นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 18 ต.ค. 2024 12:12 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อภัยทาน
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 มิ.ย. 2024 9:34 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4715
ขอสาธุชน อย่าละเลยการบำเพ็ญทาน
รักษาศีล และเจริญภาวนา อันนับเป็น “ปฏิบัติบูชา”
ที่พึงกระทำต่อพระรัตนตรัย
เพื่อความดำรงคงมั่น แห่งพระสัทธรรม
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นประทีปส่องใจเวไนยนิกรทั้งปวงสืบไป
ตลอดกาลนาน เทอญ
.
--- สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ(อัมพร อัมพโร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก






. คนเราเกิดมามิใช่ว่ามาแบบไม่ต้องทำอะไร มันต้องมีประสบการณ์ในส่วนที่จะต้องทำหน้าที่ของตน ๆ ก็ต้องฝึกต้องหัด

หลักที่ถือว่าเราเอามาฝึกนั้น ฝึกทางกาย ฝึกกิริยามารยาท ฝึกทางวาจา ฝึกการใช้สื่อที่เราเรียกว่าภาษา ภาษาที่เราจะต้องใช้ ก็ใช้ในรูปแบบของความอ่อนโยน เป็นภาษาที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นที่ยอมรับ ให้เกิดความเรียบร้อย เรียกว่าเป็นความงามในเบื้องต้น กิริยามารยาทที่เราจะต้องแสดงออกด้วยความเอื้อเฟื้อ นี่ก็เป็นความงาม

ทีนี้ฝึกด้านจิตใจ จิตใจไม่มีตัวไม่มีตนนะ มันมีลักษณะที่มีบวกมีลบ มีพอใจไม่พอใจ ถ้าพอใจมากมันก็เป็นเครื่องบดบังเหมือนกัน มันก็เป็นอุปสรรคได้เหมือนกัน

เพราะความพอใจมันก่อให้เกิดความรู้สึกยินดี และมักจะถูกความรู้สึกที่เรียกว่า “ความพร่อง” ชักจูง ภาษาท่านเรียก “ความอยาก” ความอยากไม่รู้จักจบจักสิ้น อันนี้ต้องให้ระมัดระวัง.....

คำสอนหลวงปู่เลี่ยม ฐิตธมฺโม
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี






“..คนที่กำลังจะตายนั้น ถ้าจิตไปเกาะยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิญญาณที่ออกจากร่างไปก็วนเวียนไปเกาะอยู่กับสิ่งนั้นเหมือนกับผลไม้ที่ห้อยอยู่กับกิ่งบนต้นของมัน ถ้ากิ่งมันเอนไปอยู่ตรงที่ดี ผลของมันก็หล่นลงมางอกตรงที่ที่ดี ถ้ากิ่งมันเอนไปอยู่ตรงที่ที่ไม่ดี ผลที่หล่นลงมาก็จะงอกตรงที่ที่ไม่ดีนั้น

คนที่ไม่มีสมาธิ จิตใจมีนิวรณ์ความกังวล ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงคนโน้นคนนี้ เวลาตายวิญญาณก็ไปเกาะอยู่ที่ลูกที่หลาน
บางคนกลับไปเกิดเป็นลูกของลูกตัวเองก็มี

บางคนที่พ่อแม่ทิ้งมรดกที่สวนไร่นาไว้ให้ ก็เป็นห่วงสมบัติของตน พอตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในสวนในนาก็มี

บางคนก็ไปเกิดเป็นผีสางนางไม้เฝ้าทุ่งนาป่าเขาก็มี พวกนี้เป็นพวกสัมภเวสี คือ วิญญาณลอยไปเที่ยวหาที่เกาะ

ถ้าจิตของเราตั้งอยู่ในบุญกุศล เราก็จะมีสุคติเป็นที่ไป

ถ้าจิตของเราตั้งอยู่ในบาปอกุศล วิญญาณของเราก็จะต้องไปสู่ทุคติไม่ได้ไปเกิดในโลกที่ดี โลกที่ดีนั้น คือ โลกที่ไม่มีภัย เป็นโลกแห่งเทวบุตร เทวดานางฟ้าไม่มีความทุกข์ภัยใดๆ ในโลกของเทวดานั้นมีแต่เกิดกับตายไม่มีแก่ไม่มีเจ็บ โลกมนุษย์มีทั้ง เกิด แก่ เจ็บ ตายโลกนิพพานไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย..”

โอวาทธรรม:ท่านพ่อลี ธัมมธโร






“คนจนมีเงินทองข้าวของเล็กน้อย
แต่สามารถแบ่งไปให้ทานได้เช่นนี้
ท่านว่า มีอานิสงส์มาก มีผลใหญ่
เหตุเพราะว่า มันทำได้ยาก”

คติธรรมหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ






#ถ้าหยุดความอยากได้ก็จะหายทุกข์

"...มีดวงตาเห็นธรรมหรือยัง เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคหรือยัง เห็นแต่ชื่อหรือเห็นตัวมัน ต้องเห็นตัวมัน ไม่เห็นตัวมันจะไม่เห็นนิโรธ ไม่เห็นสมุทัย ไม่เห็นตัวที่ทำให้เราทุกข์ เห็นก็เห็นผิดตัว ไปโทษคนนั้นคนนี้ว่าทำให้เราทุกข์ แต่ตัวจริงที่ทำให้เราทุกข์มองไม่เห็น ตัวที่ทำให้เราทุกข์ก็อยู่ในใจเราไม่ได้อยู่ข้างนอก ตัวที่ทำให้เราทุกข์ก็คือความอยากของเรา อยากได้นั่นอยากได้นี่ พอไม่ได้ก็ทุกข์

ถ้าหยุดความอยากได้ก็หายทุกข์ จะหยุดได้ก็ต้องมีสติมีปัญญา สองตัวนี้ที่เราไม่มีกัน ต้องมีสติ ใจเราลอย ลอยไปกับความคิดต่างๆ คิดแล้วก็ไปเกิดความอยากขึ้นมา แล้วก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา แล้วก็ไม่รู้จักหยุดมัน ถ้าเราหยุดความคิดหยุดความอยากได้ ความทุกข์เราก็จะหายไป เราเลยต้องมาปฏิบัติกัน ต่อให้เรียนจบพระไตรปิฎก ก็หยุดมันไม่ได้ การเรียนนี้มันเป็นการศึกษาวิธีการที่จะมาปฏิบัติ การปฏิบัติเท่านั้น ที่จะหยุดความทุกข์ใจเราได้ หยุดความอยากของเราได้ ถ้าหยุดความอยากได้ ความทุกข์ก็จะหายไปหมด

ตอนนี้เราไม่มีกำลังที่จะหยุดความคิดหยุดความอยากกัน จะต้องมาสร้างกำลัง กำลังที่จะหยุดก็คือสติ สติก็ต้องใช้พุทโธ บริกรรมพุทโธๆ ไป อย่าให้ใจคิดอะไร ถ้าเราบริกรรมพุทโธๆ ก็จะคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้คนนั้นคนนี้ไม่ได้ พอไม่คิดแล้วใจเราก็เบาสบาย พอคิดก็หนักอกหนักใจขึ้นมา คิดถึงปัญหาต่างๆ เพราะเรามีความอยากให้ปัญหามันหมดไป แต่ปัญหามันไม่มีวันหมด โลกนี้มีแต่ปัญหา เราอยู่ในโลกของปัญหา เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงแท้แน่นอน.."

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๒๓ มกราคม ๒๕๖๐






#พระพุทธเจ้า๓ประเภท

"...อสงไขย แปลว่า นับไม่ได้ ถ้าเราเทียบก็ไปยุติกันที่ล้านๆ ทุกวันนี้เอาล้านๆนี้เป็นประมาณ พอนับไปถึงล้านก็เป็น ๑ล้าน ๒ล้าน ๓ล้านไป. อันนี้ไปถึงนั้นก็เรียก๑อสงไขย ๒อสงไขย ๓อสงไขยไปเลย
พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท
ประเภทที่๑ สร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขย แสนมหากัป
ประเภทที่ ๒ สร้างบารมีมา ๘ อสงไขย แสนมหากัป
ประเภทที่ ๓ สร้างบารมีมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป
พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภท ความตรัสรู้เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์เสมอกันหมด แต่อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์แตกต่างกัน ประเภทที่๑ การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกนี้กว้างขวางมากมายทีเดียว ประเภทที่๒ ก็ลดลงมา
พระพุทธเจ้าเรานี้เป็นประเภทที่๓ การรื้อขนสัตว์โลกนี้ได้น้อยกว่าสองประเภทเบื้องต้น
พระพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ตรัสรู้ธรรมแบบเดียวกัน รู้เห็นธรรมแบบเดียวกัน จึงสอนโลกแบบเดียวกัน ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่จะแหวกแนวที่จะตรัสรู้ธรรม และรู้เห็นความจริงแตกต่างกัน ทรงรู้ตามสิ่งนั้นๆแบบเดียวกัน และทรงสั่งสอนแบบเดียวกัน ต่างกันก็ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เช่นบางองค์มีอายุ ๘ หมื่นปีบ้าง ๖ หมื่นปีบ้าง พระพุทธเจ้าจองเรามีอายุ ๘๐ ปี การลงอุโบสถสังฆกรรมของพระสงฆ์นับเวลาตั้ง ๗ ปี ถึงประชุมสงฆ์ลงอุโบสถฟังพระปาฏิโมกข์เสียครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าบางพระองค์ ๑ ปี หรือ ๖ เดือนถึงจะลงอุโบสถหนหนึ่ง พระสงฆ์กลมเกลียวกัน ไม่มีความเเตกร้าว ไม่มีอธิกรณ์อะไรเกิดขึ้น สำหรับพระพุทธเจ้าของเรา ๑๕วันลงอุโบสถประชุมสงฆ์ฟังพระปาฏิโมกข์เรื่อยมา ส่วนอานุภาพของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นก็แตกต่างกันอยู่บ้าง ท่านแสดงไว้ นอกนั้นเหมือนกันหมด
"สัพพปาปัสส อกรณัง" การไม่ทำบาปทั้งปวง
"กุสลัสสู ปสัมปทา" การยังกุศลหรือความฉลาดให้ถึงพร้อม
"สจิตตปริโยทปนัง" การยังจิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์
"เอตังพุทธานสาสนัง" นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านทรงสั่งสอนอย่างนี้เหมือนกันหมด จากนั้นท่านขยายความออกไปว่า
"อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกเข จ สังวโร"ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำลายผู้อื่น สำรวมในพระปาฏิโมกข์
"มัตตัญญุตา จ ภัตตัสมิง" รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร
"ปัญตัญจ สยนาสนัง" ให้แสวงหาอยู่ในที่สงัดวิเวก
"อธิจิตเต จ อาโยโค"การกระทำจิตให้ยิ่ง
"เอตังพุทธานสาสนัง" นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ สอนอย่างเดียวกันนี้ บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานเหล่านี้ ท่านสอนแบบเดียวกันหมด ไม่มีอะไรผิดแปลกกันเลย..."

พระธรรมเทศนา
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







“ถ้าเราทำดี พูดดี คิดดีแล้ว
คนอื่นเขาว่า เราทำไม่ดี
ก็ไม่เป็นไร...

เมื่อเราทำดีแล้ว
คนอื่นว่าไม่ดี
... มันเป็นเรื่องของเขา

เราอย่าไปทิ้งความดีของเรา
ความดีมันอยู่ที่ตัวเรา
ไม่ใช่คนอื่นมอง

อย่าลืมว่ากรรมใคร ก็เป็นของคนนั้น
อย่ายึดมั่นถือมั่น และ อย่าจับตาดูผู้อื่น”

โอวาทธรรม:หลวงปู่ชา สุภัทโท







#เราทุกคน…ต่างมีอดีต
อย่าเอาอดีตมาตอกย้ำเพื่อ"ทำลายอนาคต"
การทำดีในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ยึดถือได้โดยแท้จริง…

โอวาทธรรมคำสอนของ
. องค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
. วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
#พ่อแม่ครูอาจารย์ในสายวิปัสสนากรรมฐาน
#ท่านเป็นศิษย์รูปสำคัญขององค์หลวงปู่มั่น






. แม้แต่องค์พระปฏิมา ยังราคิน
เป็นมนุษย์ หรือจะสิ้น คนนินทา
" ที่ไหนๆก็มีคนอิจฉา ขนาดพระพุทธเจ้ายังโดน...
เอ็งกับข้าจะเหลือเหรอ "
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ








... " คน.. เป็นนักสร้างความวุ่นวายอันดับหนึ่งให้แก่โลก
ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก สัตว์มนุษย์เป็นอันดับหนึ่งในการสร้างความวุ่นวายให้แก่โลก. แล้วสัตว์มนุษย์ ก็เป็นอันดับหนึ่งในการสร้างความเจริญให้เกิดแก่โลกยิ่งๆขึ้นไป หรือเจริญมากขึ้น

... แต่การสร้างความเจริญให้ยิ่งขึ้น อันนั้นสร้างความวุ่นวายให้เกิดแก่โลก สร้างปัญหาให้แก่โลก ทำสมดุลโลกให้เสียหายไป สร้างมลพิษให้แก่โลก ก็สัตว์มนุษย์นี้เป็นอันดับหนึ่ง

...ในเมื่อมนุษย์มีความสามารถที่จะสร้างความวุ่นวายให้แก่โลก มนุษย์ก็มีความสามารถในการสร้างความสงบร่มเย็น และ สงบสุข ให้เกิดแก่โลกได้เหมือนกัน

... การสร้างความร่มเย็น ความสงบสุขให้เกิดแก่โลก การที่จะสร้างความสงบร่มเย็นให้แก่โลก นั่นคือ ต้องสร้างความสงบร่มเย็นให้แก่เจ้าของ สร้างให้แก่จิตใจนี้

... จิตใจสงบ โลกก็สงบ จิตใจวุ่นวาย โลกก็วุ่นวาย

... ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นยาที่รักษา ให้โลกสงบร่มเย็น ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นยาที่รักษาโรคกิเลส โรคโทสะ โรคราคะ โรคโมหะได้จริง และรักษาได้ทุกโรคทุกนาม

... จะเป็นนักบวช จะเป็นฆราวาส หากไม่ใส่ใจที่จะนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาเยียวยา รักษาโรคกิเลสของเจ้าของ โรคกิเลสก็ไม่มีที่จะเบาทุเลาลงไป หรือลดน้อยลงไป โรคไม่มีโอกาสสัมผัสยา โรคไม่ได้รับยา โรคจะดีขึ้นได้อย่างไร มีแต่ความวุ่นวาย ทำให้โลกวุ่นวาย ก็มาจากกิเลสตัณหาในจิตในใจนี้ "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร








"โยม การปฏิบัติไม่ต้องเคร่งมากจนตึง จนทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ไม่หย่อนไม่ยานเกินไป เพราะพิณที่ดีดออกจากเส้นที่หย่อนจะไม่ไพเราะ ไม่ลื่นหู

การปฏิบัติที่ให้เกิดผล ให้อยู่ในสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน สำคัญต้องมีสติตลอดเวลา"

หลวงปู่ปิ่น ตันติธัมโม
วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ








" #จิตใจที่เป็นโลก...
อะไรเป็นโลกๆ ก็ตะเกียกตะกายไปทางนั้น อันนี้เป็นสัจธรรม เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสไว้แล้ว ธรรมทั้งหลายมาจากจิต สำเร็จแล้วมาจากใจทั้งนั้น

... ใจเป็นโลก พูดทุกคำถึงจะพูดธรรมะก็เป็นโลก การแสดงออกเป็นโลก เพราะเป็นโลกมาแต่ใจ

... ถ้าใจเป็นธรรม ไม่มีโลกแอบแฝงอยู่ในใจ เรื่องของโลกจะไม่มีการแสดงออก เพราะเรื่องของโลกไม่มีในใจ เรื่องของโลกเป็นการตะเกียกตะกายแสวงหา เรื่องของธรรมพูดถึงตะเกียกตะกายเป็นไปเพื่อปล่อยวาง การเลิกการละ เรื่องของธรรมเป็นอย่างนี้

... เรื่องของโลกตะเกียกตะกายเพื่อแสวงหา เรื่องของธรรมตะเกียกตะกายเพื่อละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อถอดถอน

... คำว่าตะเกียกตะกายอะไร ในโลกไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บรรยายอะไรมาก สรุปก็คือ ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข ที่หัวใจเป็นโลกตะเกียกตะกายแสวงหาไขว่คว้า เห็นว่าได้สิ่งเหล่านี้แล้ว เป็นได้สิ่งที่ประเสริฐ

... เรื่องของธรรม ละเลิกถอดถอนสิ่งเหล่านี้ คิดที่จะเลิกสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความคิดที่น่ายกย่อง ละ เลิก ถอดถอนได้ เป็นเรื่องประเสริฐสุด "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร(หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร






"อภัยทาน"
ธรรมทาน #คำสอนหลวงพ่อ

อภัยทาน คือ การให้อภัย คือไม่โกรธตอบ ไม่คิดประทุษร้าย ใจเป็นสุขมาก ตัวนี้กำลังใจสูงมาก ถ้าท่านทั้งหลายให้อภัยทานเป็นปกติ ขอพยากรณ์ได้ว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์ได้ไม่เกิน ๗ ปี

ทุกท่านผู้หญิงผู้ชาย พระเณรเหมือนกัน ถ้าจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยอภัยทาน ขอรับรองกล้ายืนยันถึงแม้จะไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็ตาม ขอยืนยันว่าทุกท่านจะเป็นพระอรหันต์ได้ภายในไม่เกิน ๗ ปี

#แต่เวลาที่ให้อภัยทานนั่นอย่าให้จิตมันขุ่นนะ
ให้มันใสอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าความโกรธไม่มีในเรา
จิตให้อภัยอยู่เป็นปกติ ไม่ใช่โกรธแล้วมานั่งให้ ใหม่ๆ มันต้องโกรธซะก่อนแล้วมานั่งให้ ให้อภัยทานจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกโกรธ

ไม่โกรธตอบนี่เป็นอนาคามีแล้วนะ ถ้าลงไม่โกรธเป็นอนาคามี อรหันต์จะไปไหน

===================
จาก : หนังสือธัมมวิโมกข์ ปี ๒๔๒๘ ๕๔,๕๘


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO