นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 08 ก.ย. 2024 7:55 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: รีบสร้างกุศล
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 29 พ.ค. 2024 9:42 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4675
#เรื่องของการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า
หรือบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นอย่างไร พระนิพพานที่ท่านเข้าถึงเป็นอย่างไร

มันพูดไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่เราพูดได้คือ
สิ่งที่ปรากฏในองค์ท่าน หรือสิ่งที่ปรากฏ
ในผู้ที่บรรลุธรรมตามพระองค์ในภายหลัง
ซึ่งสิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดคือ
ความไม่มีกิเลสหรือสิ่งเศร้าหมองในจิตใจ

คือไม่ใช่ว่าลดน้อยลงหรือหายไปชั่วคราว

แต่ไม่มีเลย จบโดยสิ้นเชิง
ความโลภ ความโกรธ ความหลง หมดไป

สิ่งเศร้าหมองในจิตใจ
ความทุกข์ในใจ ไม่มีเลย

ทีนี้ เมื่อไม่มีสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ
จิตใจของท่านเป็นอย่างไร

จะไม่มีอะไรเลยหรือ... เปล่า
มันเหมือนกับเราเก็บของสกปรกออกไป

พอความสกปรกหมดไป
มันไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร
มันจะมีความสะอาดเกิดขึ้นทดแทน
ในเมื่อสิ่งเศร้าหมองในจิตใจตายไปหมดแล้ว

ไม่กลับมาอีกแล้ว
สิ่งที่ดีงามก็เบิกบาน ก็เจริญถึงที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเมตตากรุณา
หรือมหากรุณาธิคุณและมหาปัญญาธิคุณ



“ปัญญา กรุณามาด้วยกัน”
โดย #พระพรหมพัชรญาณมุนี
#พระอาจารย์ชยสาโร
บ้านบุญ #วันวิสาขบูชา
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗





“ฆราวาสกับนักบวช“

…วิถีชีวิตของนักบวชกับฆราวาส
จึงต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน
ฆราวาสเหมือนอยู่บนสวรรค์
กินอยู่อย่างสุขอย่างสบาย
ตามความต้องการของตน

.นักบวชอยู่ตามมีตามเกิด
เหมือนอยู่ในนรก
ใจของฆราวาสเหมือนอยู่ในนรก
เพราะรุ่มร้อนกับความอยาก
ความวุ่นวายต่างๆ ความเสียใจ
ความผิดหวัง ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

.แต่ใจของนักบวชกลับอยู่บนสวรรค์
เพราะใจไม่วุ่นวาย ไม่รุ่มร้อนกับสิ่งต่างๆ
ยินดีตามมีตามเกิด ได้มากได้น้อยก็พอใจ
ได้อะไรมาก็พอใจ

.นี่คือเรื่องของ “ ใจ ”
ที่ฆราวาสจะไม่ค่อยเข้าใจกัน
เพราะขาดการศึกษาเล่าเรียน
ขาดการได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ ก็เลยหลงอยู่ใน
”สังคมของคนตาบอดด้วยกัน“ .

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๑๐ กัณฑ์ที่ ๓๗๑
วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๐






"การรู้...โดยไม่คิดเอง
คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด

ตราบใดที่ยังเห็น ว่า...
จิต...คือตัวเรา เป็นของ ของเรา
เราที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น...ตราบนั้น
ตัณหา หรือสมุทัย
ก็จะสร้างภพของจิต ว่าง...ขึ้นมาร่ำไป

ขอย้ำว่า ขั้นนี้...
จิต จะดำเนินวิปัสสนาไปเอง ไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติ
จงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ไม่มี...ใครเลยที่จงใจ
หรือตั้งใจบรรลุมรรคผล นิพพานได้
มีแต่...จิต เค้าปฏิบัติตนเองไป เท่านั้น

เมื่อจิตทรง ตัวรู้...แต่ไม่คิดอะไรนั้น
บางครั้ง...
จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมา สู่...ภูมิรู้ ของจิต
แต่จิต ไม่สำคัญมั่นหมายว่า...มันคืออะไร
เพียง แค่รู้...เฉย ๆ
ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น

ในขั้นนี้...
เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด
ถึงจุดหนึ่ง...
จิต...จะก้าวกระโดดต่อไปเอง

การเข้า สู่...มรรคผลนั้น
รู้...มีตลอด แต่...ไม่คิด
และไม่สำคัญมั่นหมาย ในสังขารละเอียด
(ความสงบอันประณีต)ที่ผุดขึ้นมานั้น

เมื่อจิต...
ถอนออกจากอริยะมรรค และอริยะผล
ที่เกิดขึ้นแล้ว...
ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้...
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้น...ต้องดับไป
ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่...
แต่ก็ ไม่มี...ความเป็นตัวตนสักอณูเดียว

นี้เป็นการรู้ธรรม ในขั้นพระโสดาบัน
คือ ไม่เห็นว่า...สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แม้...แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา
แต่...ความยึดถือ ในความเป็นเรายัง มีอยู่...

เพราะ ขั้นความเห็น...
กับความคิด นั้น...มันคนละขั้นกัน."
_______________________________
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล.





สัตว์บางประเภทนี่ถ้าเป็นไปได้ท่านไม่อยากให้ไปทำร้ายมันนะ อย่างเต่า อย่างงู ถ้าพูดเรื่องนี้มาก็คิดเห็นหลวงพ่อถ่อน วัดป่าน้ำบุ้น หลวงพ่อถ่อนนี่ แกเป็นคนทางจำปาศักดิ์ แต่แม่ออกแกมาบวชเป็นแม่ชีอยู่ ก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แกก็มาบวชด้วยสมัยงานเผาศพแม่หลวงปู่ชาเรานี่แหละ ปีพ.ศ. 2518 ปีนั้นบวชให้ผู้เฒ่าบวชเป็นเถรมาก แม่ชีก็เยอะ สมัยเป็นโยมเขาปิดสร้างเขื่อนสิรินธรก็เปิดให้จับจองกัน ใครไม่มีที่มีทางก็พากันไปเอาเยอะ พ่อใหญ่ถ่อนก็ไปเอาที่อยู่แถวนั้น แล้วก็เลยได้ถวายมาสร้างวัดป่าโพธิญาณ ต่อมาก็เลยมาบวช มาบวชได้ก็ไม่สึก ก็อยู่ไปเรื่อยๆ มีลูกสาวลูกเขยก็อยู่กันทรลักษณ์ แถววัดป่าดอนเย็นทุกวันนี่แหละ เมื่อก่อนเป็นวัดบ้านพระบ้านเขาก็อยู่ไม่ติด อยู่ไปอยู่มาเขาก็หนี มันก็ร้างไป วัดบ้านก็ว่าจนปัญญาที่จะหาพระมาอยู่ มอบให้ฝ่ายวัดป่าไปหาครูบาวัดป่ามาอยู่ดีกว่า ก็เลยนิมนต์หลวงปู่ถ่อนนี้แหละไปอยู่ เมื่อไปอยู่ก็สร้างอะไรต่ออะไร วัดวาก็เริ่มดีขึ้น มาอยู่ได้ 2 พรรษา แต่หลวงปู่ถ่อนนี่แกชอบ ทำกรรมทำเวรไว้กับเต่า แกเคยเล่าให้หลวงปู่ชาฟังอาตมาก็ได้ยิน แล้วก็จำไว้อยู่ เมื่อแกเป็นหนุ่มนี้ก็พิเรนคิดอยากกินอบเต่า ทำเหมือนอบไก่นี่แหละ มันวิตถารพอสมควรอยู่นะ ต้มแกงอ่อมนี่มันก็ยังพอว่า พอทำใจอยู่เนาะ แต่ไอ้หนุ่มพวกนี้นิอยากกินอบเต่า ถ้าอบเขาก็ไม่ได้ฆ่าให้ตายนะ แกบอกว่า ก็ตำพริกขึ้นแล้วก็เอาน้ำปลาเทใส่ถ้วยกาไก่ แล้วก็เอาน้ำพริกใส่นั้น ก็เอาไปวางไว้ข้างใน เอาปีบมาครอบ เอาเฟืองมาเผา เต่ามันจะตายมันก็ต้องกินน้ำปลาก็ผสมพริกที่วางไว้นี่แหละ ให้มันนัวมันอร่อยดี ทำไปแล้วตอนหนุ่มแน่นก็ยังแข็งแรงดี กินเอร็ดอร่อย ไม่คาดคิดว่าบาปกรรมมันจะรุนแรงขนาดนั้น