Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

สังขารเป็นทุกข์

อังคาร 27 ธ.ค. 2022 7:53 am

"... คนเราถ้าไม่มีคำสัตย์คำจริง​ ไม่มีสิ่ง
บังคับตนเอง​ มันดีไม่ได้นะมนุษย์เรา​ ..."

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน
[วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี]






".ธรรมของพระพุทธเจ้ามิใช่ธรรมลูบคลำและหลอกลวง ถ้าใครเชื่อตามเหตุผลที่ประทานไว้และปักใจลงปฏิบัติตามแบบเอาชีวิตชีวาเข้าแลก ไม่เป็นห่วงเสียดายว่าธรรมจะพาไปล่มจมป่นปี้ มีแต่ตั้งหน้าปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เคยเป็นข้าศึกทำการกีดขวางใจ มีความกลัวเป็นต้น ผู้นั้นจะถึงฝั่งแห่งความเกษมในไม่ช้า การฝึกฝนทรมานตนด้วยธรรมนี่แลคือทางพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวไม่เป็นอื่น."

ธรรมโอวาท
พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)
ที่มา: หนังสือปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ





"อย่ามองกันในแง่ร้าย ให้มองกันในด้านเหตุผล
และเมตตาต่อกันเสมอ เพราะคนเรามีความรู้
และอัธยาศัยใจคอไม่เหมือนกัน

ผู้มีความรู้มาก ก็ดี มีความรู้น้อย ก็ดี ผู้โง่ ผู้ฉลาด
มีสับสน ปนกันไป ผู้หยาบมี ละเอียดมี ให้ต่างคน
ต่างระมัดระวัง สิ่งใดมีอยู่ในตัวเรา ยิ่งสิ่งใดเป็นภัย
ต่อหมู่เพื่อนด้วยแล้ว ให้ระมัดระวัง และกำจัดให้ได้
อย่าหวงไว้เผาตัวเอง และหมู่คณะ

และอย่าแสดงออกมาเป็นอันขาด ซึ่งเป็นการขายตัว
อย่างเลวร้ายที่สุด ให้อภัยไม่ได้เลย นี่แหละคือ
หลักการปกครอง ของการอยู่ร่วมกันเป็นอย่างนี้
จึงต้องได้ระมัดระวังเสมอ ประมาทไม่ได้ตลอดไป"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







#สิ่งที่ล่วงไปคือสังขาร

วันนี้เป็นวันของใคร พรุ่งนี้เป็นวันของใคร ขณะนี้เป็นเวลาของท่านผู้ใด มีแต่ล่วงไปๆ..

สิ่งที่ล่วงไปก็คือสังขาร สิ่งที่ไม่ล่วงไปก็คือทุกข์ เพราะล่วงไปหาระหว่างมิได้ ก็ทุกข์หาระหว่างมิได้เหมือนกัน​

" สังขารา ปรมา ทุกขา " สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง​ ล่วงไปอย่างยิ่งก็เป็นทุกข์อย่างยิ่ง หาระหว่างมิได้...

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต







#มนุษย์เรานี้ก็ต้องกินขี้กันทั้งสิ้น #พิจารณาอสุภะ

ในระหว่างพรรษาที่หนึ่งขณะองค์หลวงปู่จวนท่านนั่งฟังเทศน์ จิตของท่านสงบลง เกิดภาพนิมิตขึ้นในจิต ปรากฏร่างของท่านเน่าเปื่อยเป็นอสุภะ เห็นขาของตัวเองเน่าเปื่อย มีน้ำเหลืองไหล เหมือนมองดูด้วยตาเนื้อ ท่านอาจารย์จึงได้พิจารณาอสุภะต่อไปเป็นประจำ

ในพรรษานี้เกิดภาพนิมิตแปลก ๆ ขณะกำลังทำความเพียรเสมอ วันหนึ่งก่อนจิตจะรวม ได้เกิดภาพนิมิตขึ้นว่า มีแม่ไก่ลายมาจิกกินอุจจาระอยู่ตรงหน้า

ท่านจึงได้กำหนดจิตถามว่า จิกกินอะไร

แม่ไก่ตอบว่า จิกกินอุจจาระ

แล้วถามว่า แม่ไก่เป็นใคร

ก็ตอบว่า เป็นเทวดา

ท่านจึงกำหนดจิตถามต่อไปว่า เทวดาทำไมกินอุจจาระ

แม่ไก่ตอบว่า มนุษย์เราทุกชาติทุกภาษาต้องกินอุจจาระกันทั้งนั้น

ท่านจึงน้อมเอานิมิตนั้นมาพิจารณา ก็เห็นว่า มนุษย์เรานี้ก็ต้องกินขี้กันทั้งสิ้น จึงทำให้เกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่งในพรรษานั้น

อยู่มาวันหนึ่งหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว ก่อนจะขึ้นไปบนกุฏิเพื่อเก็บเครื่องบริขาร ท่านมองไปบนหน้าจั่ว ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนุ่งห่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลาย ๆ เหมือนแม่ไก่ที่เคยปรากฏในนิมิต ยืนถือตะกร้าหมากอยู่บนหน้าจั่ว มองดูเป็นหญิงที่มีรูปร่างสวยงามมาก ใจหนึ่งก็บอกว่าเป็นเทวดา ท่านก็ไม่สนใจเก็บเครื่องบริขารต่อไปเรื่อย ๆ

ครั้งที่สองหันไปมอง ก็ยังเห็นยืนอยู่ที่เก่า ท่านก็เก็บเครื่องบริขารของตนให้เรียบร้อย

ครั้งที่สามมองดูใหม่รูปที่ปรากฏนั้นหายไปแล้ว ขณะนั้นจิตของท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่ละหนอ...พวกที่ภาวนาแล้วเห็นภาพนิมิตต่าง ๆ มาปรากฏก็เข้าใจว่าตนได้ญาณ บรรลุมรรคผลทำให้เกิดหลงงมงาย ผลที่สุดก็เสื่อมไปไม่ได้ประโยชน์อะไรจากธรรมะ

ออกพรรษาแล้ว โยมมารดาซึ่งบวชเป็นชีได้ลาสิกขา กลับไปอยู่บ้านกับลูกหลาน เสร็จกิจแล้วท่านปรารถนาจะออกเดินธุดงค์ จึงหาเพื่อนไปด้วย เป็นสามเณรองค์หนึ่ง ออกเดินจากวัด จากอำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี จะเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม เดินทางผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ใช้เวลาธุดงค์ถึง ๗ วัน ๗ คืน จึงถึงพระธาตุพนม หลังจากนมัสการพระธาตุพนมแล้ว ได้เดินทางต่อไปเมืองเว หรือเมืองเรณูนคร พักอยู่ประมาณ ๒ เดือน จึงเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี

ขณะเดินทางกลับ ท่านกลับองค์เดียว เณรไม่ได้กลับด้วย ได้เดินจากเรณูนคร ผ่านพ้นดงมะอี่ เขตอำเภอเลิงนกทา ระหว่างบ้านไร่กับบ้านหนองยางต่อกัน ก็ได้กลิ่นเหม็นที่กลางดง ท่านจึงได้เดินสำรวจดู ได้พบซากศพคนตายอยู่ข้างทาง ท่านมีความยินดีเป็นอันมาก และคิดว่าควรจะเพ่งอสุภะให้ได้ ร่างนั้นเน่าเปื่อย ตับไต ไส้พุง มีหนอนชอนไช

ท่านยืนเพ่งแล้วน้อมเข้ามาดูตัวว่า อีกหน่อยตัวเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ต่อมาก็เกิดความคิดขึ้นว่า ควรจะเผาซากศพนี้เสียให้หายอุจาดตา จึงได้ไปหากิ่งไม้เล็ก ๆ มาเตรียมจะเผา แล้วท่านจึงเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวท่านเป็นพระ จะเผาศพนี้ได้อย่างไร เพราะดินและหญ้ายังเขียวสด และในศพก็ยังมีสัตว์มีชีวิตอยู่มากมาย ถ้าเผาก็จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทำบุญจะได้บาป คิดแล้วก็ตกลงไม่เผา

ท่านได้กลับมายืนพิจารณาศพ โดยถือเป็นอสุภะต่อไป นับเวลาตั้งแต่เดินทางมาถึงเป็นเวลาเที่ยง จนกระทั่งเวลาบ่าย ๓ โมง ไม่มีความกลัวเลย และตั้งใจจะค้างคืนพิจารณาอสุภะนั้นอีกด้วย แต่ได้มีชาวบ้าน ๒ คนเดินมา ท่านจึงได้สอบถามดูได้ความว่า เจ้านายใช้ให้ชายทั้ง ๒ มาดูแลศพไว้ เพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังไม่ได้มาชันสูตรศพ ท่านจึงขอค้างคืนเพื่อพิจารณาศพ และขอชักบังสุกุลสิ่งของที่อยู่กับศพ ชายทั้งสองก็ไม่เห็นด้วย กลับนิมนต์ให้ท่านหลีกไป มิจะนั้นอาจสงสัยว่าท่านฆ่าคนตาย เมื่อชาวบ้านยืนยันปฏิเสธเช่นนั้น ท่านจึงได้ออกเดินทางต่อไป

ตกเย็น ท่านได้เดินทางถึงบ้านโพนหนามแท่ง อำเภออำนาจเจริญ ได้หยุดพักปักกลดอาบน้ำชำระร่างกาย เวลาพลบค่ำ ไหว้พระสวดมนต์ พิจารณาซากอสุภะที่เห็นเมื่อกลางวันแล้วน้อมเข้าหาตัว ปรากฏว่าจิตใจสงบ สบาย เยือกเย็นมีความสุขมาก นั่งภาวนาอยู่ตั้งแต่ปฐมยามจนถึงตี ๒ ต่อจากนั้นได้เกิดลมพายุฝนตกหนัก ท่านจึงปลดมุ้งออกพับเก็บพร้อมทั้งสังฆาฏิไว้ในบาตรปิดฝา และนั่งภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าฝนเย็น ลมเย็น จิตใจก็เย็นสบายดี ฝนตกประมาณ ๑ ชั่วโมงก็หายไป

#หลวงปู่จวน_กุลเชฏโฐ
ณ วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อ.บึงกาฬ จ. หนองคาย
วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔
ตอบกระทู้