Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความพยายาม

เสาร์ 20 ม.ค. 2024 5:22 am

. #ญาติแท้_มิตรแท้..!!

"... จะรู้ได้แน่ ก็ในยามยาก
... ในยามจน ในยามเจ็บ จะรู้ว่า
... ใครจริงใจ.. หรือไม่จริงใจ ..."
-----------------------------------
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่








“กุญแจที่จะไขประตูพระนิพพานนี้มีอยู่ ๓ ดอก คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ขอให้พวกเราพยายามทำให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้นในจิตใจ “เราจะได้ไปนั่งนอนเทวโลก พรหมโลกได้นานๆ แล้วจะได้เลยไปนิพพานด้วย” ทานมัยนี้ยังไม่เที่ยงหรอก เมื่อมีศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อไรเมื่อนั้นแหละจึงชื่อว่า“เป็นผู้เที่ยงตรงต่อเทวโลก พรหมโลก” ดูแต่เทวโลกอายุของเขา “เก้าโกฎิหกล้านปี” พิจารณาดูเถอะมากขนาดไหน โลกมนุษย์ของเราอย่างดีก็เพียงร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง คนเรามีอายุร้อยกว่าปี เป็นผู้ใหญ่ได้ครั้งเดียว แต่เป็นเด็กได้สองครั้ง เอาไหนล่ะโยม “

หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก





"สติ...กับความรู้ถึงพร้อม
ธรรม ๒ อย่างนี้เป็นของคู่กัน
พอเราระลึกขึ้นแล้ว สัมปชัญญะรู้ว่า
ถูก หรือผิด รู้พร้อมๆ จิต

รู้พร้อมนี่แหละ อบรมดีแล้ว
มันจะมีกำลังความสามารถ สามารถทุกสิ่ง
ทุกอย่าง สามารถแทงตลอดได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
จะทำอะไรก็ดี จิต ดีเท่ากันมันสามารถ
อย่างไฟไหม้บ้าน มันมีกำลัง
จิตของเราแม้นอบรมดีแล้ว มันมีกำลัง
มีกำลังที่สุดทีเดียว สามารถจะหอบเอาของ
หนักนั่นออกจากไฟได้
ดับไฟได้แล้ว ไฟดับแล้วจะหาม ๓-๔ คน
ยังหามไม่ไหวเลย
กำลังจิตเท่านั้นน่ะแหละ เพราะเหตุนั้น

เราหัดดีแล้ว ก็เหาะได้
เหาะได้เหมือนพระโมคคัลลาเจ้า
พวกเราสงสัย สงสัยว่าเหาะขึ้นก็คือ
นั่งอยู่นี่แหละ แต่จิตนั้นไปสวรรค์
ไปนรก ไปนั่นๆ ละ อันนั้นก็แม่น
แต่ว่าไปได้จริง ๆ
หอบเอากายไปได้จริง ๆ คิดดูเถอะ
นั่นแหละให้พากันอบรมจิต."

หลวงปู่ขาว อนาลโย







ทาน ศีล ภาวนา เป็นรากเหง้าของความเป็นมนุษย์และเป็นรากเหง้าของพระศาสนาที่มนุษย์ต้องคอยสั่งสมให้มาอยู่ในนิสัย

โอวาทธรรม:หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







#หลวงปู่แหวนสอนให้มีปัญญารู้ทุกข์ละเอียดขึ้น

เมื่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป พำนักอยู่ที่ดอยแม่ปั๋ง ขณะที่นั่งสมาธิวันแรก พระอาจารย์เปลี่ยนเห็นนิมิตหลวงปู่แหวนห่มจีวรแบบคลุมมายืนดูท่านอยู่ข้างล่าง ห่างกุฏิประมาณ ๒๕ เมตร นานประมาณ ๓๐ นาที จนจิตสงบดีแล้วหลวงปู่จึงหายไป หลวงปู่แหวนมาปรากฏในนิมิตพระอาจารย์เปลี่ยนทุกวัน จนถึงวันที่ ๗ ได้นิมิตหลวงปู่แหวนห่มคลุมแล้วก็หายไป ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง กลายเป็นชุดขาวสวยงาม เมื่อมองไปที่ร่างของหลวงปู่แหวนก็เห็นกระดูกทุกชิ้น คล้ายกับภาพในฟิล์มเอ็กซเรย์ กระดูกทุกชิ้นในร่างกายเป็นแก้ว หลวงปู่ยืนยิ้มอยู่ประมาณ ๓๐ นาที จึงเดินจากไปบางครั้งหลวงปู่แหวนจะเดินมาหา ในขณะพระอาจารย์เปลี่ยนเดินจงกรมอยู่ พระอาจารย์เห็นก็จะหยุดเดิน แล้วยกมือไหว้ หากหลวงปู่จะเทศน์ท่านจะไปนั่งคุกเข่าอยู่ หลวงปู่จะยืนเทศน์

"ให้ตั้งใจจริงๆ อยู่ด้วยกันมีความสงบ ไม่มีเสียงรบกวนให้หนวกหู"

วันหนึ่งพระอาจารย์เปลี่ยนได้ตามหลวงปู่แหวนขึ้นไปบนกุฏิ และได้ถามหลวงปู่แหวนถึงการทำนิมิตให้กระดูกใสเป็นแก้วทั้งตัว หลวงปู่ตอบว่า

"นั่นคือเมตตา เมตตาอย่างเต็มเปี่ยม เมตตาเป็นของขาวของสะอาด ถ้าใครไม่มีเมตตาสูง จะเห็นไม่ขาวอย่างนั้น"

พระอาจารย์เปลี่ยนขอให้หลวงปู่แหวนมีความเมตตาสั่งสอนตักเตือนว่ากล่าวท่าน หากท่านปฏิบัติไม่เป็นที่พอใจ หลวงปู่ก็บอกว่าจะไปว่ากล่าวให้ และได้ย้ำให้พระอาจารย์เปลี่ยนฟังว่า "เอามันให้ได้ มรรค ผล นิพพาน มันยังมีอยู่ ไม่ได้ไปไหน ให้ทำความสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ ทำความสะอาดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ให้มันสะอาด รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ เป็นธรรมอยู่ในโลก ตา หู ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นธรรม ต้องล้างให้มันสะอาด ล้างให้หมดมลทิน อายตนะ พวกนี้ละที่มันทำให้เราเกิดอยู่ เกิดวนเวียนอยู่ในวัฏจักร วัฏวน มันอยู่ในนั้น อยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มันติดอยู่ที่ตา ให้ล้างตา ตามันมีแล้วดูไม่เป็น มีหูแล้วมันฟังไม่เป็น จมูกมีแล้วมันดมไม่เป็น มีลิ้นแล้วกินไม่เป็น มันไปติดรสอยู่ที่ไหน แล้วเวลานั่งนอน มันไปติดกุฏิ มันติดอยู่อย่างนั้น มันละไม่เป็น ใจเรามันสัมผัสอารมณ์ มันเกิดขึ้น มันทุกข์มันสุข เราไม่รู้มัน ไม่รู้จักละ ไม่รู้จักทิ้ง"

"เมื่อไม่รู้จักละ มันก็วน ก็เกิดอีก ต้องทำความมืดมัวเมาให้สว่าง อย่าไปหลงโลกก็เป็นเรื่องของโลก เสียงก็เป็นเรื่องของเสียง มันดังอยู่ในโลก เครื่องสัมผัสทุกวันนี้ มันก็มีอยู่ในโลก มันจะไปไหน เวลาร้อนมันก็ร้อน เวลาเจ็บป่วยมันก็อยู่กับเรา เวลามันคันมันก็คันอยู่กับเราอยู่อย่างนี้ มันหนาวก็ต้องหนาวห่มผ้าอยู่อย่างนี้ มันอยู่ในโลก เราจะไปติดมันทำไม ต้องละมันให้ได้นะ ถ้าละมันไม่ได้มันก็จะเกิดอีก มรรค ผล นิพพาน ยังเต็มบริบูรณ์ อยู่ตลอดเวลา ไม่เสื่อมหายไปไหน ต้องเอาจริงๆ จังๆ"

หลวงปู่แหวนเป็นพระที่ไม่เก็บ ไม่คิดสะสม เมื่อมีผู้มาถวายปัจจัย ท่านจะให้เขาเหน็บเอาไว้ใต้เสื่อ แม้ที่เขาถวายให้พระอาจารย์เปลี่ยน ท่านก็ให้เขาเหน็บเอาไว้ใต้เสื่อเช่นเดียวกัน ท่านไม่ต้องการให้พระไปยุ่งกับเงิน ใครจะเก็บหรือทำอะไร ท่านไม่เคยไปรับรู้หรือเสียดายเรื่องเงิน เมื่อพระอาจารย์เปลี่ยนไปอยู่กับหลวงปู่แหวนและไม่เคยยุ่งกับเรื่องเงิน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงทำให้หลวงปู่เอ็นดูตัวท่านมาก
ตลอดเวลาที่อยู่กับหลวงปู่แหวนท่านสอนให้ละเพียงอย่างเดียว

ภายหลังหลวงปู่แหวนเจ็บป่วย พระอาจารย์ไปดูแลและถามอาการ เมื่อหลวงปู่ตอบว่า "สังขาร มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีไข้ มีป่วย มีทุกข์อย่างนี้เป็นธรรมดา ท่านต้องดูเอาเอง เวลาผมเจ็บไข้ ผมแก่ตัว ท่านยังหนุ่มอยู่" หลวงปู่จะสอนให้ดูธรรมะ จากการเจ็บป่วยของท่าน

การมาปฏิบัติธรรมคราวนี้ทำให้พระอาจารย์เปลี่ยนมองเห็นทุกข์ชัดขึ้น เห็นความแตกดับ เห็นว่าทุกข์เป็นอย่างไร ได้มีปัญญารู้ทุกข์ละเอียดขึ้นกว่าเดิม พระอาจารย์เปลี่ยน มีโอกาสปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่แหวนประมาณ ๔ เดือน จนกระทั่งพระอาจารย์หนูกลับภาคอีสาน พระอาจารย์เปลี่ยนจึงจากดอยแม่ปั๋ง และธุดงค์ต่อไปปฏิบัติที่ถ้ำปากเพียง แล้วกลับมาหาหลวงปู่ตื้อ แล้วธุดงค์ต่อไปยังบ้านสะสางนอกและบ้านผาเด่น จึงกลับบ้านปง

คัดจากบางส่วนใน :
ประวัติและปฎิปทาพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






“ธรรมชาติของธรรมนั้น ปฏิบัติผู้บำเพ็ญเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านไม่เคยลดละในการปฏิบัติธรรมเพราะการปฏิบัติธรรมที่เรากระทำอยู่เรื่อยๆ เป็นนิจ โดยไม่หยุดยั้งผลย่อมเกิดขึ้นได้ทุกครั้งไปและจะสืบเนื่องกันไม่ขาดระยะ ตราบเท่าที่เราไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรมนั้น เราเป็นฆราวาส ต้องพยายามทำคุณงามความดี ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนาให้เจริญแล้ว ปัญญาก็ย่อมเกิดตามมาเอง”

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ






"...คำว่า ” ตาย ” ไปนี้มันธาตุดินที่มันมาประชุมกัน
อยู่นี้ แตกไปดับไปต่างหาก ส่วนจิตใจผู้รู้อยู่ในตัวในใจเราทุกคนนั่น มันไม่ได้แตกไม่ได้ดับ

ถ้าใจนี้ภาวนาดี รู้จักหน้าตากิเลส ไม่ทำตามอำนาจกิเลส ไม่พูดไปตามอำนาจกิเลส ไม่คิดไปตามอำนาจกิเลส เรียกว่าภาวนาแก้ไขเรื่อยไปจนจิตใจของเรา
มีความสงบตั้งมั่นรู้แจ้งเห็นจริงในโลกนี้ว่า

รูปนามกายใจ ตัวตนสัตว์บุคคลนี้
มีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
เขาเป็นอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะใจไม่สงบ
จึงจำเป็นต้องทำใจของเราให้มีความสงบตั้งมั่น
เป็นดวงหนึ่งดวงเดียวอยู่ในตัวในใจให้ได้

เมื่อจิตดวงผู้รู้อยู่ในตัวนี้และสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาได้ดีแล้วจึงจะได้ปัญญาวิชชาความรู้เท่าทัน
ในรูปนามกายใจตัวตนสัตว์บุคคล
จนกระทั่งไม่ว่าจะมองเห็นอะไรด้วยสายตา
ก็เห็นสิ่งนั้นว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาอยู่ทั้งนั้น
หูได้ฟังเสียงเพราะไม่เพราะอะไรมันก็แสดงความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาอยู่อย่างนี้

ตลอดโลกนี้ทั้งผืนแผ่นดินท้องฟ้าอากาศ
ดวงอาทิตย์พระจันทร์ดวงดาวทั้งหลาย
ก็ตกอยู่ในความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
นานไปมันก็เปลี่ยนแปลงไป มีการเกิดได้มันก็มีการดับได้

จิตใจก็ไม่ไปหลงไหลไปยึดมั่นถือมั่นในที่ทั้งปวง
แก้ไขจิตใจของตัวเองให้มาสงบตั้งมั่นอยู่ในกายในจิต จนได้ปัญญาวิชชาความรู้ความฉลาดความสามารถอาจหาญตัดบ่วงห่วงอาลัยต่างๆ ไม่ให้มาผูกมัดรัดรึงอยู่ในหัวใจของเรา..."

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







… "เหลี่ยมคมนั้นมันคมอย่างไร ยโส คือ เหลี่ยมยศ เกียรติ เมื่อใครได้ไปประดับตัวเข้าแล้ว มันทำให้คนนั้นพองตัวโตมากกว่าตัวจริง ไม่ต้องดูอื่นไกลดอก อย่างพระสงฆ์เรานี่แหละ เมื่อยังเป็นพระเล็กๆ น้อยๆ ธรรมดาอยู่ก็เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก คล่องแคล่ว ไปตามถนนหนทาง ซอกเล็กซอกน้อยที่ไหนๆ ก็เดินไปได้ตามสบายใจ

แต่พอเขาเอายศมาสวมเข้าหน่อยเท่านั้น ตัวชักจะใหญ่ผิดธรรมดาเสียแล้ว ถนนที่เคยเดินได้ก็แคบไป จะเดินไปไหนก็ไม่สะดวก ขาก็ใหญ่ก้าวไม่ออก เท่าก็หนักยกไม่ขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนไปดอก ที่ไม่เป็นดังนี้ก็มี

หรือฆราวาสบางคนพอไปโดนเหลี่ยมยศนี้เข้าตัวก็พองใหญ่ขึ้นมา จนไปไหนเกือบไม่รอด มือก็หนักจนจะยกไหว้พระก็ไม่ค่อยขึ้น ขาก็ใหญ่เดินไปวัดไปวาฟังเทศน์รักษาศีล ก็มาไม่ได้ เพราะกลัวเหลี่ยมจะเสีย คมจะร่อย นี่ก็เป็นเครื่องประหารความดีของคนเหลี่ยม"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร







คำถาม : การภาวนาเข้าไปเห็นจิตผู้รู้นั้น ทำอย่างไรครับ?

หลวงปู่ : ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ

คำถาม : ดูจิตแล้วเห็นปรุงแต่งเรื่องราวมากมาย ไม่ชนะ จะตามดับมัน?

หลวงปู่ : ต้องลำบากไปตามดับมันทำไม ดูแต่จิตอย่างเดียว มันก็ดับไปเอง มันออกไปปรุงแต่งข้างนอก มันเกิดจากต้นตอที่จิตทั้งนั้น หาแต่ต้นตอให้พบ ก็จะรู้แจ้งหมด อะไรก็ไปจากนี้ อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่นี้ทั้งหมด (ท่านพูดพลางเอาหัวแม่มือชี้ที่หน้าอก) สิ่งที่ได้รู้ได้เห็น แล้วอยากรู้อยากเห็นอีก นั่นแหละคือตัวกิเลส

คำถาม : เมื่อถึงโลกุตตระแล้ว มีเมตตา กรุณา อะไรไหมครับ?

หลวงปู่ : ไม่มีหรอกความเมตตากรุณา จิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ในโลกทั้งหมด จิตสูงสุดหลุดพ้น อยู่เหนือโลกทั้งหมด

คำถาม : ไม่มีเมตตาหรือครับ?

หลวงปู่ : มีก็ไม่ว่า ไม่มีก็ไม่ว่า เลิกพูด เลิกว่า เลิกอะไรๆ ทั้งหมด มันเป็นเพียงคำพูดแท้ๆ ให้ดูจิตอย่างเดียวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว เป็นแต่เพียงคำพูด

"สลัดทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นมายาออกเสีย ตัวผู้ที่รู้ และเข้าใจอันนี้แหละคือตัวพุทธะ"

หมดภารกิจ หมดทุกอย่าง ที่จะทำอะไรต่อไปอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่นี่จบอยู่ที่นี่ ไม่มียาวต่อไปอีก ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีคำพูด มีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่า... และบริสุทธิ์

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล








"ถาม : ผมยังคงมีความนึกคิดต่างๆ มากมาย
จิตของผมฟุ้งซ่านมาก ทั้งๆ ที่ผมพยายาม
จะมีสติอยู่ ?

หลวงพ่อชา : อย่าวิตกในเรื่องนี้เลยพยายาม
รักษาจิตของท่าน ให้อยู่กับปัจจุบัน
เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม
จงเฝ้าดูมัน และ ปล่อยวาง
แล้วจิตก็จะเข้าถึงสภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน

ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดี และ ความชั่ว
ร้อน และ หนาว ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไรๆ ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

จงรู้จักตัวเอง
ด้วยการปฏิบัติตน เป็นปกติตามธรรมชาติ
และ เฝ้าดู
เมื่อเกิดสงสัย จงเฝ้าดู (ความสงสัย)
มันเกิดขึ้น และ ดับไป มันก็ง่ายๆ อย่ายึดมั่นถือมั่น
กับ สิ่งใดทั้งสิ้น

เหมือนกับว่า ท่านกำลังเดินไปตามถนน
บางขณะ ท่านจะพบสิ่งกีดขวางอยู่ เมื่อท่าน
เกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมัน
และ เอาชนะมัน โดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย
อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวาง ที่ท่านได้ผ่านมา
แล้ว

อย่าวิตกกังวล กับ สิ่งที่ยังไม่ได้พบ
จงอยู่...กับปัจจุบัน
ไม่ว่าท่านจะผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้
ในที่สุด จิตก็จะบรรลุถึงความสมดุล
ตามธรรมชาติของจิต

และ...เมื่อนั้น
การปฏิบัติก็จะเป็นเอง โดยอัตโนมัติ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้น และ
ดับไปในตัวของมันเอง"

หลวงพ่อชา สุภัทโท







ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
#ดีที่สุดเวลาจะเป็นจะตาย #ให้เจริญสติ
ถ้าเราเจริญสติปัฏฐานเป็น สบาย
กำหนดรู้กายรู้ใจตัวเอง

เพราะว่าจะให้ไปนึกถึงบุญ มันนึกยากอยู่
ตอนดี ๆ อยู่เรายังนึกไม่ค่อยออก
จำได้ไหม เดือนที่แล้วปีที่แล้วไปทำบุญที่ไหน
แค่เมื่อวานบางทียังจำไม่ได้
ยิ่งพอป่วย นึกไม่ออกแล้วบุญ

แต่ #การเจริญสติมันไม่ต้องนึก
มันไม่ต้องนึก มันไม่ได้ต้องใช้สัญญาอะไร
#ใช้สติที่รับรู้ในปัจจุบัน
#รู้กายใจในปัจจุบัน

ลมหายใจมันมีอยู่แล้ว
มันรู้สึกอยู่แล้ว มันมีหายใจอยู่
ก็มีสติรู้ หายใจเข้าอยู่ หายใจออกอยู่
อย่างนี้มันไม่ต้องนึกอะไร
มันใช้ระลึกรู้

หรือว่ากายเรา
มีกายอยู่ ก็พิจารณาดูกายสังขารร่างกาย
ร่างกายนี้มันป่วย
เราก็พิจารณามันป่วยมันเจ็บ
มันบังคับไม่ได้
มันจะต้องเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
ก็ลองยอมรับกับมัน
เราฝืนขืนมันไม่ได้
ก็พิจารณาสังขารเป็นทุกข์
เพราะเกิดมาแท้ ๆ
จิตใจก็จะได้เกิดธรรมสังเวช

พระพุทธเจ้าตรัส
เมื่อบุคคลมาพิจารณาเห็นว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
เขาย่อมเกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์
เมื่อเบื่อหน่ายก็จะทำให้คลายกำหนัด
เมื่อคลายกำหนัด จิตก็จะหลุดพ้น
นั่นเป็นทางแห่งพระนิพพาน

มันต้องพิจารณาเห็นสังขารเป็นของไม่เที่ยง
เมื่อบุคคลมาพิจารณาเห็นว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่าย
เห็นทุกข์ ก็ต้องวางเฉยต่อทุกข์
เมื่อเบื่อหน่ายก็จะคลายกำหนด
คลายกำหนัด จิตก็หลุดพ้น
นี่เป็นทางแห่งพระนิพพาน

หรือเมื่อบุคคลมาพิจารณาว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ทั้งกายทั้งใจ สังขารร่างกายจิตใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของมันไปตามสภาพ
เราก็บังคับมันไม่ได้
จะให้มันตั้งอยู่คงอยู่ มันก็ไม่ยอมฟัง
จะให้มันไม่แก่ มันก็แก่
จะไม่ให้มันเจ็บ มันก็เจ็บ
จะไม่ให้มันตาย มันก็ตาย

เราพิจารณาให้เห็นว่าสังขารบังคับไม่ได้
ยอมรับว่าบังคับไม่ได้
เกิดขึ้นหมดไป ปรากฏหมดไป
เป็นปัจจัยต่อกัน

พอมีสติ ระลึกพิจารณาสั้น ๆ เป็นปัจจุบันชั่วขณะ
มีรู้ มีละ ผสมกลมกลืนกันไป
นอนอยู่ก็พิจารณาได้
พิจารณาธรรมทั้งภายนอกภายใน
มีญาณหยั่งเห็นมันหมดไปสิ้นไป
แล้วใจก็ปล่อยวาง
สิ่งใดจะเกิด ก็แล้วแต่เขาจะเกิด
สิ่งใดจะดับ ก็แล้วแต่เขาจะดับ
หยุดรู้ ยอมรับว่าบังคับไม่ได้
ทำใจ ยอมลงปลงได้
นั่นแหละจิตก็จะเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น
นั่นเป็นทางแห่งพระนิพพาน

#คนที่ฝึกกรรมฐานไว้ดีก็จะมีที่พึ่งให้ตัวเอง
ยามป่วยยามเจ็บ ยามจะเป็นจะตาย
คนอื่นมาช่วยเราไม่ได้
ลูกหลาน ทรัพย์ ทุกอย่าง
ถึงเวลา หมอก็สุดวิสัยใช่ไหม
จะตายจริง ๆ หมอก็ช่วยไม่ได้
หมอเองก็ยังต้องตายเหมือนกัน
หมอรักษาโรค หมอก็ป่วย ป่วยได้เหมือนกัน

ที่สุดแล้วก็คือสังขารนี้ต้องแตกดับ
เราจะต้องเตรียมความพร้อม
เผชิญกับฉากแห่งความตายอย่างเป็นผู้มีสติ มีที่พึ่ง

ธรรมบรรยาย มรณานุสติ
(ธรรมสุปฏิปันโน ๘)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา








#โรงงานผลิตบาป
“เวลาสร้างกรรมเราสร้างตามอำนาจกิเลส แต่เวลาได้รับผลกิเลสไม่รับ เราผู้ทำตามอำนาจของกิเลสนั้นแลเป็นผู้รับผล”

************

สำหรับผู้ปฏิบัติมีอยู่ที่ตรงไหนบาป อะไรเป็นสถานที่หรือเป็นที่บรรจุของบาป เป็นที่สร้างบาปคืออะไร

#ใจเป็นสถานที่เป็นโรงงานสร้างบาปผลิตบาปขึ้นมา

เพราะกิเลสเป็นผู้บังคับให้สร้างบาปขึ้นมา ท่านบอกว่า “กิเลสเป็นสาเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วย่อมได้รับผลของกรรม”

ท่านจึงว่า #กิเลสวิบาก ได้รับผลของกรรม วกเวียนกันไปมาอยู่เช่นนี้ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีต้นไม่มีปลาย #เหมือนมดแดงไต่ขอบด้งนั้นแล ไต่กลับไปวนไปเวียนมาอยู่ในขอบด้งขอบเดียว สำคัญว่าเป็นของใหม่ไปเรื่อย ๆ หาทางออกไม่ได้

#ที่สร้างบาปก็คือใจ เมื่อสร้างบาปแล้วความทุกข์ก็เกิดขึ้นที่ใจ ที่สร้างบาปก็คือใจ

#ที่สร้างบุญก็คือใจ เมื่อสร้างบุญได้มากน้อยความสุขก็ปรากฏขึ้นที่ใจ

จิตใจมีความละเอียดมากน้อยเพียงไร การเลื่อนชั้นภูมิของตนก็ย่อมเลื่อนไปตามลำดับลำดาแห่งคุณสมบัติของใจที่จะก้าวเข้าสู่ภูมินั้น ๆ

เมื่อจะย้ายออกจากภพชาติที่เป็นอยู่นี้ ไปสู่ภพชาติหรือสถานที่อื่น เรียกว่า #ปรโลก ก็ต้องก้าวออกไปด้วยกำลังแห่งบุญแห่งบาปที่บรรจุไว้ภายในจิตใจได้มากน้อยเพียงไร เมื่อกำลังทางชั่วมีมากก็ผลักดันให้ไปเกิดในสถานที่ต่ำช้าเลวทราม เช่น นรก ตลอดถึงโลกันตรนรก เป็นต้น

อะไรพาให้ไปที่นี่ ก็ผู้นี้แหละผู้ที่บรรจุความชั่วช้าลามกให้มีพลังเต็มที่ ผลักไสจิตใจให้ไปสู่แดนนรกที่ไม่พึงปรารถนานั้น ไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้ไปบังคับกดขี่ข่มเหงให้ไปสู่นรกขุมนั้นๆ

แต่เป็นเพราะความคึกความคะนองความอยาก อันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาทั้งมวล #เป็นผู้พาให้สร้างบาปสร้างกรรม โดยไม่คำนึงถึงผลผิดผลถูกดีชั่วประการใด

บทเวลาได้รับผล #กิเลสมันไม่มารับ เราผู้ทำตามอำนาจของกิเลสนั้นแลเป็นผู้รับผล

แล้วทีนี้จะลบล้างได้อย่างไร เมื่อเข้าถึงตัวผลแล้วลบล้างไม่ได้ สุขทุกข์มากน้อยเพียงไรจนถึงขั้นมหันตทุกข์ เราก็จำต้องยอมรับให้เต็มที่เต็มฐาน จะตายก็ไม่ตายเพราะจิตไม่เคยตาย หากทุกข์เต็มที่เต็มฐานเพราะอำนาจของกรรมมากน้อยที่พาให้ทุกข์อยู่นั้นแล จนกว่าจะผ่านพ้นนั้นไปได้

#เพราะคำว่าบาปก็เป็นของไม่เที่ยง บุญก็ยังเป็นของไม่เที่ยงเหมือนกัน ย่อมมีทางสิ้นสุดไปได้ มีหมดไปได้มีเบาบางไปได้เหมือนอย่างคนพ้นโทษ นอกจากก้าวเข้าสู่นิพพานเสียอย่างเดียวเท่านั้น

อันนั้นคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง ทีนี้การสร้างบุญก็เทียบกันได้กับการสร้างบาป สร้างบุญนี้คือธรรมเป็นผู้บงการ ธรรมเป็นผู้ผลักดันให้สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ใช่กิเลสพาให้สร้าง

เพราะฉะนั้นผลจึงต้องต่างกัน ถ้ากิเลสพาให้สร้างจะสร้างตั้งแต่สิ่งกิเลสต้องการ แต่เป็นสิ่งที่ขัดขวางธรรม เป็นสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรม แล้วก็ย้อนเข้ามาเป็นข้าศึกต่อตนทั้งนั้น นี่คือกิเลสพาให้สร้างกรรมเป็นอย่างนั้น

แต่ธรรมพาให้สร้างกรรมให้สร้างแต่คุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล เช่น การให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา กิริยาอะไรก็ตามที่แสดงออกจากการกระทำที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ไม่มีการกระทบกระเทือนให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนอันเกี่ยวกับกิเลสแทรกแซงอย่างนั้น เรียกว่าธรรมพาให้สร้างบุญสร้างความดี ผลที่เกิดขึ้นจากการสร้างความดีเพราะธรรมนี้ก็ย่อมมีความสุข บุญคือความสุข อันเป็นผลเกิดขึ้นจากการสร้างความดี

และพูดมาทั้งมวลนี้ใครเป็นผู้สร้าง ก็คือใจเท่านั้นเป็นผู้บงการ เป็นโรงงานอันใหญ่โต เป็นผู้บัญชางาน ออกมาจากใจ เมื่อใจได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีแล้ว ย่อมจะระบายออกมาในทางที่ถูกที่ดี ผลก็สะท้อนย้อนกลับเข้าไปเป็นความพึงใจของจิตเสียเอง

#เพราะเราเป็นผู้ทำ ผลย่อมเกิดขึ้นกับเรา เมื่อมีภูมิอรรถภูมิธรรมควรจะก้าวเข้าสู่ขั้นภูมิสูงมากน้อยเพียงไร พลังแห่งธรรม พลังแห่งบุญแห่งกุศล ที่เกิดขึ้นจากธรรมเป็นผู้พาให้สร้างนั้นแล จะเป็นผู้ส่งเสริมให้ไปเกิดในภพนั้น ๆ คือภพอื่นภพหน้าชั้นอื่นชั้นหน้า เช่น สวรรค์ พรหมโลก ดังท่านกล่าวไว้ สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น นิพพาน เหล่านี้เป็นสถานที่อยู่ของผู้มีบุญ เพราะการสร้างบุญสร้างกุศล

บุญไม่อยู่ที่ไหน บาปไม่อยู่ที่ไหน บุญก็ดี บาปก็ดี ไม่อยู่กับดินน้ำลมไฟ ฟ้าอากาศที่ไหน ๆ ทั้งมวล ไม่มีที่สถิตอยู่ของบุญ ไม่มีที่ปรากฏอยู่ของบาปและบุญเหมือนใจ ใจจึงเป็นภาชนะรับได้ทั้งบาปและบุญ แม้ตนจะไม่ทราบว่าบาปมีบุญมีก็ตาม บุญและบาปนี้แลจะเป็นพลังผลักดันอันสำคัญ ให้สัตวโลกได้หมุนตัวเข้าไปสู่กำเนิดเกิดเป็นภพชาติต่าง ๆ จนกระทั่งถึงตกนรกหมกไหม้ จะนอกเหนือไปจากกิเลสอันเป็นผู้บงการให้ทำกรรมชั่วนี้ไม่ได้เลย แล้วผู้ที่ไปในสถานที่ดีคติที่เหมาะสมหรือที่พึงหวัง ก็ไม่นอกเหนือจากบุญเป็นพลัง ที่ได้สร้างความดีมาแล้วนั้นเลย

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด

#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ
#หลวงตาพระมหาบัวญาณสัมปันโน






"...คนที่กรรมชั่วให้ผลและเกิดมาไร้ทรัพย์อับปัญญา
ทรัพย์ก็ไม่มี ปัญญาที่จะคิดจะอ่านก็ไม่มี เกียจคร้าน
จะทำอะไรก็ทำไม่เป็นทั้งนั้น ก็อดอยากยากจนกระทั่ง
วันตาย นี่คือกรรมชั่วตามให้ผลแก่ตัวเขา เราจึงควร
เว้นกรรมชั่วให้ห่างไกล อย่าไปคิดไปทำไปพูดในทาง
ชั่วทางเสีย ถ้าเรารักษาตัวของเราได้อย่างนั้น เรายัง
เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไปเกิดที่ใดก็มีความสุข
ในภพในชาตินั้นตามสมควรที่กรรมจะให้ผล เรามีกรรม
เป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด
ไม่ใช่ว่าเราอยากจะไปเกิดที่ไหนจะไปได้อย่างสะดวก
สบาย กรรมเท่านั้นจะแบ่งปันให้ไปเกิด เกิดในสถานที่ดี
คติที่ชอบก็เพราะกรรมดีของเราส่งผลไปให้จึงไปเกิดได้
ไปเกิดในที่ชั่วในที่ไม่สบายก็ทำนองเดียวกัน

ฉะนั้น กรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรนำมาพินิจ
พิจารณาแนะสอนใจของเรา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เห็น
เรื่องการทำการพูดการคิดเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เชื่อ
เรื่องของกรรม..."

#ธรรมเทศนาเรื่อง ความจริงของชีวิต
หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร







พวกเราท่านทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เกิดมาในอัตภาพของความเป็นมนุษย์ ที่มีอาการทุกสิ่งอย่างครบสมบูรณ์ แต่ในอัตภาพในความเป็นมนุษย์นี้ เป็นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นเอง มันไม่ได้ยั่งยืน อย่างเก่งก็ไม่เกิน 100 ปี ในร้อยปีนี้ก็ไม่ทราบได้ว่า เขาจะมาเอาคืนเมื่อไหร่ เพราะธาตุขันธ์ร่างกายของเรานั้นเราเป็นเพียงผู้มาอาศัยเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นก็คืนเจ้าของเขาไป

แต่ด้วยอำนาจของโมหะความลุ่มหลงที่ครอบงำจิตใจของเรามาไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินั้น ทำให้เราไม่เข้าใจว่าร่างกายนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่งเพียงแค่เรามาอาศัยอยู่ แต่เราก็ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราเป็นของเราก็เพราะด้วยอำนาจของโมหะนั่นเอง

เมื่อเรายึดมั่นว่ามันเป็นตัวเราเป็นของของเรานั้น เราก็ไปตั้งความปรารถนาให้มันเป็นไปตามความต้องการ ต้องการให้มันเป็นไปตามที่เราไม่ต้องการ ความปรารถนาของเรานี้มันก็เกิดจากอำนาจของโมหะความลุ่มหลง จึงไปฝืนกับกระแสของความเป็นจริง เมื่อความเป็นจริงเขาแสดงตามความเป็นจริง ไม่เป็นไปตามความปรารถนาที่เราต้องการ เราจึงเป็นทุกข์ ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่กายนี้เป็นทุกข์ แต่เรานี่แหละเป็นทุกข์

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี






การทำดีต้องไม่มีพอ ต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่าเมื่อใดจะตกไปในที่มืดมิดขนาดไหน ต้องการแสงสว่างจัดเพียงใด ถ้าไม่ตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมายนัก มีแสงสว่างมากไว้ก่อน ก็ไม่ขาดทุน ไม่เสียหาย

แต่ถ้าตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมาย แสงสว่างน้อย ก็จะไม่เพียงพอจะเห็นอะไรๆ ได้ถนัดชัดเจน การมีแสงสว่างมากจะช่วยให้รอดพ้นจากการสะดุดหกล้มลงเหวลงคู หรือตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายจนถึงตายถึงเป็น

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
ตอบกระทู้