เมื่อความวิบัติจะมาถึง มันมีหลวงตาคนหนึ่งบวชอยู่กับหลวงพ่อคำวัดป่าไทยพัฒนา ชื่อหลวงตาขาน เป็นพูดเก่งคุยเก่ง มาอยู่วัดป่าเกษตรกับพระอาจารย์สุบิน อยู่ไปอยู่มาก็คิดเบื่ออยากไปอยู่กันทรลักษ์กับหลวงพ่อถ่อน หลวงพ่อถ่อนท่านก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วก็ไม่ชอบ หลวงตาขานไปแย่งพูดหมด อะไรๆก็พูดหมด หลวงพ่อถ่อนเลยจะหนีจากหลวงตาขาน ก็ออกมาจากวัดกับเณรน้อยแขนตาบ เณรน้อยก็ดื้อเหลือหลาย ตอนในพรรษาก็จุดไฟไหม้มุ้ง มันเลยไหม้แขนเป็นตาบอยู่วัดป่าดอนเย็นนั่นละ  ก็ไปอยู่วัดป่าน้ำบุ้น แต่ก่อนยังไม่มีพระไปอยู่มีพระขาวอยู่คนเดียวไฟฟ้าก็ไม่มี วันที่จะเกิดเรื่องตรงกับวันพระสมัยนั้นยังใช้เครื่องปั่นไฟ ตกตอนเย็น ก็พากันไปติดเครื่องปั่นไฟ ดึงเครื่องปั่นไฟอยู่ ครืดๆ! ก็ไม่ติดก็ไม่ติดที่นี้ทำยังไง หลวงพ่อถ่อนก็บอกไปเอาตะเกียงมา เปิดฝาเครื่องปั่นไปออก พออายของน้ำมันเบนซินโดนกับน้ำมัน มันก็บึ้มสนั่นเลย ช่วงนั้นหน้าหนาวด้วย ใส่อังสะไหมพรมพร้อม น้ำมันมันก็พุ่งขึ้นมาอาบหลวงพ่อถ่อนคนเดียวเลย พอมันระเบิดแรงอัดประตูมันก็ปิดอัตโนมัติเลย เหมือนกันกับเต่าที่ท่านขังไว้อบเลย ส่วนผ้าขาวกับเณรน้อยเขาก็ปีนออกมาได้ เพราะเขาไม่ได้มีกรรมร่วม พอออกมาแล้วหาหลวงพ่อถ่อนไม่เจอ ก็หาค้อนไปทุบประตูเอาหลวงพ่อถ่อนออกมา ตอนนั้นแกไม่ได้สติแล้ว เอาผ้าเช็ดแกหนังก็หลุดออกมาด้วย จนเห็นเนื้อแดงๆ อยู่มาอาทิตย์กว่าๆแกถึงตาย ศาลานั้นก็ไหม้หมด พระประธานก็ยังละลาย นี่อันนี้ท่านว่าแรงใดในโลกก็สู้แรงกรรมไม่ได้ ขนาดมาบวชแล้วก็ยังหนีไม่ได้ แล้วสัตว์พวกนี้อุทิศบุญให้มันไม่ค่อยรับ มันผูกอาฆาตมาก

คติธรรม หลวงพ่อสมหมาย ปิยธัมโม วัดป่าอุดมวนาสันต์ (สาขาวัดหนองป่าพงที่ 33 ) อ.นาเยีย จ.อุบลราชธานี






" เป็นพระต้องจน พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา พระไม่มีอาชีพการงาน ไม่มีรายได้เหมือนชาวบ้าน แล้วแต่เขาจะให้ ดังนั้นพระต้องประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย การใช้ของสวย ๆ งาม ๆ ไม่ใช่ชีวิตของพระ ถ้าเป็นพระแล้วทำตัวไม่เหมือนพระ ทำไม่ถูกก็ควรสึกไป "
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






“ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา
ท่องไว้เลยว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ไม่มีสิ่งใดหรอกที่มาแล้วไม่ผ่านไป
ไม่ว่าความสุข หรือความทุกข์”

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช





“รีบสร้างกุศลไว้ เมื่อความตายยังมาไม่ถึง
เมื่อความตายมาถึง เงินหนึ่งสลึงก็เอาไปไม่ได้”

หลวงปู่สาย เขมธัมโม


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO