นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 7:58 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พิจารณาสังขาร
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 13 เม.ย. 2024 8:18 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4897
"..การปฏิบัติต่อร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน การปฏิบัติต่อจิตใจก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน ถ้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเท่าที่ควร ก็ต้องทำผิดจริง ๆ ด้วย โดยไม่เลือกเพศวัยและชาติชั้นวรรณะใด ๆ เลย เพราะสามัญมนุษย์เราเป็นเหมือนเด็ก ซึ่งต้องได้รับการดูแลและอบรมสั่งสอนจากผู้ใหญ่อยู่ทุกขณะจึงจะปลอดภัยและเจริญเติบโตได้ คนเราใหญ่แต่กาย ใหญ่แต่ชาติ ใหญ่แต่ชื่อ ใหญ่แต่ยศ ใหญ่แต่ความสำคัญตน แต่ความรู้ความฉลาดที่จะทำตนให้ร่มเย็นเป็นสุขทั้งทางกายและทางใจโดยถูกทาง ตลอดผู้อื่นได้รับความร่มเย็นเป็นสุขด้วย นั่นไม่ค่อยเจริญเติบโตด้วยและไม่สนใจบำรุงให้ใหญ่โตอีกด้วย จึงเกิดความเดือดร้อนกันอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่เลือกเพศวัยและชาติชั้นวรรณะอะไรเลย.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)อ้างอิงหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระโดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน






“ สงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งการแสดงน้ำใจไมตรีต่อกันมีการแสดงออกทางกายและทางวาจาที่น่าชื่นใจต่อกัน ผู้น้อยก็แสดงความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แสดงความเอื้อเฟื้อเอ็นดูต่อผู้น้อยด้วยความจริงใจนับเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยที่เราทั้งหลายต้องช่วยกันสืบสานต่อไป..."

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







"..ต่อไปนี้ญาติโยมทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย เฒ่าแก่ เด็กเล็กเด็กน้อยก็ตาม (ให้) พากันสวดมนต์ทำวัตรทั้งเช้าทั้งเย็น ให้ผู้ใหญ่ในครอบครัว พ่อแม่เป็นผู้พาทำ ทำที่บ้านใครบ้านมัน ทำทุกครัวเรือน ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นบุญเป็นกุศลแก่พวกเรา ความเดือดร้อนต่าง ๆ มันก็จะหายไปเอง.."

พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร






วันสงกรานต์ (หลวงปู่ชา สุภัทโท)

อันตรายทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ทุกวันนี้ยิ่งมาก เราได้ผ่านมาแล้ว อันตรายข้างนอกก็ไม่สำคัญเท่าใด

อันตรายข้างในมีการกระทำผิด การคิดผิด พูดผิด​ การกระทำผิดทั้งหลายเหล่านี้เป็นของที่สำคัญมาก

ดังนั้น ถ้ามาถึงจุดอันนี้แล้ว พระบรมศาสดา​ท่านสอนให้สำเหนียกในตัวของเจ้าของ ว่าเรามีอะไรบ้างไหมที่เราควรจะเปลี่ยน หรือที่เราจะเพิ่มต่อไป

อาตมาจึงให้ความเห็นว่า.. วันนี้เป็นวันสงกรานต์

ควรจะล้างมันออก ที่เอาน้ำล้างออกนั่นมิใช่ล้างอันใด ละอกุศลธรรม ความชั่วความผิดทั้งหลาย

เมื่อเรามีความเห็นผิดมาแล้ว ก็ทำให้มันถูกเสีย เมื่อเรามีความสกปรกมาแล้ว​ ก็ทำให้มันสะอาดเสีย
ทำตามธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าของเรา

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี








“หลายคนจะวุ่นวาย ไม่สงบ
อยู่คนเดียวจะ สงบสบาย”

…เหมือนกินข้าว อิ่มเมื่อไหร่ก็รู้เอง
ถ้าพร้อมก็จะแยกกันอยู่คนละห้อง
นอนคนละห้อง จะรู้เอง

.เวลาเกิดความเบื่อหน่าย
เห็นทุกข์ในการอยู่ร่วมกัน
ตอนนี้ยังไม่เห็นทุกข์ เห็นแต่สุขอย่างเดียว
เวลาทุกข์ก็ลืมเร็ว ทะเลาะกันเดี๋ยวเดียว
ไม่นานก็ลืม

.ถ้าจำได้ก็จะไม่อยากอยู่ด้วยกัน
กิเลสชอบให้ลืมความทุกข์
ให้กลับไปรักเขาเหมือนเดิม
เพราะอยู่คนเดียวไม่ได้
ยังต้องมีเขาให้ความสุขกับเรา
ก็เลยยอมทนกับความทุกข์

.ถ้ามีความสุขที่เกิดจากความสงบ
ก็จะไม่เอาแล้ว เบื่อแล้ว
เบื่อที่จะต้องทุกข์เพื่อแลกกับความสุข
เพราะมีความสุขที่ดีกว่าเหนือกว่า
ก็จะอยู่คนเดียวได้ ต้องทำจิตให้รวมให้ได้
เป็นอุเบกขาให้ได้

.แล้วจะอยู่คนเดียวได้
จะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้
เพราะเวลาอยู่ด้วยกันหลายคน
จะวุ่นวาย ไม่สงบ
เวลาอยู่คนเดียวจะสงบสบาย .

…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๒๗ กัณฑ์ที่ ๔๓๒
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔






"..ความจริง พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกทรงสอนไว้หมดทุกอย่างแล้ว เรื่องศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดีตลอดจนข้อประพฤติปฏิบัติทุกประการก็ทรงพร่ำสอนไว้หมดทุกอย่าง เราไม่ต้องไปคิด ไปบัญญัติอะไรอีกแล้วเพียงให้ทำตามในสิ่งที่ท่านทรงสอนไว้เท่านั้น นับว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญ มีโชคอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบหนทางที่ท่านทรงแนะทรงบอกไว้แล้ว คล้ายกับว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสร้างสวนผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์พร้อมไว้ให้เรา แล้วก็เชิญให้พวกเราทั้งหลายไปกินผลไม้ในสวนนั้น โดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำอะไรในสวนนั้นเลย เช่นเดียวกับคำสอนในทางธรรม ที่พระองค์ทรงสอนหมดแล้ว ยังขาดแต่บุคคลที่จะมีศรัทธาเข้าไปประพฤติปฏิบัติเท่านั้น..'"

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี







"..ธรรมเป็นเครื่องปกครองทรัพย์สมบัติ และปกครองใจ ถ้าใจมีธรรมมากหรือน้อย มีทรัพย์สมบัติมากหรือน้อย ย่อมมีความสุขพอประมาณถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ลำพังความอยากของใจที่พยายามหาทรัพย์ให้ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอ เพราะนั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยของกายและใจ ถ้าใจไม่ฉลาดด้วยธรรมเพียงอย่างเดียว จะไปอยู่ในโลกใด และมีกองสมบัติเท่าใด ก็เป็นเพียงโลกเศษเดน และกองสมบัติเศษเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใจเลยสักนิดเดียว ความสมบุกสมบัน การได้รับทุกข์ทรมาน ความอดความทน และความทนทานต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่าง ๆ ไม่มีอะไรแข็งแกร่งเท่าใจ ใจถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐขึ้นมา ให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจ และอิ่มพอต่อเรื่องทั้งหลายทันที.."

โอวาทธรรมพระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่นมั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนครอ้างอิงจากหนังสือท่านพ่อลี ธมฺมธโร







วิปัสสนา หมายถึง เห็นการเกิดการดับหรือความเห็นแจ้งในสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน ภายในจิตใจนั่นเองเห็นทั้งสังขารภายในและสังขารภายนอก โดยเห็นแบบชัดเจนกันเกิดดับ เมื่อเห็นชัดเจนจิตหายสงสังจะสงบระงับเข้าไปเป็นแสงสว่างเกิดขี้นหายสงสัยในการเกิดดับนั้นได้ความรู้ขึ้นมาในกองสังขารอันนั้นคือ วิปัสสนาญาณ ที่หยั่งรู้ในกองสังขารในจิตนั้น ทีนี้มาพิจารณาส่วนสังขารคืออะไร?พูดกันมากในนักปฎิบัติทั้งหลาย
สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่งนั่นเอง แบ่งออกเป็น
-สังขารในไตรลักษณ์(อนิจจังทุกขัง อนัตตา) ในไตรลักษณ์ สังขาร คือ ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป ทั้งหมด
-สังขารในขันธ์ 5 ในขันธ์ 5 สังขารขันธ์ก็เรียก คือ สภาพที่ปรุงแต่งจิต เป็นคุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต ได้แก่ เจตสิก 9 ดวง เว้นเวทนาและสัญญา
-สังขารในปฏิจจสมุปบาท
ในปฏิจจสมุปบาท สังขาร 3 คือ
1. กายสังขาร เจตนาทางกาย
2. วจีสังขาร เจตนาทางวาจา
3. มโนสังขาร เจตนาทางใจ
หรือ อภิสังขาร 3 ได้แก่
1. ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี
2. อปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว
3. อาเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว
ดังนั้น ถ้าเราไม่สามารถทำจิตให้สงบได้จิตย่อมฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟุ้งซ่านมากหมายถึงคิดมากพิจารณาในประวัติของหลวงตาท่านว่าเป็นสมุทัย ก็ถูกนะมันจะเป็นบ้ามันฟุ้งซ่าน

มันต้องพักๆคือความสงบแห่งจิตหรือการทำสมาธิสมถะนั่นละเหมือนเราอยากหลบความวุ่นวายก็เข้าในกุฏิ(หลวงปู่สนธิ์ท่านทำบ่อยๆ)ถ้าอยากวุ่นวายใช้ปัญญาก็ออกมาข้างนอกนั่งนอกห้องนอกกุฎิแบบนั้นนั่นละ ดังนั้นสมถะและวิปัสสนาถือเป็นธรรมที่ควรเจริญเป็นคู่กันเหมือนคมมีดกับสันมีดแยกกันออกไหม ฝ่ามือหลังมือแยกกันออกไหม? ดังนั้นทั้งสมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมฝ่ายวิชชา ก็เลือกใช้ตามกาลเวลา สถานที่

วิปัสสนาภูมิ คือ ธรรมทั้งหลายอันแยกประเภทเป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ สัจจะ และปฏิจจสมุปบาท
วิปัสสนาภูมิ หมายถึง ธรรมอันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ค่อยอธิบายอีกทีนะพอเท่านี้

Vipassana means seeing the occurrence, cessation, or perception in the sankhara as impermanent, suffering and not self. Within the mind there is both an inner and an outer body. By seeing clearly each other When he saw it clearly, his mind disappeared into a light and lost its suspicion, and knowledge arose in the sectarian, which was the enlightened insight in the body of the sankhara. Now let's look at what is the sankhara part?

Sangkharn means making up a thing that has been made up. It is divided into
- Sankar in the trinity (impermanence, all imprisonment, anatta) in the trinity, the sankhara is the perfected dharma, namely the mind, the mind, and the whole image.
- Sangkhan Nai Khan 5 In Khan 5 Sangkharn Khan is called a state that enriches the mind. It is the properties of the mind, including the 9 Jetsik, pardons, and promises.

- Sangkharn in the meditation bath
In the last 3 days
1. Body Sangkhar, physical intent
2. Vajrasangkhar, verbal intent
3. Mindfulness, intentions of mind
Or Apisangkarn 3, which are
1.Punyaphisangkarn Conditions that manipulate good karma
2. Apunya Phisangkarn Conditions that cook only bad karma
3. Anechapisangkarn The conditions that shape the world that is stable and not shaken

Therefore, if we are unable to calm the mind, the mind is distracted. If the mind is very distracted, it means to think a lot, consider it in the history of Luang Ta Tan that it is happiness That's right. It's going to be crazy. It's distracted.

It has to rest, which is the peace of mind or meditation. Satisfaction. Like we want to escape the chaos, go into the cubicle (Luang Pu Son, you do it often). Do not like that. Therefore, Samatha and Vipassana, is it fair that they should develop as a pair like a knife blade and a knife spine separately? Are the palms behind the hands separated? Therefore, both Samatha and Vipassana are Dharma in the Enlightenment. Then choose to use according to the time and place.

Vipassana Phum is the Dharma which is classified into Khan, Ayatana, Organic Elements, Truth and Prophet
Vipassana Phum means Dharma which is the mood of Vipassana. Please explain it again. This is enough.








คนที่เก่งนั้น
เขาเปลี่ยน 'ปัญหา' ให้เป็น 'ปัญญา'
และใช้ 'ปัญหา' เป็นเวทีพัฒนา 'ปัญญา'
แล้วเปลี่ยนจาก 'เคราะห์' ให้เป็น 'โอกาส'
.
--- คำสอน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยุตโต)
วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO