นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 19 เม.ย. 2025 6:06 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การฝึกจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 23 พ.ค. 2024 4:10 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4894
..ให้หมั่นทำความดีเอาไว้เรื่อย ๆ เป็นนิสัย อย่าประมาท เมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว เราก็จะไม่กลัวตาย เพราะเรารู้แล้วนี่ว่าเมื่อตายแล้ว เราจะไปอยู่ไหน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวตาย.."

หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน




ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เฉพาะในจิตที่สงบ
สงบจากกาม สงบจากอกุศลธรรม สงบจากความวุ่นวาย
สมาธินั้นจะเกิดเฉพาะในจิตใจของผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์

ศีลบริสุทธิ์ไม่ได้หมายความว่า
ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ไม่เคยผิดศีล
แต่หมายถึง ศีลที่ชำระแล้ว
คือ เมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว เราไม่ควรปิดบังอำพราง
แต่ควรเปิดเผยให้คนอื่นรู้ จะเป็นครูบาอาจารย์ก็ได้
เป็นกัลยาณมิตร หรือเป็นเพื่อนที่เคารพก็ได้

ขั้นตอนแรกของการชำระศีลที่ขาดไปแล้ว
หรือเปื้อนไปแล้ว คือ การเปิดเผย

ขั้นที่สอง คือ การยอมรับผิด ยอมรับว่าเราผิด
เปิดเผยก็เปิดเผยทั้งหมด
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกละอาย เราก็ต้องพูดให้หมด
เหมือนกับว่ามีเสี้ยนตำเท้า
เราเอาออกไม่หมดจะเป็นอันตราย
เปิดเผยยอมรับว่าตัวเองผิดด้วยความนอบน้อมถ่อมตน
ไม่ได้ปิดบัง ไม่ได้เห็นแก่ตัว

ขั้นที่สาม สำคัญมาก โดยตั้งใจว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป

ถ้าขาดข้อที่สามนี้ ถือว่าไม่เป็นการชำระศีลอย่างสมบูรณ์

พระอาจารย์ชยสาโร






"...ความเป็นจริงจิตนี้ไม่มีอะไร
มันเป็นประภัสสรของมัน อยู่อย่างนี้
ตัวจิตแท้ ๆ ไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติ
อยู่เฉยๆ เท่านั้น

ที่สงบไม่สงบ ก็เพราะอารมณ์ มาหลอกลวง
ความดีใจ เสียใจนั้น เป็นอารมณ์ มิใช่จิต
จิต หลงอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุข
เป็นทุกข์ ไปตามอารมณ์

เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด เราก็นึกว่า
จิตเป็นทุกข์ นึกว่าจิตเราสบาย ความจริง
มันหลงอารมณ์

จิตของเรา มันมีความสงบอยู่เฉยๆ มีความ
สงบ นิ่ง เหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัด
ก็อยู่เฉยๆ ถ้ามีลมมาพัด ก็กวัดแกว่ง
เป็นเพราะลมมาพัด และก็เป็นเพราะอารมณ์
มันหลงอารมณ์. ถ้าจิตไม่หลงแล้ว
จิต ไม่กวัดแกว่ง ถ้ารู้เท่าอารมณ์แล้ว
มันก็เฉย เรียกว่าปกติของจิต..."

หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี







วันนี้เป็นวันสำคัญของพระพุทธเจ้า ซึ่งอุบัติก็วันนี้ ตรัสรู้วันนี้ ปรินิพพานวันนี้ พวกเราทั้งหลายถวายบูชาธรรมท่านทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนานะวันนี้ ให้พากันภาวนาสงบใจๆ ระงับเรื่องการงานทั้งหลายที่เคยยุ่งมาตั้งแต่วันเกิด วันนี้ให้ระงับงานการยุ่งเหยิงทั้งหลาย เอางานทางด้านธรรมะที่จะพาเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เข้ามาสู่ใจ
วันนี้เป็นงานของธรรมเข้าสู่ใจ งานของโลกเข้าสู่ใจเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วดินแดน งานของธรรมเข้าสู่ใจสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน วันนี้เป็นวันสำคัญมากของพระพุทธเจ้า ประสูติก็วันนี้ ตรัสรู้วันนี้ ปรินิพพานก็วันนี้ วันประสูติก็กระเทือนโลกเหมือนกัน วันตรัสรู้ละสำคัญมากทีเดียว ได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลก
ก่อนที่จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ทรงทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขย คือมี ๓ ประเภทบรรดาพระพุทธเจ้า ประเภทที่หนึ่ง ๑๖ อสงไขย ปลีกแยกได้ แสนมหากัปๆ แล้วก็ ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย พระพุทธเจ้าของเรา ๔ อสงไขย ได้ตรัสรู้เป็นศาสดาสอนโลก ๑๖-๘-๔ อสงไขย อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารที่นำสัตว์โลกออกไปได้มากน้อยต่างกัน
เช่น พระพุทธเจ้าองค์ ๑๖ อสงไขยนี้ทรงสั่งสอนสัตว์โลกได้มากมายที่สุด เป็นอันดับหนึ่งของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันดับสองก็ ๘ อสงไขย อันดับสามคือพระพุทธเจ้าของเรา พระชนมายุก็เพียง ๘๐ ปี จึงทรงวางแนวทางบันไดเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่มรรคผลนิพพานให้พวกเราทั้งหลาย เป็นเวลา ๕๐๐๐ ปี
คำว่า ๕๐๐๐ ปี คือทรงเล็งญาณดูเรียบร้อยแล้ว พอถึง ๕๐๐๐ ปีแล้ว พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือธรรมทั้งหลายที่เคยไหลเข้าสู่ใจจะพรากจากกันทันที มีแต่กิเลสเข้ารุมล้อมหัวใจ เป็นฟืนเป็นไฟเหมือนกันหมด ๕๐๐๐ ปีแล้วหมด ศาสนาไม่มี คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มีในหัวใจ มีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจของโลก แล้วเป็นไฟไปในตัวเผาแหลกไปหมดเลย ให้พากันเข้าใจเอาไว้
วันนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา วันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วย วันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าด้วย วันประสูติด้วย วันตรัสรู้นี้สำคัญมาก ธรรมะกระจายสอนโลกอยู่นี้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านะ สอนโลกมาเป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปี ถึง ๕๐๐๐ ปีก็หมด นิสัยวาสนาของสัตว์จะหมดไปๆ กิเลสจะเหยียบย่ำทำลายเข้าไป คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะไม่มีในใจของสัตว์ มีตั้งแต่กิเลสกับฟืนกับไฟเผาไหม้อยู่ในหัวใจ ใครเกิดในสมัยนั้นแล้วเป็นความทุกข์ร้อนมากที่สุดเลย..."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐







"...วิธีจะรู้กายรู้ใจที่ถูกต้อง ต้องไม่เผลอไป ไม่ไปเพ่งไว้
กำหนดไว้แล้วก็รู้กายรู้ใจอย่างที่มันเป็น วิธีรู้กายรู้ใจ
ตามความเป็นจริง ท่านสอนไว้ในสติปัฏฐาน การรู้กาย
รู้ใจเรียกว่ารู้ทุกข์ในอริยสัจนั่นเอง ถ้าเมื่อไรเรารู้ทุกข์
แจ่มแจ้ง เราจะรู้เลยว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก
เราสามารถสลัดคืนกายกับใจให้โลกได้นะ คืนธรรมชาติ
เดิมได้ ความดิ้นรนของจิตที่จะหาความสุข ความดิ้นรน
ของจิตที่จะหลีกหนีความทุกข์ จะดับโดยอัตโนมัติ
เมื่อไรไม่มีตัวเรา ก็ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเราเป็นสุข
ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเราพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ทุกข์
แจ่มแจ้ง คือรู้ว่าขันธ์ห้ากายใจนี้ไม่ใช่เรานะ แล้วคืนโลก
ได้ ไม่ยึดถือได้นะ ตัณหาคือตัวสมุทัยนี่จะถูกละโดย
อัตโนมัติ เพราะฉะนั้นเมื่อไรรู้ทุกข์เมื่อนั้นสมุทัยจะถูกละ
ทันทีที่สมุทัยถูกละ จิตจะหมดความดิ้นรน นิโรธจะแจ้ง
ขึ้นต่อหน้าต่อตา สันติสุขก็ปรากฏ นิพพานปรากฏ..."

#โอวาทธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
......................................................................





จิตถ้าไม่ฝึกจะกลายเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ
ที่สุดของเรา เพราะว่าหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น
ศัตรูที่เป็นคนข้างนอก เรายังพอมีโอกาสหนี
ได้บ้าง หาคนมาคุ้มกันได้บ้าง แต่ถ้าศัตรูอยู่ในใจเรา
ไม่มีทางที่เราจะหนีพ้น ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น

เพราะฉะนั้น การฝึกจิต โดยเฉพาะการเจริญสติ
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต
หลายคนก็รู้ มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติ
แต่พอกลับไปแล้วเจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ
เจอภารกิจการงานในครอบครัว ในที่ทำงาน
รวมทั้งสิ่งเย้ายวนใจ และกิจกรรมต่างๆ
ที่ชวนให้หลงใหล สุดท้ายหลายคนก็จะบอกว่า
“ไม่มีเวลาปฏิบัติ”

บ่อยครั้งคำว่า "ไม่มีเวลาปฏิบัติ" เป็นข้ออ้าง
ของกิเลส เราเคยถามตัวเราเองบ้างไหมว่า
ในเมื่อไม่มีเวลาปฏิบัติ แต่ทำไมมีเวลาโกรธ
ไม่ได้โกรธเป็นชั่วโมงนะ โกรธเป็นวันๆ บางที
เป็นอาทิตย์ ทำไมมีเวลาเศร้า มีเวลาเครียด
มีเวลาวิตก ทำไมเรามีเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้
ทั้งๆ ที่มันบั่นทอนจิตใจ แต่ว่าสิ่งดีๆ ที่ทำแล้ว
จะกอบกู้ชีวิตจิตใจเรา กลับบอกว่าไม่มีเวลา

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล




จิตชาร์จตัวเอง

"การที่เราคอยรู้สึกร่างกายเคลื่อนไหว
ร่างกายมีอยู่ รู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก
จิตมันจะค่อยๆ มีแรงขึ้นมา เพราะเราไม่คิดมาก
จิตที่มันไม่มีแรง เพราะมันฟุ้งซ่าน
คิดเรื่องโน้น คิดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
ทำงานหนัก มันก็หมดแรง

เราก็ให้จิตได้พักผ่อน มาแค่รู้สึกร่างกายนี้
เป็นอารมณ์อันเดียวที่จิตมารู้สึก
ร่างกายมีอยู่ รู้สึก หันซ้าย หันขวา รู้สึก
ถ้ารู้สึกอยู่ในอารมณ์อันเดียว
จิตไม่วิ่งพล่านไปอารมณ์โน้นอารมณ์นี้
จิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตก็มีกำลังขึ้นมา
ไม่ได้ใช้พลังงานมาก รู้อารมณ์อันเดียว
จิตจะชาร์จตัวเอง

อย่างคล้ายๆ มือถือ
ถ้าเราเสียบสายชาร์จไปด้วยแล้วก็เล่นไปด้วย
เมื่อไรมันจะเต็ม มันก็ไม่เต็มสักที
มือถือโอกาสที่จะชาร์จให้มันเต็มทำไม่ค่อยได้
แต่ถ้าเราไม่เล่น คือไม่พาจิตไปคิดนึกปรุงแต่ง
ชาร์จมันอย่างเดียวเลย รู้สึกอยู่ในอารมณ์อันเดียว
รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย
รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย
การที่เรารู้อารมณ์อันเดียว
จิตมันจะชาร์จตัวเองได้รวดเร็ว
มันจะมีแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเลย
พอจิตมันมีกำลังขึ้นมาแล้ว
ต่อไปเราจะอ่านจิตตัวเองง่าย เพราะจิตมันมีแรงพอ"

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO