู้ผล ไม่งั้นการปฏิบัติของตนที่ผ่านมา มันเละเทะและเสียเปล่า ถ้าหากว่าเราตามรอยครู ประพฤติปฏิบัติตามพระบรมศาสดาท่านทรงสอน
เบื้องต้นท่านสอนให้อยู่กับปัจจุบัน เพื่อให้รู้เท่าทันความเกิดดับในปัจจุบัน เพราะต่อไปจิตมีสติชัดเจนแจ่มใสขึ้น มีปัญญาสว่างขึ้น รู้เท่าทันปัจจุบันได้ ก็จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในปัจจุบัน ยึดไม่ได้ เหมือนกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราทุกคนท่องได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ไอ้การท่องประเภทนี้วันนึงท่องกี่ครั้ง ท่องแต่ปากได้แต่สมอง แต่ไม่ได้ตกลงในครรลองของจิตของใจ
เมื่อจิตไม่เห็นความเป็นจริง เขาจึงไม่ปล่อยวาง ต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งขณะตาเห็นรูป อนิจจังทุกอย่างเลย หาสาระแก่นสารไม่ได้เลย ทั้งรูปภายนอกและภายใน หูได้ยินเสียง อนิจจังทั้งนั้น บางครั้งไม่ได้เป็นคำพูดว่าอนิจจัง แต่ซึมซาบถึงความหมายที่ว่าไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเลยทีเดียว มันไม่เที่ยงยังไง มันยึดไม่ได้ยังไง เทียบเคียงสอบเข้าหาจิต ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ ธัมมารมณ์ ตัณหา ความทะเยอทะยานอยาก ความทะเยอทะยาน ดิ้นรนขวนขวายแบบบ้าๆ มันกลุ้มรุมยั้วเยี้ยเป็นกิเลสอยู่ที่จิต
ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าตัณหาไม่ดี กิเลสไม่ดี แต่เพราะความเพลิน เพลิดเพลิน ความติดใจ จึงหลงอยู่ในวังวนเป็นทาสของกิเลส ยามที่มีโลภะเกิดขึ้นที่จิต แทนที่จะมีความรู้เท่าทัน พยายามขัดเกลา ไม่เอาด้วยกับความโลภ ที่ไหนได้ยอมตัวยอมใจไปกับความโลภเขาเสียเลย ปล่อยให้อำนาจความโลภครอบงำจิต นำให้จิตเกิดเจตนาที่จะขวนขวายได้มาตามบัญชาการของโลภะความโลภนั้น บงการให้กายให้วาจา ขวนขวายให้ได้มาซคางความโลภนั้น ไปกับเขาเสีย แบบว่ารู้เขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก แทนที่จะมีสติรู้ตัวขึ้นมา มีอำนาจแห่งธรรมะกระชากขึ้นมาบ้างว่า นี่เจ้าความโลภเกิดขึ้น อย่าหลงไปด้วย อย่าตกเป็นทาสเขา อย่าเสียทีเขาอีกเลย ยามที่มีโทสะเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้อำนาจโทสะครอบงำ ง่ายๆ เดี๋ยวก็ทำตาพองตาโต โมโหโกรธา เกรี้ยวกราด มุ่งมาดอาฆาตทำร้ายเขา แทนที่จะหันกลับมา ทำลายเจ้าโทสะในจิตให้สิ้นซาก ยามที่มีความหลงเกิดขึ้น พอโมหะเกิดขึ้นที่จิตเท่านั้น แทนที่จะศึกษาให้ดี เจริญปัญญาให้ดี เจริญสติให้ชัด กลับมัวเมาเผลอเพลินไปตามเรื่องที่เขาจะจูงจมูกไป หลงไปในกามคุณต่างๆ มีแต่อารมณ์ที่เป็นอาหารของกิเลสทั้งนั้น มีแต่เสริมกำลังให้ตัณหามากขึ้นตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันเป็นเช่นนี้มา เคยชินอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว นี่แหละอวิชชา ความไม่รู้ ไม่รู้หนทางออกจากทุกข์ แม้จะได้ยินได้ฟังมามาก แต่ถ้ายังไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่เกิดกำลังของจิตที่เพียงพอ ไม่สามารถงัดข้อกับกองกำลังกิเลส เหล่าตัณหาได้เลย ฝ่ายมารเขามีอำนาจมาก ฝ่ายพระเพิ่มพลังกันหมั่นฝึกฝน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในภูมิมนุษย์ นี่เป็นปรัชญาสูงสุดเลย นี่คือตัวอย่างที่สำคัญมาก บารมีแห่งพระโพธิสัตว์ พระบรมโพธิสัตว์ ท่านเป็นเจ้าปกครองวรรค์ พรั่งพร้อมอุดมสมบูรณ์ด้วยบุญญาธิการ ทำไมท่านเลือกมาอุบัติในแดนมนุษย์ ลำบากตรากตรำ บำเพ็ญอยู่6ปีเต็ม จึงได้ตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ประเสริฐ ท่านพยายามจะชี้ให้พวกเราเห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายมีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาตน พัฒนาจิตวิญญาณ พัฒนาสติปัญญาถึงความรู้แจ้ง เริ่มต้นเรามีทุนเท่ากันทั้งนั้น ไม่ต้องไปอิจฉาริษยาใคร ต้นทุนดินน้ำลมไฟมาประชุมกัน ต้นทุนขันธ์5 เท่ากัน ต้นทุนกิเลสเหมือนๆกัน แต่ฉไนเวลาดำเนินไป สติ ความเพียร ปัญญาไม่เท่ากัน ไม่เท่ากันยังไม่เท่าไหร่ ไม่เติมกำลังของสติ ความเพียร ปัญญาล่ะ ชะล่าใจด้วยความเกียจคร้าน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วกี่พระองค์ พระสงฆ์สาวกเข้านิพพานไปแล้วเท่าไหร่ จนถึงยุคปัจจุบัน เราทั้งหลายก็ยังเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่เลย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันอีกเหรอ นี่คืออวิชชา อำนาจมืดที่ครอบงำสัตวโลกอยู่ ไม่มีความมืดใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความมืดของจิตที่ไม่มีสติธรรม ปัญญาธรรม ความมืดของจิตที่ไม่รู้หนทางแห่งความพ้นทุกข์ ความมืดของจิตที่ปราศจากแสงแห่งธรรมะ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเรามีของดีกันทุกคน มีจิตประภัสสรอยู่กับตน แต่ไม่เคยค้นพบ ปล่อยให้อำนาจอัตตาตัวตน ตัวกูของกู หุ้มห่อก่อผล เป็นความเห็นแก่ตัวเสียทั้งหมด ตามองอะไรจะเป็นของกูบ้างกูจะได้อะไรบ้าง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรสมีแต่เครือเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลดเดียวกัน กูจะได้อะไร มีอะไรให้กูบ้าง ไปเสริมกิเลสให้อ้วนตลอดเวลาทุกขณะจิต
#พระอาจารย์คม #อภิวโร
“เวลากรรมบังนี่ มันโง่ทุกคนเลยว่ะ” หลวงปู่ศุข เมตตาเตือนสติ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ให้ชีวิตดี…
เวลาที่กรรมไม่ดีมาส่งผลหรือที่เรียกว่า “กรรมบัง” เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดแล้วของชีวิต บางคนเสียผู้เสียคน ทำอะไรผิดพลาดไปหมด หรือตัดสินใจผิดๆ จนชีวิตพินาศ
หรือแม้แต่ไม่ทำอะไร ก็ดิ่งลงๆๆๆ หรือแม้แต่ไม่รู้ตัว อาจจะพลิกวูบเดียวจบ!!!
ครูบาอาจารย์ท่านเตือนไว้ตลอด ไม่ว่ากรรมดี บุญจะส่งผล หรือกรรมไม่ดีเข้าส่งผลหรือกรรมบัง
ท่านสอนเสมอให้มี “สติ”สำคัญมากๆ
“สติ”ที่ดีจะวางใจเป็นกลาง รู้เท่าทันกรรม ไม่ประมาท อ้อที่ดีที่ชั่วก็แค่นั้นเอง มาแล้วก็ผ่านไป
“สติ”ที่ดีคือ อยู่กับปัจจุบัน กรรมเก่าแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เท่ากรรมปัจจุบันในชาตินี้
ไม่ประมาทในกรรม ละบาป เลิกทำกรรมชั่วให้มากที่สุด หมั่นเติมบุญกุศลของตนไม่หยุดยั้ง ฝึกสติ ฝึกใจให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
“สติ” มาจากการทำสมาธิ การสวดมนต์ช่วยได้ เป็นการฝึกแบบง่าย จดจ่อให้จิตมีสมาธิในระดับหนึ่ง ก้าวไปเจริญภาวนาได้
มีสติ ยับยั้ง ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เข้าใจในบุญ
แสวงหาปัญญาธรรม เพื่อจะได้เข้าใจโลก เข้าใจธรรม ไม่โง่ ไม่หลง ไม่ว่าบุญจะส่ง หรือกรรมเก่าจะบัง
ก็ไม่มี”โง่” อีกต่อไป
หลวงปู่สุข วัดมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท
|