นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 08 ก.ย. 2024 8:01 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: แบ่งปันความสุข
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 พ.ค. 2024 7:22 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4675
คำถาม : คนเราตายไป มันได้ไปเกิดใหม่จริงหรือครับหลวงปู่ (ผู้ถาม)ในฐานะคนรุ่นใหม่ ยังคงติดใจและไม่เชื่อว่าตายแล้วมาเกิดได้

หลวงปู่ได้แสดงแก้ข้อสงสัย อุปมาผลไม้ ที่มีเนื้อมีเปลือกห่อหุ้มเมล็ดเชื้อพันธุ์ไปเกิดได้ฉันใจ การฝึกจิต บวกกับบุญ~กรรมก็ห่อหุ้มดวงจิต ไปเกิดในภพภูมิตามเหตุและผล มีแต่พระอรหันต์ผู้ฝึกจิตหลุดพ้นแล้วถึงจะสามารถดับเชื้อแห่งการเกิดใหม่ได้ฉันนั้น

นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานคือสุขอย่างยิ่ง...

#หลวงปูมหาศิลา สิริจันโท






เรื่องประพฤติปฏิบัติธุดงกรรมฐานนี้มีอยู่แต่เฉพาะพระพุทธศาสนาเราเท่านั้น ในศาสนาอื่นไม่มี เหมือนอย่างหลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติจนเกิดความสงบแล้วท่านจะไปตามความสงบของท่าน จิตก็จะแสวงหาสถานที่ที่สงบสงัดวิเวกวังเวง ตรงไหนที่ได้รับความสงบเป็นธรรมชาติก็จะไป ณ ที่นั้นชอบจะเดินป่าเดินเขาเรียกว่า "ธุดงค์กรรมฐาน"

นึกไปถึงสมัยก่อนที่เราไปเที่ยว หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านไม่พาพูดว่า "#ไปภาวนาไปธุดงค์" ...ท่านพูดว่า "#ไปเที่ยว" คำว่าไปเที่ยวก็คือ ไปภาวนาไปธุดงค์ แต่พูดหลีกเลี่ยงไป เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใจว่า ตัวเองปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...ท่านไม่ให้อวดไม่ให้พูดว่า ไปๆ ธุดงค์กันเถอะท่านให้พูดว่า #ไปเที่ยว"

#หลวงปู่ไม อินทสิริ
(หนังสือชีวประวัติหลวงปู่ไม หน้า ๑๔)






"อันการแสดงสัมมาคารวะนั้น
แม้จะเหมือนเป็นการยกผู้ได้รับว่าสูง
และผู้ให้ว่าต่ำ แต่ที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น

ผู้แสดงสัมมาคารวะนั่นเอง
เป็นผู้ประกาศความสูงของตนให้ปรากฏ
แก่ตาผู้รู้ทั้งหลาย ผู้ได้รับมีฐานะอย่างไร
ก็คงอยู่ในฐานะเดิม ไม่อาจสูงขึ้นได้
เพราะสัมมาคารวะที่ได้รับ

การแสดงสัมมาคารวะก็เป็นกรรม
จึงเข้ากฎแห่งกรรม ตามที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงไว้ คือ ผู้ใดทำ ผู้นั้นย่อมได้รับ
เมื่อสัมมาคารวะเป็นกรรมดี ผลดีจึงเกิดแก่ผู้ทำ

แม้มีความรู้สึกไม่อยากจะแสดง
สัมมาคารวะเมื่อใด ก็ควรนึกถึงความจริงนี้
ไม่มีใครไหนอื่น จะได้รับผลดีจากการแสดง
สัมมาคารวะนอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม
ผู้แสดงความก้าวร้าวหยาบคาย
ไม่มีสัมมาคารวะ ก็ไม่มีใครไหนอื่น
จะต้องกระทบกระเทือน
นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น"

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวรฯ





..การทำทานการกุศลก็ได้ทำทานไปแล้ว การรักษาศีล ก็รักษาได้ตามกำลังของตนเองที่รักษาได้ บางคนก็ได้เจริญภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจให้จิตใจสงบเยือกเย็น เราจึงเห็นว่าทำไมบางคนถึงโกรธง่ายน้อ..บางคนทำไมมีโลภะมากน้อ..บางคนทำไมจึงเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ฝึกฝนอบรมตนเองให้จิตใจเยือกเย็น หน้าตาแช่มชื่นเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส ไปทางใต้ทางเหนือก็ดีไปทางใดก็ดี ทำไมจึงมีความสุขต่างกันอย่างนั้น ก็คือมาจากการฝึกฝนอบรมจิตใจก็ทำให้มีที่พึ่ง เมื่อนึกถึงบุญจิตใจก็มีความสุข นึกถึงการรักษาศีลว่าตนเองมีศีลตามกำลังของตนเองที่รักษาได้ใจก็มีความสุข เมื่อฝึกฝนจิตใจให้มีความสงบได้ก็มีความสุข สามารถที่จะมีสติปัญญารู้จักทางเดิน รู้จักวิถีชีวิตที่ตนเองจะเดินทางเส้นไหน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






. คนจะได้ สิ่งดีดี มีบุญหนัก
ขึ้นกับหลัก ความดีหนา ห้าสถาน
หนึ่ง นิ่งได้ ใจพระ ชนะมาร
สอง ทุกเหตุการณ์ รอได้ ไม่กังวล
สาม ฝึกจิต ทนได้ ไม่ทุกข์หนัก
สี่ ใจรัก ช้าได้ ไม่สับสน
ห้า ดีได้ ทุกระดับ ไม่อับจน
เป็น "มงคล" ได้บุญหนัก ศักดิ์ใหญ่เอย..

คติธรรมหลวงปู่ทอง สิริมังคโล
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร
จ. เชียงใหม่







" #พวกที่หลงโลก มีอยู่ ๔ ประการ
หลงของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง
หลงของเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
หลงของไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
หลงหนังหุ้มอยู่โดยรอบว่าเป็นของ
สวยงาม..."
_________________________________
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต






#ฝึกด้วยข้อปฏิบัติให้ธรรมเกิดขึ้นมีขึ้น

... " จิตใจ ถ้าหากไม่มี 'ธรรม' อยู่ประจำ
จิตนั้นไม่มีกำลังเลย สู้กระแสโลก สู้กระแสกิเลสไม่ได้

.. กระแสของโลก กระแสของกิเลสมาสัมผัส เข้ามาเกี่ยวข้องจิตที่ไม่มีกำลังนั้น ถูกกิเลสที่มีอยู่ในจิตนั้น บีบบังคับให้เป็นไปตามอำนาจของกิเลส

... ถ้าหากว่าจิตมีธรรม อันได้เกิดจากการฝึกหัดอบรม สมบูรณ์หนาแน่น ในเมื่อมีลมพัดมา จะล้มจะหักเป็นไปไม่ได้ ท่านเปรียบอุปมาเหมือนกับเสาหินที่ใหญ่ และฝังลงในแผ่นดินที่ลึก ลมจะรุนแรงแค่ไหนเพียงใดก็ช่าง ไม่ทำให้เสาหินที่ใหญ่ที่มีน้ำหนักมากๆ แล้วก็ฝังลงไปลึกนั้นโยคคลอนหวั่นไหวได้ จิตที่มีธรรมก็เช่นเดียวกัน กระแสกิเลสด้วยประการใดๆทั้งหมดนี้ จะมาพัดให้โยคคลอนเป็นไปไม่ได้

... จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกด้วยข้อปฏิบัติ ให้ธรรมเกิดขึ้นมีขึ้น ที่จะต่อสู่กับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ไม่ให้สิ่งที่มาเกี่ยวข้องนั้น ดึง ฉุด ลากไป เพราะใจของเรามีธรรมหนาแน่นมั่นคง

... ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับกระแสโลกนั้น เรื่องของโลกห้ามไม่ได้ เพราะในโลกนี้เขามีมาอย่างนั้น มีแต่ความจำเป็นจะต้องสร้างพลังคือธรรมให้สมบูรณ์แน่นหนาอยู่ในจิตในใจ แล้วเราจะเป็นผู้ที่ปลอดภัย "
___________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร






"ความรุนแรง" เกิดจาก “ความอ่อนแอ”
เชื่อไหม? ลองไปคิดดู อ่อนแออย่างไร?
.
“ ความรุนแรงต่างๆเหล่านี้ เกิดมาจากอะไร ตอบง่ายๆได้เลยว่า เกิดจากความอ่อนแอ ความรุนแรงเกิดจากความอ่อนแอ เชื่อไหม? ลองไปคิดดู อ่อนแออย่างไร? ก็เขายึดหลักไว้ไม่ได้ จับหลักเอาไว้ไม่อยู่ ตั้งหลักไม่ติด กระแสอะไรมาก็ไหลไปด้วย อย่างน้อยก็กระแส “ความชอบใจ-ไม่ชอบใจ” ของตัวเอง แค่เกิดชอบใจ-ไม่ชอบใจขึ้นมาก็ไปแล้ว ยืนหลักไม่อยู่ เหตุผลก็ไม่เอา คือไม่เอาหลัก ไม่เอาความถูกต้อง เอาแต่ที่ชอบใจ อย่างที่เรียกว่าเอาแต่ใจตัว...
.
ถ้าอ่อนแอ ก็จะถูกกระแสพัดพา
เราจะต้องมาทําความเข้าใจ และสร้างกําลังขึ้นมาให้ได้ ถ้าเด็กและเยาวชนของเราเป็นคนเข้มแข็ง มีกําลังดีแล้ว ตัวเขาเองก็จะยืนตั้งหลักได้มั่น และสามารถเดินหน้าก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าทางสายกลาง นี่แหละ แล้วจะพาสังคมตั้งแต่ครอบครัวของตน ตลอดจนประเทศชาติ ให้ร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองได้
.
แต่ถ้าเด็กและเยาวชนของเราอ่อนแอ ไม่มีกําลัง ก็จะถูกกระแสที่ท่วมท้นเข้ามา พัดพาไหลลอยไป โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ ในขณะที่คนของเราเองอ่อนแอไม่มีกําลังที่จะตั้งหลักได้นี้ กําลังข้างนอกที่มาซัดพัดพาดึงออกไปก็เพิ่มมากขึ้นๆ คือกระแสต่างๆ เช่น กระแสโลกาภิวัตน์ กระแส IT กระแสความรุนแรง กระแสบริโภคนิยม กระแสรวยลัด กระแสลาภลอย กระแสคอยโชค หรือกระแสคอยผลเบื้องบนบันดาล ฯลฯ กระแสเหล่านี้ไหลแรงมาก เมื่อกําลังฝ่ายธรรมของตัว คือความเข้มแข็งที่จะยืนอยู่ได้ในความดีงามถูกต้อง ทั้งกําลังภายในและกําลังภายนอก อ่อนแอ หรือไม่มีเลย ก็อยู่ไม่ไหว เลยไหลไปหมด”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมกถา วันอาสาฬหบูชา เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ที่ วัดญาณเวศกวัน จากหนังสือ “ความรุนแรงเกิดจากความอ่อนแอ”






"...ธรมาโน โส ภควา พระบรมศาสดามีชีวิตอยู่นั่น
เทศน์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตามากกว่าเพื่อน เพราะเป็น
นิยยานิกธรรมนำสัตว์ทั้งหลายให้เบื่อหน่ายให้คลาย
เมาในวัฏฏสงสาร กรรมฐานอื่นๆ ไม่สามารถจะเบื่อ
หน่ายคลายเมาได้ ถึงจะพิจารณาอสุภ-อสุภังสักเพียง
ใดก็ตาม ก็ยกลงสู่ไตรลักษณ์เหมือนกัน ถึงจะพิจารณา
เมตตาพรหมวิหารก็ยกลงสู่ไตรลักษณ์เหมือนกัน ถึงจะ
ภาวนาเมตตาถึงจะพิจารณากสิณก็ตาม ก็ต้องยกลงสู่
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเสียก่อนในตอนที่เจริญปัญญา
ธาตุ ๑๘ ก็เหมือนกัน...จักขุนทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์
ก็ดีหรืออะไรก็ดี โสติน ฆานิน ชิวหิว กายิน มนิน อิตถิน
ปุริสิน ชีวิติน สุขิน ทุกขิน โสมนัสสิน โทมนัสสิน
อุเปกขิน สัทธิน วิริยิน สติน สมาธิน ก็ตาม...ธาตุใด
ทั้งปวงที่เป็นฝ่ายสังขารก็อยู่ใต้อำนาจอนิจจังแล้ว...
เป็นสถานีใหญ่ของการภาวนา..."

#ที่มา หนังสือ ผู้บรรลุเเดนเกษม
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี จ.มุกดาหาร






พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลายจะพ้นจากทุกข์
โดยการอ้อนวอนกราบไหว้ ในโลกนี้ก็จะไม่มีใคร ทุกข์ยากลำบาก มีเคราะห์มีกรรม เพราะใครก็อ้อนวอนเป็น
คนโง่ ที่ไหนเขาก็อ้อนวอนเป็น

พระพุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นเพียงผู้บอกทางให้
ความพากเพียรพยายาม ให้ถึงสิ่งนั้น
เป็นเรื่องของพวกเธอทั้งหลาย ที่พึงจะกระทำเอง

โอวาทธรรม หลวงพ่อสมภพ โชติปํญโญ
วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จ.สกลนคร






#สิ่งที่จะให้สมหวังคือ_บุญนี้เอง
ท่านผู้สมหวัง...
ได้ผ่านทุกข์พ้นไปแล้ว
คือ พระพุทธเจ้าของเรา
ท่านก็อาศัยบุญนี้เองเป็นคุณช่วยท่าน
ผู้ที่จะให้สมหวัง ในกาลข้างหน้าก็บุญนี้เอง
โปรดจำให้แม่น เพียรอย่าถอย
ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เสียท่า
ตายไปแล้วก็ไม่เสียที จงทำดีให้มาก
_________________________
โอวาทธรรม...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








“คนที่จะสามารถให้อภัยกับบุคคลอื่นได้
คนนั้นจะต้องอยู่จุดที่เหนือกว่า
คือใจไม่ทุกข์แล้ว

เพราะใจไม่ทุกข์ มันก็เลยไม่ถือโทษ
เห็นความผิดพลาดของคนเป็นเรื่องปกติ

แต่ถ้าให้อภัยไม่ได้คือใจยังทุกข์อยู่นั่นเอง

ที่เราจะให้อภัยเขาได้ เราก็ต้องเห็นก่อนว่า
เขาก็ทุกข์เหมือนกัน เขาก็วกวนเหมือนกัน
ต้องดิ้นรนด้วยอำนาจของตัณหา กังวลหวาดกลัว หวาดระแวง

เขาแค่อวดว่ามีความสุข แต่ในใจไม่มี
ความสุขหรอก อย่าไปเชื่อรอยยิ้มบนใบ
หน้า

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงที่เราต้องเรียนรู้
ก็คือ ทุกคนต่างแสวงหาการเอาตัวรอด
ด้วยกันทั้งนั้น เราก็แสวงหาการเอาตัวรอด
ของเรา เขาก็แสวงหาการเอาตัวรอด
ของเขา

เมื่อไรที่เราถูกกระทำให้พยากรณ์ไว้ก่อน
เลยว่า แม้แต่เราก็เคยทำกับเขาอย่างนั้น
มาแล้ว

ใจเราจะปรับมาเป็นกลางได้
และให้เรายอมรับความจริงว่า
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่แสวงหา
การเอาตัวรอดของตัวเอง เพราะเขาเชื่อว่า
สิ่งเหล่านั้นจะช่วยเขาได้

แต่ละคนจะมีช่องทางการเอาตัวรอด
แตกต่างกันออกไป แล้วแต่สัญญา
แล้วแต่ประสบการณ์

เมื่อไรที่ใจของเราไปตั้งอยู่กับสิ่งที่ไม่
สามารถควบคุมได้ เราจะทุกข์ใจมาก
โดยเฉพาะไปตั้งไว้กับคนอื่น

เพราะฉะนั้นคนที่จะมีภูมิคุ้มกันของตัวเอง
คือคนที่มีบุญเท่านั้น จะเป็นผู้อยู่อย่าง
ปราศจาคโทษ คือใครจะทำอะไรก็ดีหมด
เพราะรู้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ หาหนทาง
ออกจากทุกข์ ตามวิถีทางที่ตนถนัด

คนที่ใจมีความสุขเขาจะไม่เบียด
เบียนคนอื่น เขาจะไม่พูดส่อเสียดเพ้อเจ้อ
ดูหมิ่น ไม่กระทำคนอื่นแบบนั้น คนที่มี
ความสุขเขาจะแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น

ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาหรอก ว่าเขาจะ
ชอบหรือไม่ชอบเรา แค่คนที่เขาเห็นว่า
เรามีความสุข เขาก็อยากจะอยู่ไกล้เรา

ให้ดูที่กรรมของเขา แล้วก็กลับมาดูที่ใจ
ของตัวเรา เราไม่ทุกข์ก็พอแล้ว

ไม่ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น
ไม่เอาใจไปตั้งกับสิ่งที่ไม่สามารถควบคุม
ได้ แล้วกลับมาอยู่กับตัวเอง นี้เบื้องต้น
ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
การให้อภัย การอโหสิกรรม
เป็นการละลายความมืด
ละลายความเห็นแก่ตัวของตน

การให้อภัยนั่นแหล่ะ จะช่วยให้เราบรรเทา
ทุกข์ลงได้”

#พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก
#สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO