"..บุญ แปลตามศัพท์ว่า ชำระ ฟอกล้าง ท่านแสดงว่าแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ บุญที่เป็นส่วนของเหตุได้แก่ความดีต่างๆ เรียกว่าเป็นบุญ เพราะเป็นเครื่องชำระฟอกล้างความชั่ว บุญส่วนที่เป็นผลคือความสุข บุญที่เป็นส่วนเหตุ คือ ความดีเกิดจากการกระทำถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำก็ไม่เกิดเป็นบุญขึ้น การทำบุญนี้เรียกว่าบุญกิริยา จำต้องมีวัตถุ คือ สิ่งเป็นที่ตั้ง และสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ทางพุทธศาสนาแสดง โดยย่อ 3 อย่างคือ บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา บุญคือความดีทั้ง 3 ข้อ อันจะเป็นเครื่องชำระล้างความชั่ว ตลอดถึงรากเหง้าของความชั่ว.."
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
"..จงพากันรีบชำระแก้ไขให้พอเห็นช่องทางเดินของจิตเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครเพียร ใครอาจหาญ ใครอดทนในการต่อสู้กับกิเลสตัวฝืนธรรมอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นจะเจอร่มเงาแห่งความสงบเย็นใจในโลกนี้ ในบัดนี้และในใจดวงนี้ ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยวที่เจือไปด้วยสุขด้วยทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันจบสิ้นลงได้นี้ ธรรมทุกบททุกบาทที่ศาสนาสอนไว้ ล้วนเป็นธรรมรื้อขนสัตว์ผู้เชื่อฟังพระองค์ให้พ้นทุกข์ไปโดยลำดับ จนถึงขั้นธรรมที่ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายนี้อีกต่อไป.."
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร อ้างอิงที่มาหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระโดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
…การได้ดี ไม่ได้หมายถึง ได้เงินได้ทองได้ลาภได้ยศ
.การทำความดีนี้ เป็นการให้ความสุขกับใจ พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีภพชาติที่ดีขึ้น
.ไม่ได้หวังประโยชน์ ที่เกิดขึ้นในเรื่องของ ลาภยศสรรเสริญสุข คนละเรื่องกัน
. กฎแห่งกรรม ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลาภยศสรรเสริญสุข แต่เกี่ยวกับเรื่องของ “ การพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น หรือต่ำลง ”.
………………………………………… . พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะหน้ากุฏิ วันที่ 18 ตุลาคม 2565
#ผู้รู้นั่นแหละผู้หลง
"คือโดยธรรมชาติแล้ว เราจะแยกไม่ออกแม้กระทั่งว่ากายกับจิตเนี่ยมันไม่ใช่สื่งเดียวกัน ถ้าคนแยกไม่ออกก็จะเหมารวมว่า เราคือเราทั้งหมดเลย อันนี้คือพื้นฐาน
ทีเนี้ยถ้าความรู้ละเอียด เราจะเริ่มเห็นความคิด เห็นความพอใจ เห็นความไม่พอใจ เราจะเห็นว่ากายกับใจแยกออกจากกันแล้ว แล้วจะเห็นว่า ในใจเนี่ย มันยังมีตัวแยกเข้าไปอีก ในใจเนี่ยมันก็มีแยกส่วนของอารมณ์ ความพอใจความไม่พอใจ ท่านเรียกว่าเวทนาขันธ์ อารมณ์แยกออกมาอีกขันธ์หนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในความรู้ สัญญาความทรงจำก็อาศัยอยู่ในความรู้เหมือนกัน สังขารก็อาศัยอยู่ในความรู้เหมือนกัน
ความรู้เนี่ย มันจะรู้รูปนี่แหละ แล้วก็รู้อารมณ์นี่แหละ แล้วก็รู้สัญญา แล้วเราก็จะเล่นตามละครบทบาทที่มันเกิดขึ้น อารมณ์ประเภทไหนเกิดขึ้นมันก็แสดงตามนั้น คิดอะไรมันก็แสดงตามความคิด มันสั่งสมอะไรเป็นสมบัติมันก็แสดงตามสิ่งนั้น แต่ทีนี้ คนที่ถอยออกมาดูอยู่บ่อยๆ จะเริ่มแยกออกว่า เอ้า..เวทนามันเป็นขันธ์หนึ่ง อารมณ์มันเป็นกองๆหนึ่งที่เราจะไปสำคัญไม่ได้ มันเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะอาศัยรูป อาศัย สัมผัส เพราะอาศัยเสียง มันเกิดแล้วมันก็เจือจางหายไป
เอ้า ..เราไปเห็นมันเกิด แล้วมันเสื่อม แสดงว่ามันเป็นกองหนึ่งเหมือนกัน คนที่ไปเห็นประจักษ์ด้วยตนเองก็เลยไม่สำคัญในอารมณ์ ก็คือเบื่ออารมณ์ มันหลอกเราอีกแล้ว ความคิดก็เหมือนกัน เมื่อก่อนมันเห็นความคิด มันแยกไม่ออก มันก็จะเป็นความคิดไปด้วย มันคืด เราก็จะเชื่อว่าเราคิด ทุกอย่างเป็นบรรทัดฐานคือประสบการณ์ของเรานี่แหละคือความคิด
แต่เราไปเห็นโทษของมันก็คือ ความคิดของเรามันถูกบ้างผิดบ้าง คนนั้นพูดถูก คนนี้พูดถูก เราก็ผิดบ้างถูกบ้าง คนที่มีสติก็ถอยออกมาอีก อ๋อมันคิด เราไม่ได้คิด มันคิดตามประสบการณ์ของมัน แยกกายออกขันธ์หนึ่ง แยกความทรงจำออกขันธ์หนึ่ง แยกความทรงจำออกอีกขันธ์หนึ่ง
ทีนี้ความรู้นี่แหละคือตัวละเอียดที่จะไปแยก มันรู้อะไรมันก็จะเอาสิ่งนั้นแหละเป็นเรือน จนกว่าเราจะไปพลิกความรู้ คือความรู้นั้นมันดับลงไป หรือว่ามันพลิกไปอีกด้านหนึ่ง #คือความเชื่อมันพลิก มันปฏิวัตตัวเอง ซึ่งตัวนี้ละเอียดมาก มันเหนือคำพูดตัวเนี้ย ตัววิญญาณขันธ์ เป็นความรู้ที่ละเอียดมากที่มันจะไปเห็นตัวมันเอง เจอตัวเอง
รู้จักตัวเองมันก็จะพลิกทีนี้ โอ้ยตัวนี้เอง ก็คือเรานี่เอง เรานี่เอง มันไม่รู้จะเอาตัวไหนมาพูด มันก็เลยพูด เรานี่เอง ตัวนี้เอง ที่มันหลงอยู่ มันก็จะไปชนตัวนี้ ก็คือไปชนวิญญาณขันธ์
เมื่อวิญญาณมันถูกรู้ ทำไมเราพึ่งรู้ ทั้งๆที่มันอยู่กับเรามาตั้งนาน ทำไมเราเราพึ่งทารู้มาเห็น ทำไมพึ่งเจอวิญญาณขันธ์ มันก็จะแยกออก เกิดความอัศจรรย์ใจ
#ขันธ์ไม่ได้มีปัญหาหรอกแต่ไอ้ตัวรู้นี่แหละมันมีปัญหา พอเราไปเจอตัวตนจริงๆของมัน มันก็พลิกของมัน จากความรู้ มันก็เลยเป็นความหมดรู้ คือมันพลิกไปอีกฝั่งหนึ่ง
โอ๊ย..#มันหมดรู้มันจึงจะไม่ทุกข์ ก็เลยกลายเป็นผู้สังเกต กลายเป็นผู้ดูเฉยๆทีนี้ อะไรเกิดก็เกิดตามธรรมชาติ เกิดตามเหตุปัจจัย มันเป็นไปตามธรรชาติ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
แต่ตัวที่ไปขัดแย้งขัดเคืองบีบคั้นไม่มีทีนี้ เห็นตามจริง สละตามจริง รู้เฉยๆตามจริง
รู้เฉยๆ ของปุถุชน กับรู้เฉยๆของพระอริยะไม่เหมือนกันนะ รู้เฉยๆของปุถุชนก็เป็นแบบหนึ่งนะ แต่รู้เฉยๆของพระอริยเจ้านี่เป็นอีกแบบหนึ่ง รู้เฉยๆแบบรู้รอบ กระจ่างแจ้งแทงตลอด รู้ละ รู้ทิ้ง ไม่เหมือนรู้เฉยๆแบบปุถุชน
รู้เฉยๆของปุถุชน รู้แต่แคลงใจสงสัย บีบคั้น เร่าร้อน มันต่างกัน แต่รู้เฉยๆของพระอริยะ รู้แบบพูดไม่ถูก รู้แบบไม่ติด จริงไปหมด ดีก็จริง ชั่วก็จริง มืดก็จริง สว่างก็จริง อะไรที่จริง จริงหมดเลย ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความขัดเคืองขัดแย้งในใจ ถ้ามันจริงแล้วมันจริงหมดเลย
แต่ถ้าเรารู้ คนอื่นจะต้องเป็นเหมือนอย่างเรา มันก็จะมีอัตตาตัวตน ยังเข้าใจว่าจะต้องเป็นเหมือนเรา คือไม่เห็นความจริงของความจริง ว่าต่างคนต่างมีเหตุปัจจัยเป็นของตนเอง ก็เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานแล้วก็ไปเทียบ ทำไมเขาไม่เหมือนเรา ทำไมเขาไม่เหมือนเขา เปรียบแต่มวยอยู่อย่างงั้น
แต่เมื่อไหร่ที่ความรู้ตัวนี้ เราเห็นมันชัดแล้วนี่ อารมณ์ก็เป็นเพียงแค่กองอารมณ์กองหนึ่ง ก็เป็นขันธ์หนึ่ง แยกขันธ์ออก ความคิดก็เป็นแค่ความคิดก็เป็นกองๆหนี่ง ความทรงจำก็เป็นกองๆหนึ่ง เราจะไปสำคัญมั่นหมายอะไรไม่ได้เลยบนโลกนี้ เป็นเหมือนของว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นแก่นสารเลย
องค์ที่เห็นท่านก็เลยวางหมดเลย ก็เลยอยู่แบบเหมือนคนไม่มีความคิด นั่นแหละคือผลของการปฏิบัติ มันจะเป็นธรรมดาไปหมดเลย ไม่มีคำว่าพิเศษ เป็นธรรมดา สู่ความเป็นธรรมดา”
.....................................
พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๕
|