นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 08 ก.ย. 2024 8:10 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ทำบุญทำทาน
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 22 ก.ค. 2024 5:02 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4675
“ผลทานตั้งแต่ชาติก่อนนั้นหละ เฮดให้เฮามีกินมีทานในชาตินี้ ศีลกะให้รักษาเอาข้อเดียว รักษาข้อใจ รักษาใจบ่ให้มันคิดอาฆาตพยาบาท บ่ให้มันคิดเอาเปรียบไผ กะพอแล้ว ขอแต่ว่าใจดี อันอื่นมันดีเบิ่ดหละ ภาวนากะอย่าไปฆ่าเจ้าของ ให้ภาวนาฆ่ากิเลส ให้มันมีสติฮู้ทันกิเลสตลอด”

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ปั่น สมาหิโต







“....คนส่วนมากคอยวาสนาเสียมาก
อย่าไปคอยวาสนาเลย
เราก่อสร้างวาสนาดีกว่า
วาสนาบารมีมิได้ติดมาเองหรอก
....เราต้องสร้างเอง...."

#หลวงปู่ลี ตาณํกโร
วัดป่าหัวตลุกวนาราม อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์






"..พระอรหันต์ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากไหน ก็มาจากหัวใจของปุถุชน มาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ถ้าหากใจปุถุชนนั้นพยายามบากบั่นฝึกปรือตนให้เดินตามมรรคาสัมมาปฏิบัติ พระอรหันต์ก็มาจากที่นั่น กลั่นกรองมาจากที่นั่น เหมือนดอกบัวมาจากขี้ตม ขี้โคลนเน่า ๆ เหม็น ๆ แต่พอพ้นน้ำ รับแสงอาทิตย์แย้มบานเต็มที่ มีสง่าราศี ใครก็อยากได้อยากชม.."


โอวาทธรรมโดย
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"คนส่วนใหญ่ตายแล้วไปอบายภูมิ เพราะเวลาใกล้ตายจิตติดอยู่กับเวทนา

ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอ ให้เป็นที่อยู่ของจิตเป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี

ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้ว ให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจใยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะระลึกได้...."

(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)







"ความจริงของโลก"

พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ไม่มีตัวไม่มีตน ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธรรมชาติทั้งหมด ในโลกนี้มีธรรมชาติอยู่ ๖ ชนิดด้วยกัน เรียกว่าธาตุเดิม คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ มี ๖ ธาตุ ซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิมของโลก เมื่อธาตุ ๔ ผสมกับอากาศธาตุ ผสมกับวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ ก็เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าไม่มีวิญญาณธาตุ ก็เป็นพวกต้นไม้ วัตถุข้าวของต่างๆ อันนี้มี ๕ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับอากาศธาตุ สิ่งเหล่านี้เมื่อผสมกันเข้ามา แล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดก็ต้องแตกสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลับไปสู่ธาตุเดิมของมัน มาจากธาตุ ๖ ก็ต้องกลับไปสู่ธาตุ ๖ ตามเดิม ส่วนธาตุรู้ หรือวิญญาณธาตุนั้น ถ้าเป็นธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นผู้รู้ คือผู้ไม่หลง ผู้รู้ คือผู้ปล่อยวางตัวตนนั่นเอง

เมื่อรู้ว่าตัวตนเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากอวิชชา คือ ความหลง อวิชชา จะทำให้หายไปได้ ต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรมะ ธรรมะนั้นก็คือปัญญา ที่สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆได้ สามารถรู้ว่าตัวตนนี้ เกิดจากความคิดปรุงของจิตใจ ของวิญญาณธาตุ ปรุงไปว่ามีตัว มีตน แล้วไปยึดอยู่กับความมีตัว มีตน เมื่อมีตัว มีตนขึ้นมาแล้ว ก็เกิดมีเรา มีเขา มีเรา มีเขาก็มีการแก่งแย่งกันขึ้นมา เพราะตัวตน แต่ละคน ก็มีความปรารถนาที่จะให้ตัวตนนั้นมีมากๆ มีความสุขมากๆ ไม่ต้องการความทุกข์ ก็เลยต้องกอบโกยกัน เมื่อกอบโกยในสิ่งของที่มีอยู่ในจำนวนจำกัด มันก็ต้องมีการแก่งแย่งกัน เมื่อมีการแก่งแย่ง มันก็เกิดความทุกข์ เกิดการเบียดเบียนกันตามมา เป็นผลที่เกิดจากความหลง ที่เกิดขึ้นในวิญญาณธาตุของแต่ละบุคคล

อย่างพวกเรานี้ ก็มีวิญญาณธาตุ หรือจิตใจที่มีอวิชชา ความหลงครอบงำอยู่ หลงว่ามีตัว มีตน มีเรา เมื่อมีเราแล้ว ก็ต้องมีของของเรา มีสิ่งต่างๆ ทั้งๆที่เมื่อมาเกิดใหม่ๆ มันก็ไม่มีอะไร ร่างกายนี้ก็มาจากของพ่อ ของแม่ เมื่อวิญญาณธาตุเข้ามาครอบครอง เข้ามายึดในร่างกายอันนี้ ว่าเป็นเรา เป็นของของเรา และเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดูแลร่างกายนี้ มีการขวนขวาย หาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในรูปลักษณะของอาหาร เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปในร่างกาย ก็เปลี่ยนแปลงจากอาหารไป เป็นอาการ ๓๒ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่คือเรื่องของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่แปลงเป็นอาหาร กับข้าว กับปลาต่างๆ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นอาการ ๓๒ เป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างนี้เป็นต้น มีการเจริญเติบโต และเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ก็มีการเสื่อม มันก็จะค่อยๆ เกิดอาการแก่ เกิดอาการเจ็บ และในที่สุด ก็เกิดอาการแตกสลายของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เรียกว่าความตาย

กัณฑ์ที่ ๑๗ วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ (กำลังใจ ๒)

"ความเป็นจริงของโลก"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







กิเลสและอวิชชาทั้งปวง
คือ “#กรงขัง” ชีวิตไว้
ไม่ให้พบกับ #อิสระ

“#ธรรมะ” จึงมีไว้เพื่อให้เรา
ฝึกฝนตนจนจิตใจ #ว่าง
จาก ความยึดมั่นถือมั่น
ในความเป็น ตัวกู– ของกู

‘#การดับสังขาร’ คือ การดับ
ความยึดมั่นถือมั่น ในตนเอง

ทั้งหมด……….บรรลุได้ใน
‘#พริบตาเดียว’ เท่านั้น

จาก_หนังสือพุทธธรรม
โดย พุทธทาสภิกขุ





. ธรรมดาของปลาย่อมเห็นน้ำเป็นของสนุกเพลิดเพลินฉันใด บุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยอวิชชาก็ย่อมเห็นเรื่องยุ่งๆ
เป็นของเพลิดเพลิน เป็นของสนุก
เหมือนกับปลาที่เห็นคลื่นในน้ำเค็มเป็นของสนุกสนานสำหรับตัวมันฉันนั้น

ตราบใดที่เราทำความสงบให้เรื่องต่างๆ บรรเทาเบาบางไปจากใจได้
ก็ย่อมทำอารมณ์ของเราให้เป็นไปใน “กัมมัฏฐาน”

คือ ฝังแต่ พุทธานุสติ เป็นเบื้องต้น
จนถึง สังฆานุสติ เป็นปริโยสานไว้ในจิตใจ เมื่อเป็นไปดังนี้ก็จะถ่ายอารมณ์ที่ชั่วให้หมดไปจากใจได้

เหมือนกับเราถ่ายของที่ไม่มีประโยชน์ออกจากเรือ และนำของที่มีประโยชน์เข้ามาใส่แทน ถึงเรือนั้นจะหนักก็ตาม แต่ใจของเราเบาอย่างนี้ ภาระทั้งหลายก็น้อยลง สัญญาต่างๆ ก็ไม่มี นิวรณ์ก็ไม่ปรากฏ

ดวงจิตก็จะเข้าไปสู่ “กัมมัฏฐาน” ได้ทันที...

คำสอนท่านพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ








#ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้

“ทาน” เรารู้จักกันดีใช่ไหม
การให้นี่เพียงหนึ่งเดียว
แต่ที่ไม่ต้องเสียเงินตั้ง ๙ ข้อ
แล้วที่จริงทานที่ไม่ต้องเสียเงินก็มี

#ทานที่ไม่เสียเงินมีอะไร?
#การให้อภัยทาน
#การให้ธรรมะเป็นทาน

การที่เราแนะนำผู้อื่น สั่งสอน
อย่างโยมให้ธรรมะได้ไหม?
พูดธรรมะสอนลูกหลานอะไรเป็นบุญเป็นบาป
มันก็คือการให้ธรรมะ
หรืออย่างที่นี้ที่เปิดร้านเปิดสถานที่ให้โยมมาฟังธรรม
นี่คือการให้ธรรมะ ก็เป็นบุญกุศล
แล้วการให้ธรรมะ ให้คนได้มีปัญญา
ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี คือมีปัญญา มีศรัทธา
โยมว่ามันเป็นการให้ที่ประเสริฐไหม

#โยมจะเอาอะไรระหว่างเงินทองกับปัญญา?
เงิน ๑๐๐,๐๐๐ กับปัญญา โยมจะเอาอันไหน?
เงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กับได้ดวงตาเห็นธรรม มีปัญญาเห็นธรรม โยมจะเอาอันไหน?
#ต่อให้ร้อยล้านพันล้านแลกกับบรรลุโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลเป็นอริยบุคคลชั้นที่๑
โยมจะเอาอะไร?

เงินร้อยล้านมีโอกาสลงนรกได้ไหม? ได้
ยังทุกข์อีกยาวไกลมากเลย เวียนว่ายตายเกิด

#แต่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง
ทุกข์มันหมดไปมาก ทุกข์ที่ยาวไกลมันหมดไปเลย
#เหลืออีกเพียง๗ชาติ
#แล้วก็๗ชาติที่ไม่เกิดในอบายภูมิเลย
มันดีขนาดไหนโยม
เกิดในมนุษย์เทวดาอย่างมาก ๗ ชาติ
#มันรอดจากอบายภูมิไปได้ ปิดไปได้เลย
มันมีค่าขนาดไหน

ไม่ต้องลังเลเลย
เงินร้อยล้านพันล้านกับโสดาปัตติมรรค
สมบัติอันนี้
ไม่ต้องไปชั่งใจอะไรแล้วโยม

#การจะเข้าถึงโสดาบันมันต้องมีปัญญา
ไม่ใช่อยู่ลอย ๆ มาแล้วก็บรรลุธรรม
มันต้องมีปัญญา

#ปัญญาคนเราจะเกิดขึ้นมาได้ต้องคบสัตบุรุษ
อย่างโยมที่มาคบหมอแสง
หรือว่าชมรมกัลยาณธรรม ห้องธรรมพุทธปัญญา
คือเราคบทางสื่อ ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค
อันนี้คือการคบ
ถ้าเราเลือกคบสัตบุรุษคนดีคนมีศีลธรรม
นี้เป็นปัจจัยของปัญญาข้อที่ ๑

แล้วทำให้เราได้ฟังพระสัทธรรม
#พอได้คบสัตบุรุษเราจะได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรม
การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นเหตุปัจจัยของปัญญา
#พอเราได้ฟังพระสัทธรรมเราจะเกิดศรัทธา
ศรัทธามันจะถึงพร้อม

ศรัทธานี้เป็นสมบัติมีค่ามากนะโยม
ถ้าใครมีศรัทธาเกิดขึ้นในใจ สบาย
#ถ้าไม่มีศรัทธาจะให้ทำความดีให้ทานรักษาศีลไม่เอาทั้งนั้นถ้าศรัทธามันไม่มี
ชวนอย่างไร ๆ
เคยชวนใครแล้วไม่ยอมมา มีไหม
บางคนถามจะทำอย่างไรถึงจะชวนลูกหลานให้เข้าวัด
ถามอาตมาก็จนใจเหมือนกัน
เพราะว่าต้องให้เขามีการได้ฟัง
#เขาฟังธรรมแล้วเขามีศรัทธานั่นแหละ
#พอเขามีศรัทธาตอนหลังไม่ต้องชวนแล้ว #มาเอง

#การให้ธรรมะจึงชนะการให้ทั้งปวง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ
การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง
พอมีปัญญาแล้วมันเอาตัวเองอยู่รอดปลอดภัยอยู่เย็นเป็นสุข
เงินทองมีมากแต่ขาดปัญญา หาความสุขไม่ได้นะโยม
สมบัติเยอะแต่นอนเป็นทุกข์มีไหม
ถ้าไม่มีปัญญา หาความสุขให้ตัวเองไม่ได้เลย

แต่ถ้ามีปัญญา
คนนั้นจะเงินทอง อาจจะมีบ้างไม่มีบ้าง
มันก็ยังหาความสุขให้ตัวเอง
จะทำให้ตัวเองหาประโยชน์และความสุขด้วยความชอบธรรมที่ถูกต้องถ้ามีปัญญา
ไม่เป็นโทษให้ตัวเอง
ฉะนั้นการให้ทานเป็นการสั่งสมบุญ

วัตถุทาน
วัตถุทานมีอะไรบ้างที่ให้แล้วเป็นบุญ?
ให้ข้าวให้น้ำ เป็นบุญ
ให้ข้าวให้น้ำ ให้เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย หยูกยา
ให้ดอกไม้ของหอมเป็นบุญไหม? เป็น
อยู่ในตำราว่าดอกไม้ ของหอม เป็นบุญทั้งหมด
ให้วัตถุสิ่งของเหล่านี้เป็นบุญ

(โอวาทปาติโมกข์ ตอนที่ ๓)
ถ่ายทอดสด ธรรมบรรยาย สดจากห้องธรรมพุทธธรรม ปากน้ำ สมุทรปราการ (๒๘-๕-๖๖)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา





ตัณหารักเมีย เปรียบเหมือน เชือกผูกคอ
ตัณหารักลูกรักหลาน เปรียบเหมือน ปอผูกศอก
ตัณหารักวัตถุข้าวของต่างๆ เปรียบเหมือน ปอผูกตีน

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







หากเสื้อผ้าอาภรณ์ อาหารการกิน รถยนต์ มือถือ ฯลฯ ไม่เท่าเทียมบุคคลอื่น ใยต้องน้อยใจ
หากคุณธรรมความรู้..ความสามารถ สุขภาพไม่เท่าบุคคลอื่น
ควรขวนขวายให้ทัดเทียม ประเสริฐกว่า.!!

โอวาทธรรมหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ







พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การไปทำพิธีตัดกรรม ก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า กรรมใดใครก่อ ใครทำลงไปแล้ว ใจเป็นผู้จงใจ คือมีเจตนาที่ทำลงไป พอทำลง ไปแล้ว ย่อมก่อกรรมอันเป็นบาป

ต่อเมื่อภายหลังเรามานึกว่าเราไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้ เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดออกไป ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรม โดยหลักของธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปทำพิธีตัดกรรมนี่ หมายถึงตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิดคิดว่าทำได้ ถ้าหากพระรูปใด แนะนำว่า ทำบาปแล้วตัดกรรมได้ อย่าไปเชื่อ

ขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย จงปลูกฝังนิสัยให้เด็กของเราเข้าใจให้ถูกต้องในข้อนี้ เพราะเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญที่สุด ถ้าเด็กๆ ของเราไปเข้าใจว่า ทำบาปทำกรรมแล้ว ไปทำพิธีตัดกรรม แล้วมันจะหมดบาป ประเดี๋ยวเด็กๆ มันทำบาป แล้วไปหาหลวงพ่อ หลวงพี่ ตัดบาปตัดกรรมได้ มันก็ไม่เกิดความกลัวต่อบาป เพราะฉะนั้น อย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้ว ตัดกรรมให้มันหมดไปได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ตัดเวรนี่มีทาง

เพราะ เวร หมายถึงการผูกพยาบาทอาฆาต คอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา อย่างเราฆ่าเขาตาย บางทีนึกถึงบาปกรรม กลัวว่าเขาจะอาฆาตจองเวร เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่า เขาได้รับส่วนกุศลจากเรา เขาได้รับความสุข เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข เขานึกถึงคุณงามความดี นึกถึงบุญถึงคุณของเรา เขาก็อโหสิกรรมให้แก่เรา ไม่ตามล้าง ตามผลาญกันอีกต่อไป หรืออย่างเช่น เราอยู่ด้วยกัน ทำผิดต่อกัน เมื่อปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เราขอโทษซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างยกโทษให้กัน เวรที่จะตามมา คอยจองล้างจองผลาญกันมันก็หมดสิ้นไป แต่ผลกรรมที่ทำผิดต่อกันนั้นมันไม่หายไปไหนหรอก

บาปที่ทำแล้วมันแก้ไม่ได้ แต่นิสัยชั่วที่เราประพฤติอยู่นั้น มันแก้ไขได้ ท่านให้แก้กันที่ตรงนี้*

คัดย่อเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือฐานิยปูชา 80 ปี หลวงพ่อพุธ ธรรมบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง พิธีการตัดกรรม







#มัชฌิมาปฏิปทา

"...กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่นแหละ
แรกเรามาเกิดเอาใจหยุดอยู่ตรงนั้น ตายก็ไปอยู่
ตรงนั้น หลับก็ไปอยู่ตรงนั้น ตื่นก็ไปอยู่ตรงนั้น
นั่นแหละเป็นที่ดับที่หลับที่ตื่น กลางแท้ๆ เทียว
กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์
เท่าฟองไข่แดงของไก่ กลางนั่นแหละตรงกลาง
นั่นแหละ ไปหยุดที่ศูนย์กลางนั่นแหละ ได้ชื่อว่า
มัชฌิมา มัชฌิมานะ

พอหยุดก็หมดดีหมดชั่ว ไม่ดีไม่ชั่วกัน หยุดทีเดียว
พอหยุดจัดเป็นบุญก็ไม่ได้ พอหยุดจัดเป็นบาปก็
ไม่ได้ จัดเป็นดีก็ไม่ได้ ชั่วก็ไม่ได้ ต้องจัดเป็นกลาง
ตรงนั้นแหละกลางใจ หยุดก็เป็นกลางทีเดียว

นี้ที่พระองค์ให้นัยไว้กับองคุลิมาลว่า สมณะหยุด
สมณะหยุด พระองค์ทรงเหลียวพระพักตร์มา
สมณะหยุดแล้ว ท่านก็หยุด นี้ต้องเอาใจไปหยุด
ตรงนี้ หยุดตรงนั้นถูกมัชฌิมาปฏิปทาทีเดียว..."

#ที่มา หนังสือ อมตวาทะ
พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร)หลวงพ่อวัดปากน้ำ







"เขาว่าทำบุญทำทานนั้น ทำไปทำไม
คนทำบุญก็ต้องตาย ไม่ทำก็ตาย
ตายด้วยกันจริงอยู่ดอก แต่ว่าตายผิดกัน
คนทำบาปนั้นตายไปกับผีกับเปรต ตายตามป่าตามดงตามถนนหนทาง แต่คนทำบุญนั้น ตายไปในกองบุญกองกุศล ตายสบาย แล้วไปเกิด
ก็สบายอีก ไม่ต้องไปเกิดในที่ทุกข์ที่ยากเหมือนคนทำบาป"

ท่านพ่อลี ธัมมธโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO