นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 7:22 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เกรงกลัวต่อบาป
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 01 พ.ค. 2024 7:18 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4896
"การปฏิบัติมันต้องลองต้องทำเอง
ถ้าไม่ทำเองมันก็ไม่รู้ไม่เห็น
ถึงจะมีครูบาอาจารย์ดีขนาดไหน
มันก็เป็นคุณธรรมของท่าน
ท่านทำให้เราไม่ได้หรอก ทำได้แค่สอน"

หลวงปู่สาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม (สาขาวัดหนองป่าพงที่ ๓๓) จ.อุบลราชธานี







"เมื่อไหร่ที่เราทำดี เมื่อนั้นก็เป็นฤกษ์ดี"

หลวงปู่ลี ตาณังกโร
วัดป่าหัวตลุกวนาราม อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์






#ความคิดปิดบังทำให้เราไม่เห็นสภาวธรรม

"ถ้าไประลึกรู้เรื่องราวที่คิดเป็นอารมณ์บัญญัติ ไม่มีไตรลักษณ์หรอก
คิดมันคิดได้เรื่อยๆ เพ้อเจ้อไปวันๆ
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังหลงอยู่ในโลกของความคิดจะไม่เห็นสภาวธรรม
เพราะธรรมชาติของจิตรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว พอจิตไปรู้เรื่องราวที่คิดเสียแล้ว จิตจะรู้สภาวธรรมไม่ได้ แล้วในขณะที่จิตรู้สภาวธรรม จิตจะไปรู้เรื่องที่คิดไม่ได้
จิตมารับรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว
ความคิดปิดบังทำให้เราไม่เห็นสภาวธรรม
ฉะนั้นอย่าไปหลงคิดเอา ให้รู้สึกเอา".

#น้อมนำธรรมคำสอน
#หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#วัดสวนสันติธรรม 3 มีนาคม 2567






#มนุษย์_ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศ

".. อันได้กำเนิด เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นชาติ
สูงสุด เป็นผู้เลิศ "ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดี
คือ มีกายสมบัติ วจีสมบัติและมโนสมบัติ
"อันบริบูรณ์" จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก คือทรัพย์สิน เงินทอง อย่างไรก็ได้ จะสร้างสมเอาเป็นสมบัติภายใน คือมรรค ผล นิพพาน ธรรมวิเศษ ก็ได้.."

#พระพุทธองค์_ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย

"ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี่เอง มิได้ทรงบัญญัติแก่ช้าง ม้า โค กระบือ ฯลฯ ที่ไหนเลย มนุษย์นี่เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึง ซึ่งความบริสุทธิ์ได้ ฉะนั้นจึง ไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าตนมีบุญวาสนาน้อยเพราะมนุษย์ทำได้ "เมื่อไม่มีทำให้
มีได้ เมื่อมีแล้ว ทำให้ยิ่งได้"

สมด้วยเทศนานัยอันมีมาใน เวสสันดรชาดก
ว่า "ทานํ เมติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตวา สคฺคํ เอกจฺโจ โมกขํ ศจฺฉติ นิสฺสํสยํ" เมื่อได้ทำกองการกุศล "คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา" ตามคำสอน ของพระบรมศาสดาจารย์เจ้าแล้ว บางพวกทำน้อย ก็ต้องไปสู่สวรรค์

บางพวกทำมาก แลขยันทำจริง พร้อมทั้งวาสนาบารมี แต่หนหลังประกอบกัน ก็สามารถ
เข้าสู่พระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย พวกสัตว์เดรัจฉาน ท่านมิได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนมนุษย์ไม่ได้ จึงสมกับคำว่า "มนุษย์นี้ตั้งอยู่ใน ฐานะอันเลิศด้วยดี สามารถ
นำตนเขัาสู่มรรคผล เข้าสู่พระนิพพาน อันบริสุทธิ์ ได้แล... "

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต






"ธรรมเป็นของเก่า"

" ...ถ้าหากว่าไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่
ธรรมอันนี้ก็ไม่มีอยู่ในโลกนี้เสียแล้ว
ทั้งที่ของมีอยู่แล้ว มนุษย์ของเราก็หา
ที่พึ่งไม่ได้หาธรรมะไม่ได้ หาอะไรก็
ไม่ได้ทั้งนั้น

