ตัวเราของเราไม่มี แล้วทุกข์จะมีได้อย่างไร...
หลวงปู่กวง โกสโล
#ความกตัญญูเป็นสิ่งที่นับว่ามีอำนาจ แปลงยักษ์ให้กลายเป็นมนุษย์ได้ ทำโลกให้รอดและร่มเย็นได้ตลอดไป เราทั้งหลายจงช่วยกันทะนุถนอม ธรรมะอันประเสริฐข้อนี้ ให้ยังคงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของโลก ด้วยความพร้อมเพรียงเสียสละอย่างยิ่งเทอญ
#พระเทพวชิรญาณ หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธัมโม วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
"..ทาน คือเครื่องแสดงน้ำใจมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ผู้มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ผู้อาภัพ ด้วยการให้การเสียสละแบ่งปันมากน้อย ตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทานแขนงต่าง ๆ ก็ตาม ที่ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยมิได้หวังค่าตอบแทนใด ๆ นอกจากกุศลคือความดีที่เกิดจากทานนั้น ซึ่งจะเป็นสิ่งตอบแทนให้เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น ตลอดอภัยทานที่ควรให้แก่กันในเวลาอีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน คนมีทานหรือคนที่เด่นในการให้ทาน ย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชนโดยไม่นิยมรูปร่างลักษณะ ผู้เช่นนี้มนุษย์และสัตว์ตลอดเทวดาที่มองไม่เห็นก็เคารพรัก จะตกทิศใดแดนใดย่อมไม่อดอยากขาดแคลน หากมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์.."
มุตโตทัย โอวาทธรรม พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ที่มาจากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระโดยพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
"..มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พาให้มาเป็นอย่างนี้ ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่าง ๆ มา จนนับไม่ถ้วน ให้ตะหนักในกรรมของสัตว์ว่ามีต่าง ๆ กัน เพราะฉะนั้น ไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามในชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและกัน และสอนให้รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่วเป็นของ ๆ ตน ควรมีความเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกับเรา ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
…เข้าถึงธรรมะ เข้าถึงตัวรู้ แหวกม่านของอวิชชาโมหะ ที่หลอกให้คิดว่าตัวรู้เป็นตัวเราของเรา ตัวรู้เป็นเพียงตัวรู้ ไม่ได้เป็นตัวเราของเรา รู้เฉยๆ ไม่มีเรารับรู้ ถ้ามีก็จะดีใจเสียใจกับสิ่งที่รับรู้
. ต้องรับรู้แบบกล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายรูปไม่มีตัวมีตน ถ่ายภาพอย่างเดียว ใครจะทำหน้าอย่างไรใส่กล้อง ก็ถ่ายหมด ไม่เลือก ไม่เหมือนใจที่มีอัตตาตัวตน จะมองแต่คนที่ยิ้ม คนหน้าบึ้งจะไม่มอง .นี้คือการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงตัวรู้ เข้าถึงธาตุรู้ เข้าถึงของจริงของแท้ รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้ ก็ต้องทำใจให้สงบ ต้องระงับความคิดปรุงแต่ง แล้วจะพบกับความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่มีเจริญไม่มีเสื่อม ความสุขที่อยู่คู่กับผู้รู้ ที่หมดความอยาก
.ต้องปฏิบัติเท่านั้นถึงจะรู้ได้ ถ้าปฏิบัติก็จะบรรลุ จะรู้เฉยๆตลอดเวลา ไม่มีความอยากไปไหน อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ เหลือแต่หน้าที่เลี้ยงดูร่างกายไปตามอัตภาพ เลี้ยงได้ก็เลี้ยงไป เลี้ยงไม่ได้ก็อดตายไป ก็จบ แต่ใจไม่วุ่นวายกับเรื่องการเลี้ยงดูร่างกาย ไม่วุ่นวายกับการไปไหนมาไหน เพราะไม่มีความอยาก .
………………………………………… . พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี จุลธรรมนำใจ ๓๓ กัณฑ์ที่ ๔๕๕ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๖
"จิตนี้คล้ายห้วงอวกาศ หรือที่ว่างในท้องฟ้า ไม่สำคัญว่าจะมีอะไรอยู่หรือไม่ เพราะว่าเมื่อใด ที่เราประจักษ์ถึงความว่าง...ในจิต เราก็เห็นภาพรวมชัดเจน คือสุญญตา หรือความว่าง...นั่นเอง
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงผ่านเข้ามาแล้ว ก็ผ่านออกไป โดยเราไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่ดิ้นรนต่อต้าน ไม่แตะต้องบงการแต่อย่างใด
ดังนั้นเมื่อเรา อยู่...กับความว่างแห่งจิต หรือจิตว่าง เราก็ไม่ติดอยู่กับสภาวะทั้งหลาย ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และไม่สร้างขึ้นมาใหม่
นี่คือฝึกปฏิบัติการปล่อยวาง มองให้เห็นว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน นี้แหละที่หมายถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
แท้จริงเป็นการมองดู รู้ เห็น สำเหนียก และเฝ้าสังเกตว่า...อะไรก็ตามที่เกิดแล้ว จะต้องดับไป ไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียด ดี หรือชั่ว มาแล้ว...ก็ไป ไม่เป็นเรา เราไม่ดี ไม่เลว ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่งาม ไม่น่าเกลียด สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะ ที่ไม่เที่ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช่ ‘ตัวกู’ นี้เป็นวิถีไป สู่...ความเห็นแจ้งตามพุทธวิธี เป็นการน้อมไป สู่...พระนิพพาน
ทีนี้ ท่านอาจจะตั้งคำถามขึ้นมาว่า “เอ้า ก็เมื่อฉันไม่ใช่สภาวะแห่งจิต ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วฉัน...เป็นอะไรเล่า”
ท่านอยากให้อาตมาบอกไหมว่า ท่านเป็นใคร และถ้าอาตมาบอกแล้วท่านจะเชื่อไหม ท่านคิดอย่างไร ถ้าอาตมาโลดแล่นออกไปข้างนอกแล้วร้องตะโกนถามว่า “ตัวอาตมานี้เป็นใคร”
มันเหมือนกับท่านพยายามมองดูนัยน์ตา ของท่านเอง ท่านไม่รู้จักตัวท่าน ก็เพราะท่าน เป็นตัวท่านเอง ท่านจะรู้จักได้ก็เฉพาะสิ่งที่ ไม่ใช่...ตัวท่าน และนี่คือการตอบปัญหาใช่ไหม คือ ถ้าท่านรู้ว่า...อะไรไม่ใช่ตัวท่านแล้ว ก็ไม่มีปัญหาว่า...ท่านเป็นอะไร
ถ้าอาตมาร้องขึ้นมาว่า “เอ ตัวฉันเป็นใคร ต้องหาให้จงได้” แล้วมุดเข้าไปดูที่ใต้โต๊ะ หมู่บูชาบ้าง เลิกพรมแหวกม่านมองหาบ้าง ท่านคงคิดว่า...ท่านสุเมโธนี่ชอบกล คงเป็นบ้า ไปแล้ว เที่ยวมองหาตนเอง คำถามที่ว่า...“ตัวฉันอยู่ที่ไหน”คงเป็นคำถาม ที่น่าหัวเราะที่สุดในโลก
แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า...เราเป็นใคร แต่อยู่ที่ความเชื่อ และถือเอาว่าเราเป็นพวกเดียวกัน หรือเหมือนกันกับสิ่งที่ ไม่ใช่...เรา ตรงนั้นแหละ ที่มีทุกข์ ตรงนั้นแหละ ที่เราได้รับความโทมนัส ความห่อเหี่ยว และความแห้งใจ เมื่อท่านเข้าไปเป็นพวกเดียวกับสิ่งที่ไม่น่าจะพอใจ ท่านก็ไม่ชอบใจมัน เห็นชัดไหม
ดังนั้น... ทางของพุทธบริษัท คือการปล่อยวาง... ไม่เสาะหาสิ่งใด ตัวปัญหานั้น...คือการเกาะเกี่ยวอย่างไม่ลืมหูลืมตา อยู่...กับกามภพ
ท่านไม่จำเป็นต้องสลัดโลกทิ้ง แต่เรียนรู้จากมัน เฝ้าดู และไม่หลงไปกับมัน
ใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้าเจาะทะลวงเข้า ไป โดยเฝ้าสำเหนียก เฝ้าสังเกต ตื่นอยู่... รู้ตัวอยู่...แล้วความโชติช่วงแห่งปัญญา ก็จะปรากฏ
ใช้ปัญญานี้ในเรื่องที่เกี่ยวกับกายของท่าน ความนึกคิดของท่าน ตลอดจนความรู้สึก ความทรงจำ และอารมณ์ต่าง ๆ ท่านจะประจักษ์แจ้ง จะยอมให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผ่านพ้นไป และณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ท่านจะไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้น...
นอกจาก... มีปัญญาพร้อมอยู่ จากขณะหนึ่ง... ไปสู่...อีกขณะหนึ่ง."
พระสุเมธาจารย์ (สุเมโธภิกขุ)
ที่มา : น.พ.วิเชียร สืบแสง
"...ก้อนร่างกายนี่มันก้อนทุกข์ ให้มันหมดชาตินี้ ไม่ต้องต่อ มันถึงจะสุข..."
โอวาทธรรม หลวงปู่กวง โกสโล
"ธรรมะมีอยู่แล้ว ไม่ต้องสร้างขึ้น ไม่ต้องวิ่งหา เพียงแต่ทำให้ปรากฏแก่จิต ที่อบรมอยู่แล้วอย่างถูกต้อง เดี๋ยวนี้ มัวสร้างมัวหา เลยไม่พบ ทั้งที่มีอยู่แล้ว "
ท่านพุทธทาสภิกขุ
"ความอดทนมีรสขม แต่ผลนั้นหวานยิ่งนัก"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
“ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกัน หรือสูงกว่า เดินไปด้วยกันไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงให้เลือก เดินไปคนเดียว เพราะเลือกคบคนอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
ถ้าคบคนพาล คนโกง หลงโลก หลงกามคุณ ถ้าสติเราไม่พอ อีกไม่นานเราก็จะซึมซับ สิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
คนฉลาดใช้ชีวิตจึงเลือกคบกัลยาณมิตร ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลยจงเลือก เดินคนเดียว และมีสติเป็นเพื่อน”
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
“หากปรารถนาความสุข ก็ต้องหันมาดูใจตัวเอง บ่อยๆ ด้วย อย่าให้ความคิดชักนำจิตใจเราจนจม อยู่กับกองทุกข์ อย่าปล่อยให้อารมณ์อกุศลประทุษ ร้ายจิตใจ หรือผลักดันให้เรามีพฤติกรรมน่าระอา จนไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
ทุกวันนี้เราส่องกระจกดูตัวเองวันละนับสิบครั้ง หากเราหันมาตั้งสติ ดูใจตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง เช่นนั้นบ้าง จิตใจก็จะผ่องใสไม่น้อยไปกว่าใบหน้า และจะกลายเป็นคนน่ารัก ที่ใครๆ ก็มีความสุข เมื่อได้อยู่ใกล้
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
|