มีโยมที่ตายไปฟื้นขึ้นมา ได้มาเล่าเหตุการณ์เบื้องหลังความตาย ก็เล่าให้ฟังเมื่อวานซืนนี้ ตายไปประมาณ ๔ วัน โยมอยู่ทางราชบุรี อำเภอดำเนินสะดวก ตอนนี้แกอายุ ๗๓ ปี แต่ตอนตายอายุ ๒๕ ปี
ตายไป ๔ วัน เกือบจะโดนเผาอยู่แล้ว เนื่องจากว่าศพสมัยก่อนเขาไม่ได้ฉีดยา เอาใส่โลงแล้วเขาก็เอาชาใส่ตามศพกันเน่า กันกลิ่น เขาไม่ได้ฉีดยา
โยมผู้หญิงบอกว่า ในวันหนึ่งไปช่วยคนตกน้ำ ตัวเองก็กลายเป็นจมน้ำเสียเอง ถีบจักรยานไป แล้วก็ไปเห็นคนรู้จักกันนั่นแหละเป็นผู้ชายไปดักปลาไปจับปลาอยู่ในน้ำ มีตาข่ายมีลอบดัก น้ำไหลแล้วตาข่ายมันพันขา แกก็จะจมน้ำ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ โยมคนนี้ก็เลยโดดลงไปช่วย ปรากฏว่าผู้ชายที่จะจมน้ำเขาดึงแขนแกไป แล้วกด คนมันจะจมน้ำ มันก็ตะลีตะลาน กดตัวแกลง แกก็ไปถูกตาข่ายพันขา จม ขึ้นไม่ได้
ส่วนผู้ชายรอดตาย พอขึ้นบกได้ก็วิ่งไปบอกญาติพี่น้องของโยมผู้หญิง ญาติพี่น้องก็พากันมา ผู้ชายนั้นก็บอกจมอยู่ในน้ำ ญาติพี่น้องก็ร้องห่มร้องไห้กัน
โยมผู้หญิงที่ตายแกบอกแกก็ยืนอยู่บนตลิ่ง แกเห็นญาติพี่น้องมาร้องไห้ แกก็ไปบอกเขาว่า ฉันอยู่นี่ ไปร้องอะไรที่ไหน แต่ก็ไม่มีใครฟัง พูดไปเขาก็ไม่ได้ยิน แล้วญาติพี่น้องก็โดดลงไปงมศพขึ้นมาได้ แกเห็นร่างตัวเองแล้วถึงรู้
ญาติพี่น้องก็ช่วยกันหามไปบ้าน แล้วก็ไปเอากระทะใหญ่ ๆ คว่ำกระทะแล้วก็เอาคนจมน้ำไปคลึงไปพาดกับกระทะเอาน้ำออกจากท้อง แต่ก็ไม่ฟื้น จมอยู่นาน ตาย
แกก็ตามเขาไป วิญญาณตามญาติพี่น้องไปที่บ้าน คุยกับใครเขาก็ไม่ฟัง ไม่ได้ยิน เห็นแต่เขาร้องห่มร้องไห้ ตั้งศพ สวดศพ มีพระมาสวด แกบอกว่าอาหารที่ตั้งที่ศพไม่ได้กินหรอก จะได้อิ่มก็ตอนพระให้พร ถวายของพระ อุทิศให้ก็ได้อิ่มขึ้นมา
เสร็จแล้วก็มียมทูตตัวใหญ่นุ่งผ้าแดงมา แล้วก็มีพญายมนุ่งห่มเหลือง ๆ เขาก็บอกด้วยเมตตา แต่ว่าเสียงมีอำนาจ บอกให้ไป ให้เดินตาม ตัวแกก็ไม่อยากไป แต่ว่าเสียงนั้นมีอำนาจที่จะต้องไป เรียกให้ญาติพี่น้องช่วยก็ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครได้ยิน ก็ต้องเดินตามเขาไป
ไปถึงที่สอบสวนเขาก็จะกางสมุดบัญชีบันทึกเล่มใหญ่ ๆ ใช้เปิดตรวจสอบ รู้สึกว่าจะผิดตัวหรืออย่างไร แล้วเขาก็ถามว่า ทำความดีอะไรไว้บ้าง ทำบุญทำกุศลอะไรไว้บ้าง แกก็นึกอะไรไม่ออกตอนนั้น นึกได้อย่างเดียว ก็ที่ช่วยเขาจะจมน้ำนั่นแหละ ไปช่วยเขา พญายมนั้นก็บอก เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว บุญแค่นี้เพียงพอแล้ว
อยากจะส่งกลับ แต่ก็จะให้รางวัล จะพาให้ไปดูนรกสวรรค์ เพื่อจะได้ไปบอกกับมนุษย์ สั่งให้ไปบอกว่าบุญบาปมี นรกสวรรค์มีจริง
ถามว่าจะไปดูนรกหรือจะไปดูสวรรค์ก่อน ก็บอกว่าไปสวรรค์เถอะ เขาก็พาไป ก็ไปเห็นสถานที่สวยงามต่าง ๆ ไปสูงขึ้นก็เข้าไม่ได้ บุญมีแค่นั้น เข้าได้แค่นั้น
แล้วพาไปดูนรก แกก็บอกว่าเห็นแล้วมันน่ากลัว เห็นสัตว์นรกที่ถูกทรมาน ตายแล้วฟื้น ดึงมา โดนตัด ตัดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ฟื้น ทรมานอยู่อย่างนั้น ก็ได้เห็นเหตุการณ์ จนเขาก็พากลับมาส่ง
พอมาก็มีภูเขา มีสะพานข้าม ข้างล่างมันก็เป็นไฟ แกก็ไม่กล้าเดิน กลัวถ้าตกไปจะโดนไฟไหม้ เขาก็บอกให้เดินไป ข้ามไป เดี๋ยวเวลาจะหมดแล้ว แกก็ไม่กล้าเดินอยู่อย่างนั้น อย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนโดนถีบไป ยมทูตถีบทีเดียว รู้สึกตัวมาอยู่ในโลง
อยู่ในโลงก็ถูกมัดตราสังข์มัดขามัดแขน จะพูดก็ไม่มีเสียง คอแห้งหมดแล้ว อยู่ในโลงตั้ง ๔ วัน ไม่มีแรงเคาะ จะเรียกก็ไม่มีแรง ก็ได้ยินเสียงพระสวด เพราะว่าเป็นวันเผา ก่อนจะเผาเขาก็จะสวด แกก็นึกว่าถ้าเรียกใครไม่ได้ยิน คงจะโดนเผาแน่ ก็เลยรวบรวมกำลังพลิกตัว พลิกตัวไป โลงมันก็พลิกคว่ำลง ข้าวของกระจายหมด ปรากฏว่าคนกระเจิงหมดเลย ทั้งคนทั้งพระไปกันคนละทิศละทางหมด เขาว่ายายอายุ ๗๐ วิ่งนำหน้า ตาลปงตาลปัตรล้ม พระเพรอะไม่อยู่แล้ว ก็ใครจะอยู่ โลงกลิ้งขนาดนั้น นึกว่าเอาเรื่องแล้ว
จนกระทั่งมีหลวงพ่อองค์หนึ่งท่านก็ใจกล้าเข้าไปดู ท่านก็ถามว่าได้ยินไหม ฟังได้ยินไหม คนตายพยักหน้า ก็รู้ว่าฟื้น ไม่ตาย หลวงพ่อก็เลยเรียกญาติพี่น้องเข้ามา ช่วยกันตัดสายสิญจน์ตัดอะไรออก ช่วยปฐมพยาบาล ฟื้นขึ้นมา
นับแต่นั้นแกก็เลยทำแต่บุญกุศลมาตลอด กลัวบาป ทำแต่บุญ จนมาตอนนี้อายุ ๗๓ ปี ตายตอนอายุ ๒๕ อันนี้ก็เป็นจากประสบการณ์ของโยมคนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเราทุกคนก็จะต้องเจอเหตุการณ์เบื้องหลังแห่งความตาย เพราะเราจะต้องตายแน่นอนถึงวันหนึ่ง สมัยนี้ถ้าฟื้นขึ้นมาก็คงฟื้นไม่ได้แล้ว เขาฉีดยา หรือไม่ตายโรงพยาบาลก็เข้าห้องดับจิตห้องเย็น ฟื้นมาในนั้นก็ฟื้นไม่ได้แล้ว คนโบราณเขาจึงต้องเก็บศพไว้สวดอยู่หลายคืน ๓ คืนขึ้นไป เผื่อจะฟื้น ของเราฉีดยา ตายแน่นอน
พอมองเห็นร่างของตัวเองจมน้ำขึ้นมา บอกกับใครเขาก็ไม่ได้ยิน คุยกับใครก็ไม่ได้ยิน แกก็ถึงรู้ว่า #คนเราตอนอยู่กันบางทีก็โกรธกันญาติพี่น้อง #แต่พอตายร้องห่มร้องไห้กันจะเป็นจะตาย #ก็ได้มองเห็น
ชีวิตหลังความตาย (ธรรมสุปฏิปันโน ๘) ............................. ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
”ต้องคิดทั้งทางบวกและทางลบ“
ถาม : เดี๋ยวนี้เขานิยมให้คิดในเชิงบวก คิดไปก็ไม่ได้แก้ปัญหา พระอาจารย์ : เพราะเป็นกิเลส อยากได้ ไม่อยากเสีย ถึงแม้จะคิดในเชิงบวกอย่างไร ก็ต้องคิดเผื่อเสียอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะซื้อประกันภัยไว้ทำไม ต้องประกันความเสี่ยงอยู่ดี คิดในเชิงบวกเพื่อไม่ให้ท้อแท้หมดกำลังใจ คิดว่าข้างหน้ายังมีโอกาส อย่างน้ำท่วมนี้ถ้าคิดในเชิงบวกก็ต้องคิดว่า ไม่เป็นไรน้ำลดแล้วค่อยว่ากันใหม่ ถ้าคิดในเชิงลบก็จะท้อแท้เบื่อหน่าย หมดกำลังใจ การคิดในเชิงบวกนี้ ต้องคิดตามหลักความจริง ว่ามีทั้งบวกมีทั้งลบ ลาภยศสรรเสริญสุข มีทั้งบวกมีทั้งลบ เป็นโลกธรรม ๘ มีเจริญและเสื่อม แต่พวกเราจะคิดแต่ด้านบวก ต้องเจริญลาภเจริญยศสรรเสริญสุขอย่างเดียว คิดอย่างนี้เป็นกิเลส ถ้าคิดทางธรรมก็ต้องคิดว่า มีเจริญมีเสื่อม เป็นของคู่กัน เจริญลาภเสื่อมลาภ เจริญยศเสื่อมยศ มีสรรเสริญมีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ สลับกันไป ต้องรับได้ทั้ง ๒ ส่วน แต่พวกเราจะรับได้แต่ส่วนที่เจริญเท่านั้น พอเวลาเจอความเสื่อม อย่างเช่นตอนนี้ เสื่อมทรัพย์เสื่อมลาภไป เสียทองไป ๒ บาท ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่คิดไว้ล่วงหน้าก่อนว่าจะเสื่อม พวกเราต้องคิดทั้งทางบวกและทางลบ ในเรื่องลาภยศสรรเสริญสุข ต้องคิดเผื่อไว้ แต่เรื่องใจนี้คิดทางบวกได้เสมอ เพราะใจไม่ได้ไม่เสียกับอะไรเลย ไม่ว่าร่างกายจะเป็นอะไร ใจไม่ได้เป็นไปด้วย ใจไม่ต้องไปเดือดร้อนกับร่างกาย กับลาภยศสรรเสริญสุข นี่คือคิดทางบวก พวกเราสามารถทำใจให้มีแต่ความเจริญอย่างเดียวได้ กลับไม่ทำกัน ปฏิบัติทานศีลภาวนาไปสิ จะเจริญอย่างเดียว ไม่มีทางเสื่อม จะเจริญไปถึงนิพพานเลย ปรมัง สุขัง ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันทุกข์ คิดทางบวกให้คิดอย่างนี้ คิดทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนา นี่แหละเป็นการคิดทางบวกที่ถูกต้อง ถ้าคิดในเรื่องโลกธรรม ว่าต้องเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเลย ก็จะหลอกตัวเอง เพราะทุกอย่างมีเจริญก็ต้องมีเสื่อม มีเกิดก็ต้องมีตาย ให้คิดอย่างนี้ เวลาเสื่อมหรือตาย จะได้ไม่เสียหลัก ไม่ทุกข์ทรมานใจ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๒๗ กัณฑ์ที่ ๔๓๑ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
"คนดี" อยู่ที่เรานี่แหละ ถ้าเราไม่ดีแล้ว เราจะอยู่ที่ไหนกับใคร มันก็ไม่ดีทั้งนั้น
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
"อย่าไปดีใจเสียใจ กับคำพูดคนอื่น อย่าไปฝากหัวใจ ไว้กับคนอื่น ต้องฝากหัวใจ ไว้กับพระธรรม"
พระอาจารย์ฟิลลิป ญาณธัมโม
"การเตือนผู้อื่นไม่ให้หลงผิดนั้น เป็นสิ่งดี แต่การเตือนตนให้ได้นั้น ย่อมดีกว่า"
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
"ภูผา อาจถูกมนุษย์ทลายลงมาได้ แต่นิสัยของคนเรา กลับนอนนิ่ง อยู่ในก้นบึ้งของสันดาน
แต่ละคน ย่อมแตกต่างกัน ขัดเกลาให้ดีเหมือนกัน ได้ยาก ผู้ใหญ่ ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดี ไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยา ของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือ ต้องสุขุมรอบคอบ และ ไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก
คือ ต้องไม่หวั่นไหว กับคำนินทา และสรรเสริญ"
หลวงปู่ทวด วัดช้างให้
"เมื่อมีคนส่งเสริมมากเท่าไร ก็พึงทราบว่า จะมีคนนินทามากเท่าเทียมกัน ดังนั้น ความเคลื่อนไหวในกิริยาใดๆ ผู้ที่ได้เห็น หรือได้ยินในกิริยานั้น จึงเก็บไว้ภายในใจ พระพุทธเจ้าเจ้าของศาสนายังถูกโลกธรรมรุมตี แต่ก็คงเป็นพระพุทธเจ้าตามเดิม จนวันเข้านิพพาน"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
|