ท่านจึงเรียกว่า ธรรมเป็นของเก่า
เพราะบาปบุญเหล่านี้ แต่ไหนแต่ไร
มันหากมีมาแต่เดิม ไม่มีใครมาตกแต่ง
ขึ้นคนผู้กระทำ บาปและบุญก็เอาของ
เก่า คือ กาย วาจา และใจนี้มาฟื้นฟู
เอาบาปและบุญของเก่า ผู้กระทำ
เอามากระทำ ใหม่จึงเรียกว่าของใหม่
คือผู้กระทำ มาทำใหม่นั่นเอง แท้ที่จริง
แล้วก็ของเก่านั่นแหละ

พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเอาธรรมของใหม่
มาจากไหน ธรรมเป็นอยู่แต่เดิม แต่พระ
องค์ทรงค้นคว้าพบของเดิมจึงเรียกว่า
ได้ตรัสรู้ และเมื่อพระองค์ปรินิพพานก็ไม่
ได้เอาธรรมนั้นไปด้วย ธรรมทิ้งอยู่ในโลก
นี้แหละ" พระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติขึ้น
ในโลกนี้ก็เช่นเดียวกัน.."

หลวงปู่เทสก์ เทสฺรังสี






เราบังคับควบคุมปากของคนอื่นไม่ได้ จะพูดดีก็ได้ จะพูดร้ายก็ได้ แต่สิ่งที่เราห้ามได้คือ ใจของเรา ไม่ให้ไปหลงยินดีไปเสียใจกับคำพูดของเขา ปล่อยให้เขาพูดไป อยากจะพูดอะไรให้เขาพูดไป ถ้าไม่ยึดติดคำพูดของเขาก็ไม่มีความหมาย ไม่มีน้ำหนัก

หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี






วันนี้เป็นวันที่ ๑ พฤษภาคม เป็นวันแรงงานแห่งชาติ เป็นวันหยุดของโรงงานต่าง ๆ คนเราถ้าหากว่าไม่ทำงาน มีแต่อยู่แบมือเฉย ๆ ก็คงหาเลี้ยงชีพไม่ได้

สมัยหลวงพ่อเป็นสามเณร เดินไปบิณฑบาต เขามีวิทยุ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติใหม่ ๆ เวลาจะออกข่าวหรือว่าจบข่าว เขาเอาเสียงจอมพลสฤษดิ์ออกมา เสียงใหญ่ ๆ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” “เงินคืองาน งานคือเงิน บันดาลสุข” หลวงพ่อยังจำไม่ลืม ก็คือคนต้องทำงาน ถ้าคนไม่ทำงาน อยู่เฉย ๆ จะบันดาลสุขได้ยังไง ในเมื่อทำงานไปแล้ว ผลของงานต้องออกมา ถ้าไม่ทำงานจะมีผลของงานได้อย่างไร

เรื่องงาน มันต้องมีการทำงานทุกระดับ อย่างหลวงพ่อเป็นหลวงปู่หลวงตา ไม่ใช่หลวงพ่อไม่ทำงานนะ หลวงพ่อก็ทำงานของหลวงพ่อในหน้าที่หนึ่งอีกเหมือนกัน พระในวัดก็เหมือนกัน องค์ไหนอยู่เฉย ๆ แบบไม่รู้จักรับผิดชอบรับหน้าที่ องค์นั้นก็เหมือนคนตายแล้วนะ ก็เหมือนอยู่ชังกะตาย ไปอยู่กับใคร ใครก็ไม่ต้องการ เพราะขี้เกียจ

คนขี้เกียจไปอยู่กับใครมันหนักเขาทั้งนั้น ไปอยู่กับวัดก็หนักวัด ไปอยู่กับบ้านพ่อแม่ก็หนักใจ ไปอยู่กับสามีภรรยาก็หนักอกหนักใจของสามีภรรยา เป็นลูกขี้เกียจก็หนักใจพ่อแม่ บริษัทห้างร้านไหน ถ้าลูกน้องขี้เกียจขี้คร้าน ก็พร้อมที่จะเจ๊งได้ หนักใจเถ้าแก่อาเสี่ย เพราะลูกน้องไม่ทำงาน คนเราเกิดมาต้องรู้จักหน้าที่ หน้าที่การงานเราอยู่ใน ณ สถานะไหน หน้าที่ไหน เราก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด อย่าได้ขาดตกบกพร่อง

วันนี้เป็นวันแรงงาน กระตุ้นเตือนให้กับพี่น้องศรัทธาญาติโยมลูกหลานที่ใช้แรงงาน ไม่ใช่ว่าเขาให้หยุดแรงงานก็ไปหากินเหล้า หมดท่านะ พอหยุดแรงงานก็มาทบทวน ข้าพเจ้าทำงานในบริษัทห้างร้านนี้ หรือว่าทำงานจุดนี้ เป็นยังไงอนาคต จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้ไหม เจริญรุ่งเรืองไหม จะเดินต่อไหม หรือจะหยุด หรือจะยอมถอยหลัง หรือจะหางานใหม่ ปีหนึ่งเรามาทบทวนครั้งหนึ่ง แต่ละปีเราก็ต้องทบทวน ทบทวนดูอดีตปีหนึ่งที่ผ่านมา มีอะไรงอกเงยไหม ไม่ใช่ว่าหลับหูหลับตาทำไปเรื่อย ผลที่สุดก็เจ๊งเอา เพราะไม่มีการทบทวน

ถ้ามีการทบทวน ผลกำไรเป็นที่พอใจไหม หรือมันขาดทุนที่ตรงไหน เพราะขาดการใส่ใจ หรือขาดการติดต่อประสานงาน วัสดุที่จะนำไปขายมีคุณภาพไหม หรือว่าของเสียหาย ปีที่แล้วมันมีอะไรบ้าง

สิ่งเหล่านี้เราต้องทบทวนทั้งหมดนะ สิ่งที่ไม่ดีก็เป็นบทเรียนบทหนึ่ง บทที่ดีก็เอาเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่ง การเรียนของเรามันไม่มีที่สิ้นสุดนะ ต้องเรียนศึกษาไปเรื่อย ผลที่สุดวิชาอาชีพของเรา ก็ถีบตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “ดูคนจากการกระทำไม่ใช่คำพูด”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖







ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่า ไม่มีธรรม นั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
.
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
.
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของ จักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"
.
โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ "ปริศนาธรรม" มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้น คำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า "พฤติของจิต" แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
.
คำว่า "ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต" เหล่านี้ ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
.
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ "พฤติแห่งจิต" อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะคำว่า "มรรคปฏิปทา" นั้น จะต้องอยู่ใน "มรรคจิต" เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

.
การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วย วิสุทธิศีล วิสุทธิธรรม พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์






"ทุกวันนี้จิตใจของคนมันต่ำ ไม่เคารพของสูง ของสูงกลับประมาท ไปไหว้ของต่ำ เอาของต่ำเป็นที่พึ่ง นั่นแหละมันจะเกิดกาลกิณีอุบัติขึ้น ซึ่งไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนก็จะได้พบได้เห็นนี่แหละ

คนในยุคนี้จิตใจมันต่ำ ไม่รู้จักคุณพ่อคุณแม่ ไม่รู้จักคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ประมาทไปเสียหมด ประมาทของสูงแล้วยิ่งจะต่ำลงไป ไม่รู้จักของสูงของต่ำมันก็แย่ล่ะนะ โบราณท่านสอนไว้

ถ้าเอาของต่ำขึ้นสูง ของสูงลงไว้ต่ำ จะเป็นกาลกิณี นั่นก็หมายถึงการเคารพนั่นแหละ ของสูงไม่เคารพ ไม่กราบไม่ไหว้ แต่ไปเคารพ กราบไหว้ของต่ำโน้นนะ นี่มันแย่ล่ะนะ ไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็พบเห็นล่ะยุคนี้ เพราะจิตใจคนในยุคนี้เป็นกาลกิณี ไม่มีความ ละอายเกรงกลัวต่อบาป สะดุ้งกลัวต่อบาป อะไรทั้งหมดแหละ เป็นกาลกิณี ผิดทำนองคลองธรรมไปหมด"

พระราชวชิรเขมคุณ (หลวงปู่อว้าน เขมโก )
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO