นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 6:29 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญบารมี
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 25 พ.ค. 2024 9:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4896
#คนที่เป็นกัลยาณมิตร

ถาม : เราจะมีหลักในการคบเพื่อน หาเพื่อนที่ดีๆ ที่ท่านเรียกว่ากัลยาณมิตรได้อย่างไรครับ

ตอบ : คือเรื่องการคบคน ส่วนหนึ่งเราเลือกไม่ได้ อย่างเช่น คนที่อยู่ในครอบครัวตัวเอง ญาติตัวเอง เราคงไม่สามารถที่จะแยกตัวเองหรืออยู่ห่างออกไป โดยบอกว่าเขาเหล่านี้ไม่เป็นกัลยาณมิตร บางทีต้องอดทน

แต่ในส่วนที่เราเลือกได้ เพื่อนที่ดีก็มีหลักง่าย ๆ อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราอยู่กับคนที่เป็นกัลยาณมิตร เรารู้สึกว่าการกระทำและการพูดในสิ่งที่ดีจะง่ายขึ้น การกระทำและการพูดในสิ่งที่ไม่ดีจะยากขึ้น

ในทางตรงข้ามถ้าเป็นปาปมิตร (อ่านว่า ปา-ปะ-มิตร) ถึงแม้คนนั้นเป็นคนน่ารักก็จริง เราอยู่ด้วยก็มีความสุข

แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร เวลาเข้าใกล้ เวลาไปคุยด้วยแล้วมักจะจบด้วยการทำอะไรที่ไม่ค่อยดี พูดไปพูดมากลับไปพูดเรื่องไม่ควรพูด การพูดการทำเรื่องไม่ดีเป็นเรื่องง่ายขึ้น การที่จะทำความดีรู้สึกจะทำน้อยลงด้วย

ฉะนั้นเครื่องชี้วัดง่าย ๆ ของกัลยาณมิตรคือว่า เราคบกับใครแล้วรู้สึกว่าทำความดีง่ายขึ้น ทำความชั่วได้ยากขึ้น เรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร เหมือนกับว่ากัลยาณมิตรจะดึงความดีของเราออกมา แต่ถ้าอยู่กับปาปมิตร ก็จะดึงความชั่วของเราออกมามากกว่า


“ธรรมะเอาการเอางาน”

#พระพรหมพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)







เกิดภพไหนชาติไหนก็เป็นอย่างเก่า
มาหลงของเก่าอยู่อย่างนั้น
ไม่มีของใหม่สักอย่าง
ดินฟ้าอากาศก็อันเดิม
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ก็วนกันอยู่อย่างนั้น
สังขารอันนี้มีแต่ชำรุดทรุดโทรม
พิจารณากันเข้าไปสิ
ล้วนแล้วแต่หลงหนังกันทั้งนั้น
อัตภาพร่างกายนี้ หนังห่ออยู่ทั้งนั้น
ทำลายหนังออกไปดูสิ
สกปรกเกินมนุษย์ไม่มีหรอก

โอวาทธรรม
หลวงปู่ลี กุสลธโร






ไผจะรีบเร่งทำความพากความเพียร
ก็ให้รีบทำเอา ต่อไปในอนาคต ข้างหน้า
ศาสนามิจฉาทิฏฐิจะเกิดมาก
คนฉลาดมีน้อย เขาจะจูงไปเหมือนวัว
เหมือนควาย มองไปทางได๋
มีแต่ไฟทั้งนั้นรอบด้าน

---------
คำสอนท่านหลวงปู่มั่น เตือนบรรดาศิษย์
สมัยอยู่หนองผือนาใน







#ผู้ใดให้ทาน
ผู้นั้นย่อมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์
#ผู้ใดรักษาศีล
ผู้นั้นย่อมรูปงามผ่องใส
#ผู้ใดภาวนา
ผู้นั้นย่อมมีปัญญาพาตนพ้นทุกข์

#หลวงปู่ศิลาสิริจันโท





คำถาม : การภาวนาเข้าไปเห็นจิตผู้รู้นั้น ทำอย่างไรครับ?

หลวงปู่ : ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ

คำถาม : ดูจิตแล้วเห็นปรุงแต่งเรื่องราวมากมาย ไม่ชนะ จะตามดับมัน?

หลวงปู่ : ต้องลำบากไปตามดับมันทำไม ดูแต่จิตอย่างเดียว มันก็ดับไปเอง มันออกไปปรุงแต่งข้างนอก มันเกิดจากต้นตอที่จิตทั้งนั้น หาแต่ต้นตอให้พบ ก็จะรู้แจ้งหมด อะไรก็ไปจากนี้ อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่นี้ทั้งหมด (ท่านพูดพลางเอาหัวแม่มือชี้ที่หน้าอก) สิ่งที่ได้รู้ได้เห็น แล้วอยากรู้อยากเห็นอีก นั่นแหละคือตัวกิเลส

คำถาม : เมื่อถึงโลกุตตระแล้ว มีเมตตา กรุณา อะไรไหมครับ?

หลวงปู่ : ไม่มีหรอกความเมตตากรุณา จิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ในโลกทั้งหมด จิตสูงสุดหลุดพ้น อยู่เหนือโลกทั้งหมด

คำถาม : ไม่มีเมตตาหรือครับ?

หลวงปู่ : มีก็ไม่ว่า ไม่มีก็ไม่ว่า เลิกพูด เลิกว่า เลิกอะไรๆ ทั้งหมด มันเป็นเพียงคำพูดแท้ๆ ให้ดูจิตอย่างเดียวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว เป็นแต่เพียงคำพูด

"สลัดทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นมายาออกเสีย ตัวผู้ที่รู้ และเข้าใจอันนี้แหละคือตัวพุทธะ"

หมดภารกิจ หมดทุกอย่าง ที่จะทำอะไรต่อไปอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่นี่จบอยู่ที่นี่ ไม่มียาวต่อไปอีก ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีคำพูด มีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่า... และบริสุทธิ์

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล







สะสมความรู้สึกตัว

"ธรรมชาติของจิตเกิดดับตลอดเวลา
พอจิตคิดดับ มีสติรู้ปุ๊บจิตคิดดับ จิตรู้ก็เกิดขึ้น
จิตรู้กับจิตคิด มันเหมือนเหรียญอันเดียวกัน
ด้านหัวกับด้านก้อย
เอาเหรียญโยนไป ก็ลงไปที่พื้น
มันไม่ออกหัว มันก็ออกก้อย
ยกเว้นมันไปติดร่องกระดาน
ไปตั้งเด่เอาไว้ โอกาสมันต่ำ
ส่วนใหญ่คือไม่ออกหัวก็ออกก้อย
ไม่รู้ก็หลง ก็แค่นั้นล่ะ

ถ้าเรารู้ทันจิตที่หลง
จิตที่หลงมันจะดับ มันจะเกิดจิตที่รู้ขึ้นมา
จิตที่รู้นั่นล่ะคือจิตที่ตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมา
ทีแรกรู้ได้นิดเดียว แล้วก็หลงอีก
หลงอีกรู้อีก หลงอีกรู้อีก ซ้ำๆๆ ไปเรื่อย
มันจะสะสมความรู้สึกตัวขึ้นมา
ในที่สุดจิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
ตัวนี้อาศัยการมีสติรู้ทันสภาวธรรมที่ละขณะๆ
ในที่สุดจิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมาได้

มันจะมีอาการคล้ายๆ กับตอนที่เราออกจากฌาน
ทำสมาธิเข้าฌานไป ถึงฌานที่ 2 ได้จิตผู้รู้
ออกจากฌานมา กำลังของจิตผู้รู้นี้ยังทรงตัวอยู่ได้
จิตจะทรงตัวเป็นอุปจารสมาธิบ้าง
เป็นขณิกสมาธิบ้าง ก็เป็นตัวผู้รู้"

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 กุมภาพันธ์ 2567




“อย่าทุกข์กับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นจากเราไป”

หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม วัดป่าบ้านตาด เช้าวันที่ 24 พฤษภาคม 2567






บางคนก็อาจจะไม่ทราบว่า
อะไรเป็นบาป อะไรเป็นบุญ
อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ
อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์
ถ้าไม่รู้ก็จะหลงทำผิดอยู่

#บางคนอาจจะคิดว่าฉันไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร
ฉันไม่ได้ไปทำทุจริตฉ้อโกงใคร
ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครเลย
#ก็อาจจะหลงว่าเราทำดีแล้ว เราดีแล้ว

#บางคนนั่งอยู่เฉยๆ
ไม่ยอมทำอะไร
#ไม่ยอมทำกุศลอะไรทั้งหมด
#คิดว่าตัวเองดีแล้ว
เพราะว่าเราไม่ไปเบียดเบียนใครก็ดีอยู่แล้ว

#แต่หารู้ไม่ว่าแม้ว่ากายวาจาเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร
#แต่จิตใจก็หายังได้สงบสุขไม่
#จิตใจก็ยังมีความโกรธ #ยังโลภ #ยังหลง
#ยังฟุ้งซ่าน #ยังหงุดหงิด
#ยังอิจฉาริษยาได้
#ยังพยาบาทปองร้ายได้
#นั่นก็คือยังเป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่นั่นแหละ

โอสถธรรม วิปลาสธรรม
อาจาริยาบูชา ๑๐๐ พระธรรมเทศนา
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา





เรื่อง " เข้ารอบสุดท้าย "
(คติธรรม​ พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี)​

มนุษย์ปัจจุบันมี 9 พันล้านคน เราก็ได้เข้ารอบมาเป็นคนไทย ในจำนวนคนไทยทั้งหมด เราก็(เข้ารอบ)มาอยู่ในกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนา ... แต่ แม้ในกลุ่มผู้นับถือพุทธศาสนาส่วนมากก็ไม่ได้สนใจในพุทธศาสนา บางคนไม่มีศรัทธาเลย ไม่เชื่อบุญ-บาป สมัยนี้ส่วนมาก ปฏิเสธกรรม และผลของกรรม

แต่เราก็(เข้ารอบ)มาอยู่ในกลุ่มคนที่เชื่อบุญ เชื่อบาป และในกลุ่มคนที่เชื่อบุญและบาป ... บางคนก็เพียงแต่ทำบุญ ให้ทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า แต่ยังไม่เข้าถึงการรักษาศีล เขาก็ยังทำบาป ยังฆ่าสัตว์ ยังลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก ดื่มสุราเมรัย ทั้งๆ ที่รู้บุญ-บาปมีจริง อย่างนี้ก็มี

บางคนก็ดีกว่านั้น มีศีลด้วย รักษาศีล5 แต่ไม่สนใจธรรมะ ไม่เคยฟังธรรม

แต่เราก็(เข้ารอบ)ได้มาอยู่ในกลุ่มคนที่มีศีล และสนใจธรรมะ กลุ่มที่สนใจธรรมะ ชอบฟังธรรม ได้แต่ฟังแต่ไม่สนใจปฎิบัติก็มี โยมบางคน ... บางทีฟังธรรมออกอากาศทางวิทยุ ... ชื่นชม ... ”โอ้ ดีเหลือเกิน ฟังดี” ถามว่าโยมได้ปฎิบัติหรือเปล่า? ไม่ได้ปฎิบัติอย่างนี้ก็มี สนใจฟังแต่ไม่เจริญกรรมฐาน

ส่วนเราก็ได้(เข้ารอบ) มาอยู่ในกลุ่มของคนที่ได้ปฎิบัติกรรมฐานซึ่งมีอยู่น้อยอยู่แล้วในโลกนี้ ก็ยังมีคนสนใจแต่ยังไม่มีโอกาสปฏิบัติ เพราะภาระกิจการงาน มีครอบครัว มีอะไรต่ออะไรต้องรับผิดชอบ ไปไหนไม่ได้ จึงไม่ใช่ง่ายที่คนจะปลดภาระ การงานและครอบครัวมาสู่การเก็บตัวปฏิบัติ

ต้องมีบุญบารมีมากจึงจะผ่านเข้ารอบมาถึงระดับนี้ได้ ถือว่าเป็นการงานที่มีสาระที่สุดของชีวิต ... ชีวิตที่อยู่กับการเจริญสติ เดินอย่างมีสติ ... นั่งอย่างมีสติ เมื่อมีสติกำหนดลมหายใจนับเป็นลมหายใจที่มีคุณค่า ... มีสาระ ... เราหายใจทิ้งมามากแล้ว ... ขอให้พากันหายใจอย่างมีสติ อย่างผู้รู้ เราเคยปล่อยจิตใจเลื่อนไหลไปตามเรื่อง ตามราวมามากแล้ว ... เรามาเริ่มดูจิต ดูใจ

เราเคยเห็น ได้ยิน รู้รส รู้กลิ่นมามาก แต่ไม่เคยมีสติรู้ ... ได้ยินให้มีสติ ... รู้รสให้มีสติ ... รู้กลิ่นให้มีสติ ยืน เดิน นั่ง นอน คู้เหยียด เคลื่อนไหว อย่างมีสติ (นี่) เป็นชีวิตที่มีสาระที่สุด มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรามาก ... เป็นการสะสมเหตุปัจจัย ... แม้ว่า เรายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ นี้ คือ การสะสมเหตุปัจจัย ต่อ มรรคผลนิพพาน เป็นการขัดเกลาอยู่ทุกขณะ ทุกวัน

พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี






. ปัจจุบันก็พอแล้ว
“อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา

“จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม

“ปัจจุบันก็พอแล้ว อดีตและอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย วันคืนเดือนปีสิ้นไปหมดไป อายุเราก็หมดไปสิ้นไป หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีลภาวนาต่อไป”....

คำสอนหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่






หลวงพ่อกราบพระ ลูกหลานบางคน เอ๊ะ!! หลวงพ่อเวลากราบพระหลวงพ่อคิดยังไง พวกลูกหลานบางคนอาจจะสงสัย

หลวงพ่อบอกให้ฟังเลย เพราะเรื่องของหลวงพ่อไม่มีลับลมคมใน หลวงพ่อคิดยังไงเวลาหลวงพ่อกราบพระพุทธเจ้า กราบพระพุทธปฏิมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ จากนั้นหลวงพ่อก็กล่าวว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ปะมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต ข้าพเจ้าขอกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หากข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็ดี ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อโหสิ พุทเธ ธัมเม สังเฆ ปะมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต

จากนั้นก็ประนมมือ กราบอีกครั้งที่ 4 ว่า มหาเถเร ปะมาเทนะ เถเร ปะมาเถระ อาจาริเย ปะมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต กราบ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เรารักเคารพนับถือเลื่อมใส เป็นครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบัน

ที่ว่า มหาเถเร คือ พระมหาเถระ เถเร แปลว่ารองลงมา อาจาริเย คือผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ เราได้ประมาทพลาดพลั้งทั้งมหาเถระ ทั้งเถระ ทั้งอาจาริเย ขอให้ท่านโปรด อโหสิ ให้ข้าพเจ้าด้วย จะได้สำรวมระวังต่อไป

อันนี้ก็คือการกราบระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ศรัทธาญาติโยมลูกหลานจะถือเอาเป็นตัวอย่างก็ได้ เพราะเราบางทีเราก็คิด ทำ พูด บางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่ถูกต้องเหมาะสมเป็นธรรม เมื่อเราไม่รู้ เราควรจะกราบคารวะ เป็นภาษาบาลีเป็นภาษาใจของตนเอง

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “สมัยอยู่กับหลวงตาที่วัดป่าบ้านตาด”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO