Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ธรรมชาติของจิต

พฤหัสฯ. 13 เม.ย. 2023 5:26 am

"ปีใหม่ทั้งทีนะ ให้ตั้งใจไว้ว่า
เราจะเป็นคนใหม่ ที่ดีกว่าเก่า
คนไหนใจแคบ ก็หัดใจกว้างนะ
คนไหนไม่เคยมีศีล ก็ตั้งใจรักษาศีลไป
คนไหนไม่เคยมีความสุขสงบในใจ
ก็ฝึกให้ใจได้สุข ได้สงบบ้าง
คนไหนไม่มีจิตที่ตั้งมั่น ก็ฝึกให้มีจิตที่ตั้งมั่นบ้าง
คนไหนแยกธาตุแยกขันธ์ไม่เป็น ก็แยกให้เป็น
คนไหนแยกขันธ์ได้แล้ว ยังเห็นไตรลักษณ์ไม่เป็นนะ
ก็หัดดูขันธ์แสดงไตรลักษณ์ให้เป็น
คนไหนเป็นแล้วนะ ก็ให้มรรคให้ผลเกิดก็แล้วกันนะ"

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช






#กิเลสจะมาลงตัวเดียวคือการยอมรับ

มันเชื่อก่อน แล้วก็เชื่อว่า อยากจะให้คนอื่นยอมรับในความเชื่อของมัน คนก็เลยอวดกัน รู้อะไรก็อวดสิ่งนั้นแหละ ลองสังเกตดูสิ

มันจะมีตัวนึง คือการได้รับการยอมรับ เป็นเงื่อนไขของกิเลส ในการเกิดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน

เหมือนเกิดเป็นเด็กอย่างเงี้ย เด็กก็ต้องการ การยอมรับจากพ่อแม่ ถ้าแต่งงานก็ต้องการการยอมรับจากคนที่รัก เห็นไหม ทำทุกอย่างเพื่อให้เขายอมรับตัวเองทุกข์ไหมล่ะ “ทุกข์”

แต่พระพุทธเจ้าบอกให้ยอมรับตัวเอง อย่าไปรอการยอมรับจากผู้อื่น ต้องมาเรียนรู้ตัวเองแล้วก็ยอมรับตัวเองเสีย

คนที่ไม่เรียนรู้ตัวเองแล้วก็ไปโหยหาการยอมรับจากคนอื่น ก็เลยทุกข์

เพราะเชื่อว่าเขาจะสร้างความสุขให้เราได้เลยทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้เขายอมรับเรา ทำทุกอย่างแล้วเขาไม่ยอมรับเราก็ทุกข์อีกแล้ว เห็นไหมทุกข์จากความผิดหวัง

ปราถนาสิ่งใดก็ไม่ได้ดั่งใจ คืออยากจะได้ให้มันเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ดั่งใจ เพราะเราไปตั้งไว้ คาดหวังว่าเขาจะมาลงสิ่งเดียวกันกับเรา

ทุกคนมีต้นสายปลายเหตุของตัวเองทุกคน อย่าเข้าใจว่าคนอื่นจะเข้าใจเราทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนจะมีเหตุและผลในตัวเองทั้งหมด

แต่เหตุผลของเราก็ไม่ใช่ว่าจะถือเป็นที่ตั้งนะ เหตุผลของเราก็ไม่เอา เหตุผลของเขาก็ไม่เอา เหตุผลของใครที่เกื้อกูลประโยชน์ที่ตรงต่อความจริงเอาตรงนั้น

ทุกคนที่ฟังธรรมก็เลยมาลงที่ธรรม คนที่เปิดใจศึกษาก็มาลงตรงที่ธรรมนี่แแหละเป็นที่ตั้ง มันจะได้ไม่ทะเลาะกัน

เอาประโยชน์สูงสุดของธรรมนี่แหละว่ากัน ตรงนี้เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม ก็คือถือเอาประโยชน์ ไม่ได้เอาความเชื่อตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาความคิดเห็นของคนอื่นเป็นที่ตั้ง

แต่ใครก็ตามที่เห็นตรงต่อความจริง ก็เลยมาลงธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ทำไมจริงเหลือเกิน

ก็เลยกลายเป็นความยุติธรรม ก็คือมาหยุดตรงธรรมนั่นเอง"

#พระอาจารย์ตะวัน #ปัญญาวัฒฑโก
#สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง #ลำปาง







***ธรรมชาติ ของจิต***
จริต และ อุปนิสัย ของแต่ละบุคคล ไม่เหมือนกัน
จะเป็น ผู้รู้ ก็ดี...ผู้ไม่รู้ ก็ดี
ย่อมแสดงออกทาง กาย วาจา ตามจริต และ อุปนิสัย ของแต่ละดวงจิตที่สร้างสั่งสมมาอันยาวนาน
การปฏิบัติแรกๆ จึงให้มี "ทมะ" คือ การข่มไว้ ในอาการต่างๆ ของ กาย วาจา และ ใจ (สำรวมอินทริย์) ไว้ ให้การฝึกปฏิบัติ ง่ายต่อการ ต่อสู้กับกิเลส
ทมะ คือ การข่มไว้ สำรวมอินทริย์ไว้ จะช่วยให้ฝึก "สติ" ได้ดีมาก สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆ

*** และหมั่นสังเกตุจิตตนเองให้ดี
หากสภาวธรรมใดใด มันเกิดขึ้นกับจิต ก็ให้สังเกตุจิตดูให้ดีดี ให้รู้ว่ามันเป็นเพียงสภาวธรรม มันเกิดมันก็ดับไป หรือ
หากสภาวธรรม มันถึงช่วงเบื่อหน่าย ให้ดูจิตดีดี มันเบื่อหน่ายแบบทางโลก หรือ ทางธรรม
เมื่อมั่นใจ มันเบื่อหน่ายแบบทางธรรม เพราะจิตเริ่มรู้เข้าใจในธรรม จนเกิดสภาวจิตต่างๆขึ้น เช่น ไม่อยากพูด ไม่อยากคุย แม้ทางโลก รึทางธรรม รึเฉยๆ รึไม่อยากใดใดทั้งนั้น ที่เกิดขึ้นกับจิต
ให้เฝ้าดูจิตมันดีดี อย่าหลงคิดว่า มันรู้ธรรมและปล่อยวางละ ดูมันให้เห็น จนรู้ว่า มันเป็นเรื่องของจิต หรือเป็นเรื่องของสภาวธรรมของจิตที่เป็นเพียง "ผู้รู้" ที่รู้ในสิ่งที่ "ถูกรู้" เท่านั้น อย่าไปหลงมัน มันจะยึดโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นชัดเช่นนี้ มันจะอยู่เป็นปกติแห่งการรู้ และ ปกติโดยธรรมชาติของจิตจริงๆ และ วางจริง...เอวังฯ

.....หลวงปู่อุดร (พลศีล) โชติปัญโญ
ตอบกระทู้