นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 6:46 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ศีลธรรม
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 30 ก.ย. 2024 5:12 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4896
#กายเรานี้เป็นแต่เพียงธาตุสี่..

"... ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล
เรา เขา ผู้ปฎิบัติยึดหลักอันนี้ภาวนาบ่อยๆ พิจารณาให้มากๆ พิจารณาย้อนกลับไป
กลับมา
... จิตจะค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ภูมิรู้ ภูมิธรรม
เป็นลำดับๆ ไป ...“
_____________________
#หลวงปู่เสาร์_กันตสีโล
วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี







#จิตรวม 3 ขณะ กายระเบิด โลกแตกละเอียดหมด#

คืนนั้นประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ขณะเดินจงกรมอยู่
รู้สึกแปลกๆ มันแปลกมาตั้งแต่กลางวันแล้ว
รู้สึกว่าไม่คิดอะไรมาก มีอาการสบายๆ
เมื่อเดินจงกรมเมื่อยแล้ว จึงขึ้นไปนั่งกระท่อมเล็กๆ
ขณะจะนั่ง คู้ขาเข้าแทบไม่ทัน จิตมันอยากสงบ
มันเป็นของมันเอง

พอนั่งลงแล้วจิตมันก็สงบจริงๆ รู้สึกตัวหนักแน่น

คืนนั้นในหมู่บ้านมีงาน เขาร้องรำทำเพลงกัน
ได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ไม่ได้ยินก็ได้
เมื่อไม่เอาใจใส่ก็เงียบไม่ได้ยิน
จะให้ได้ยิน ก็ได้ยิน ไม่รู้สึกรำคาญ

ดูจิตกับอารมณ์ก็เห็นตั้งอยู่คนละส่วน
เหมือนวัตถุสองอย่างตั้งอยู่โดยไม่ติดกัน
ก็เลยเข้าใจว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว
ถ้าน้อมไปก็ได้ยินเสียง ถ้าว่างก็เงียบ
ถ้ามีเสียงขึ้น ก็เห็นจิตกับเสียงเป็นคนละส่วน

จิตใจขณะนั้นไม่เอาใจใส่ในสิ่งอื่นเลย
ไม่มีความเกียจคร้าน ไม่มีความเหนื่อย
ไม่มีความรำคาญ ของเหล่านี้ไม่มีในจิต
มีแต่ความพอดีหมดทุกอย่างในนั้น

ต่อมาจึงหยุดพัก หยุดแต่การนั่งเท่านั้น
ใจเหมือนเก่ายังไม่หยุด ดึงเอาหมอนมาวางไว้
ตั้งใจจะพักผ่อน เพื่อเอนกายลง
จิตยังสงบอยู่อย่างเดิม

พอศีรษะถึงหมอนมีอาการน้อมเข้าไปในใจ
คล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่งไปถูกสวิตช์ไฟฟ้าเข้า
มีความรู้สึกว่า " กายระเบิด " เสียงดังมาก
ความรู้ที่มีอยู่นั้นละเอียดที่สุด

พอมันผ่านตรงจุดนั้น ก็หลุดเข้าไปในโน้น
แม้อะไรๆ ทั้งปวงก็ส่งเข้าไปไม่ได้
ไม่มีอะไรเข้าไปถึง หยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่ง
ก็ถอยออกมาจนถึงปกติธรรมดา

ที่ว่าถอยออกมานี้ ไม่ใช่ว่าเราจะให้ถอย มันเป็นเอง
เราเป็นเพียงผู้ดู ผู้รู้เท่านั้น

เมื่อจิตเป็นปกติดังเดิมแล้ว
คำถามก็มีขึ้นว่า... นี่มันอะไร ?

คำตอบเกิดขึ้นว่า... สิ่งเหล่านี้ของมันเป็นเอง
ไม่ต้องสงสัยมัน คิดเท่านี้จิตก็ยอม

เมื่อหยุดอยู่สักพักหนึ่ง ก็น้อมเข้าไปอีก
เราไม่ได้น้อม มันน้อมเอง
พอน้อมเข้าไปๆ ก็ไปถูกสวิตช์ไฟดังเก่า
ครั้งที่สองนี้... " ร่างกายแตกละเอียดหมด "
แล้วหลุดเข้าไปข้างในอีก
เงียบ ! ยิ่งกว่าเก่า " ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง "

พอสมควรแล้ว ก็ถอยออกมาตามสภาวะของมัน
ในเวลานั้นมันเป็นอัตโนมัติ
มิได้แต่งว่าจงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้
จงออกอย่างนั้น จงออกอย่างนี้...ไม่มี

" เราเป็นเพียงผู้ทำ ความรู้ดูเฉยๆ "
เมื่อนั่งพิจารณาก็น้อมเข้าไปอีก
ครั้งที่สามนี้... " โลกแตกละเอียดหมด "
ทั้งพื้นปฐพีแผ่นดิน แผ่นหญ้าภูเขาเลากา
เป็นอากาศธาตุหมด ไม่มีคน หมดไปเลย
ตอนสุดท้ายนี้... " ไม่มีอะไร "

ดูยาก พูดยาก ของสิ่งนี้
ไม่มีอะไรมาเปรียบปานได้เลย
สามขณะนี้ใครจะเรียกว่าอะไร ใครรู้
เราจะเรียกว่าอะไรเล่า.

หลวงปู่ชา สุภัทโท






ผู้ใดมีความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ
และรู้จักตอบแทนคุณท่านผู้ให้กำเนิด ที่เลี้ยงเรามา
ผู้นั้นเป็นผู้เจริญ และเป็นบุคคลที่หาได้ยาก
ยิ่งได้มาบวชปฏิบัติรักษาศีลภาวนา
พ่อแม่จะได้รับอานิสงค์มากกว่าทำอย่างอื่น.

โอวาทธรรม
หลวงปู่อ้ม สุขกาโม
วัดป่าภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร






.
# อุบายของคนพาล #
ใครมีความฉลาดแหลมคมเพียงไรก็ตาม
ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะอยู่ในใจ
และความประพฤติแล้ว ท่านเรียกว่า...พาลทั้งนั้น

คำว่า...พาลและปราชญ์ในหลักธรรม
จึงหมายเอาคนชั่วกับคนดีเป็นสำคัญ

คำว่าพาลนี้...พาลทั้งตัวเอง พาลทั้งผู้อื่น
คำว่าพาลนี้...มีทั้งพาลหยาบและพาลละเอียด
พาลภายนอก พาลภายใน
พาลให้คนอื่น พาลให้ตนเอง

การผลัดวันประกันพรุ่ง
เพื่อหลีกเลี่ยงการทำความดีใส่ตน
มีไหว้พระสวดมนต์ ภาวนาเป็นต้น
มักมีอุบายแปลก ๆ
เพื่อออกตัวไปทางใดทางหนึ่งจนได้
อุบายประเภทที่ปราชญ์ท่านว่า...
เป็นอุบายของคนพาลภายใน.

โอวาทธรรม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







กราบ กราบ กราบ...โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

... " ถ้าไม่รักษา 'ใจ'
จะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลธรรมที่ดีงามได้
นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้น จะไม่ต้องรักษาใจ "

จากประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี








#จิตที่ตายแล้ว

" ' ปมาโท มัจจุโน ปทัง ' ผู้ที่ประมาท คือผู้ที่ไม่สนใจรักษา ไม่สนใจดูแลจิตเจ้าของ เป็นผู้ที่ทอดทิ้งจิตนั้นล่ะ เรียกว่าผู้ประมาท ผู้ที่ประมาทก็เป็นคนตาย คนตายก็คือจิตที่ถูกทอดทิ้งนี้เอง เป็นจิตที่ตายแล้ว กุศลธรรม อกุศลธรรม เกิดจากจิต เท่านั้น "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







" มีธรรมเป็นเครื่องอยู่...อยู่เป็นสุข
มีสติธรรมเป็นเครื่องอยู่ ... อยู่เป็นสุข
มีความสงบเป็นเครื่องอยู่ .. อยู่เป็นสุข

ถ้าหากไม่มีสติ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ หาความสุขใจไม่เจอ ดิ้นรนตะเกียกตะกาย อยากจะเปรียบเป็นสุนัขขี้เรื้อน แสวงหาความสุข ไม่มีโอกาสจะเจอสถานที่ที่ไม่คันได้ เพราะความคันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ มันคันอยู่ที่ขี้เรื้อนนั้น

จิตก็เช่นเดียวกัน เปลื้องคำว่าโลกออกเสีย
โรคดี โรคชั่ว โรคทุกข์ โรคสุข โรครัก รักชัง เปลื้องออกไปซะ อยู่เป็นสุขสมกับที่เรามุ่งมั่นปราถนากัน "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร






#บุญบาปเห็นได้ด้วยตา

..." คำว่า' บุญ ' ก็คือ ความสมบูรณ์นั่นเอง กายของเราก็สมบูรณ์ ใจของเราก็สมบูรณ์ มีความสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง ไม่วิปริตไม่บกพร่อง นั่นล่ะคือบุญ

... เราจะเห็นเวลาเราไปเยี่ยมคนพิการ เด็กพิการ คำว่าพิการคือไม่สมบูรณ์ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น เขาปราถนาเหรอ เขาต้องการเหรอ พ่อแม่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้นเหรอ ไม่ แม้จะไม่ปราถนาไม่ต้องการให้ลูกหลานเป็นอย่างนั้น ก็เขาทำมาอย่างนั้น เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น นั่นคือสร้างความไม่สมบูรณ์ สร้างความบกพร่องมา หรือทำบาปมาก็ไม่ผิด

... เราสมบูรณ์ กายก็สมบูรณ์ ใจเราก็สมบูรณ์ มีสติปัญญา มีความเข้มแข็ง สติปัญญา สมอง ล้วนแต่เป็นบุญทั้งนั้น บุญๆ ไม่ใช่สิ่งที่ตามองไม่เห็น , บาป ๆ ก็เป็นสิ่งที่ตาเห็น

... คนทำบุญก็ตาเห็น คนทำบาปก็ตาเห็น ผลของบุญก็ตาเห็น ผลของบาปก็ตาเห็น บุญและบาป ไม่ใช่ของลี้ลับอะไร
ถ้าคนรู้จักบุญ รู้จักบาป ก็สามารถเห็นบุญเห็นบาปได้ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องหมายของบาป บุญ ทั้งนั้น

... ใครมีบุญวาสนาบารมีแค่ไหนเพียงไร มันแสดงออก มันบอกหมด คนไหนมีความบกพร่อง คนไหนมีบาปลักษณะไหน บาปก็แสดงออกในบุคคลนั้น ไม่ใช่บาปเป็นของลี้ลับมองไม่เห็น "
__________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร






ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
#ถ้าเข้าถึงนิพพานสูงสุดจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
#ซึ่งแนวทางการปฏิบัติพระพุทธเจ้าตรัสรู้สอนไว้ก็มีอยู่
#นิพพานมีอยู่
#ทางปฏิบัติที่จะไปสู่นิพพานก็มีอยู่
#ผู้ชี้ทางบอกทางคือพระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ก็มีอยู่
#ก็เหลือแต่ผู้ที่จะเดินทาง #ผู้ที่จะปฏิบัติตามคำสอนปฏิบัติตามแนวทาง
#ถ้าปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าก็จะถึงนิพพานพ้นทุกข์

อย่างพระพุทธเจ้าถึงแล้ว เสด็จไปดีแล้ว ถึงนิพพานแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลายถึงนิพพานไปจำนวนมาก พ้นหมดแล้ว พ้นทุกข์หมดแล้ว

หรือถ้าเป็นอริยบุคคลชั้นรองลงมาจากพระอรหันต์เรียกว่าพระอนาคามี
ก็จะไม่เกิดในมนุสสโลก ไม่เกิดในชั้นเทวดา
จะเกิดในพรหมโลก
เรียกว่าเป็นโอปปาติกะ
แล้วก็ปรินิพพาน คือเป็นพระอรหันต์ที่นั่น

ถ้าเป็นสกทาคามี อริยบุคคลชั้นรองลงมา
ก็มาเกิดอีกครั้งเดียวก็เป็นพระอรหันต์

ถ้ารองลงมา อริยบุคคลชั้นต้นเรียกว่าโสดาบัน
ก็จะเวียนว่ายตายเกิดโดยทั่วไปก็ไม่เกิน ๗ ชาติ
ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
แล้วก็ถึงแม้ว่ายังต้องเกิด ๗ ชาติ
ก็ไม่เกิดในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานโดยเด็ดขาด
โสดาบันเกิดก็เกิดในมนุษย์ เทวดา
ปิดประตูอบายภูมิได้สนิท
เห็นไหมชีวิตที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดแบบนับไม่ถ้วนเหลือแค่ ๗ ชาติ
อริยบุคคลชั้นที่ ๑ โสดาบัน ได้เข้าไปถึงกระแสนิพพาน
แต่ว่ากิเลสยังตัดไม่หมดเกลี้ยง ยังมีเหลืออยู่

การเข้าถึงอย่างนี้ต้องปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่พระองค์สอนไว้บอกไว้
คือต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘
ถ้าใครได้เจริญพากเพียรปฏิบัติก็จะมีโอกาสบรรลุธรรม

#ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายเป็นผู้หญิง
#เป็นพระเป็นฆราวาส
#เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่
#ก็มีสิทธิที่จะเข้าถึงได้ถ้ามีความพากเพียรปฏิบัติ
๗ ขวบก็เป็นอริยบุคคลได้ เป็นพระอรหันต์ได้
ในสมัยพุทธกาลก็มีหลายท่าน
เป็นสามเณรอายุ ๗ ขวบ เป็นพระอรหันต์แล้ว
บวชอายุ ๗ ขวบ บางคนแค่โกนหัวเป็นพระอรหันต์
นางวิสาขาเป็นมหาอุบาสิกาที่เราได้ยินชื่อเสียง
ที่บำรุงอุปัฏฐากพุทธศาสนาไว้อย่างมาก
สละทรัพย์สร้างวัดบุพพาราม
เป็นอริยบุคคลโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่เราเคยได้ยินชื่อก็เป็นโสดาบัน
พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชา เป็นโสดาบันเหมือนกัน
พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาของพระพุทธเจ้าก็เป็นอริยบุคคล
ก่อนจะปรินิพพาน กำลังอาพาธประชวรหนัก
พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยม แล้วก็ไปแสดงธรรมโปรด
ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วก็สวรรคต
หรือว่าไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระมารดาไปเกิดเป็นเทวดาหรือเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
ฟังธรรมแล้วก็บรรลุเป็นอริยบุคคล
เทวดาก็บรรลุเป็นอริยบุคคลได้

#ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนพุทธศาสนาก็เหมือนว่าเราได้ตัดกรรมได้
#กรรมที่จะนำไปสู่นรกเปรตอสุรกายสัตว์เดรัจฉานเป็นอันว่าตัดขาด
#ถ้าบรรลุแค่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นมา
#ตัดกรรมที่จะนำไปเกิดในอบายภูมิได้ขาดเลย
#กรรมที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับไม่ถ้วนเหลือแค่๗ชาติ

#ถ้าบรรลุถึงอรหัตตมรรคเมื่อไรก็เป็นอันว่าตัดหมด
#ตัดกิเลสตัดภพชาติทั้งหลาย
#ยังมีชีวิตอยู่ก็เพียงเสวยวิบากเก่า
ตอนมีชีวิตอยู่ยังต้องเสวย
อย่างพระองคุลิมาลที่เป็นมหาโจรฆ่าคนเป็นพัน
ถ้าไม่ได้พบพระพุทธเจ้า ต้องไปตกนรกหนักเลย ฆ่าคนเป็นพัน
พอบรรลุเป็นอริยบุคคลก็ปิดประตูอบายได้หมด
โดยสุดท้ายท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์
ท่านก็เสวยผลกรรมเฉพาะยังมีชีวิตอยู่
ไปบิณฑบาตเดี๋ยวโดนเขวี้ยง
เขาไม่ได้ตั้งใจก็โดน
คือบางทีเขาขว้างอะไรไปเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ
ก็มาลงที่ศีรษะของท่านเลือดอาบมาเรื่อย
ไปบิณฑบาต จีวงจีวรขาด เลือดอาบมา

พระพุทธเจ้าก็ปลอบใจว่า เธอต้องอดทน
เพราะว่าเธอทำบาปกรรมไว้
แต่ว่าใช้กรรมตอนนี้ เธอไม่ต้องไปใช้ในนรกอีก
ที่สุดท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์
พอท่านปรินิพพานก็เป็นอันว่าดับรอบ
ไม่มีขันธ์ ๕ ไปอุบัติบังเกิด
ก็ไม่ต้องไปเกิดแก่เจ็บตายอีก

ชีวิตหลังความตาย (ธรรมสุปฏิปันโน ๘)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา





เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใด ๆ ทั้งสิ้น จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น
.
เมื่อเจริญจิตจนจิตว่างจากการปรุงแต่งแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังคงมีเหตุบางอย่างที่เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติ หรือหน้าที่อันพึงกระทำอยู่บ้าง อันมิสามารถละเหตุนั้นได้ ก็ต้องไม่ยึดในผลหรือกรรมวิบากที่ยังคงเกิดเป็นธรรมดานั้นด้วยเช่นกัน ดังเช่น ความเจ็บป่วย ตลอดจนเรื่องทางโลกบางประการก็เป็นเช่นนั้น
.
ท่านจึงกล่าวไว้ว่า เหตุต้องละ อันรวมถึงเหตุบางประการที่ยังละไม่ได้ดังที่กล่าวอันย่อมยังให้เกิดผลขึ้นบ้างเป็นธรรมดาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรือกรรมวิบากนั่นเอง ก็ต้องละที่ผลนั้น ละอันหมายถึง โดยการไม่ไปยึด ไม่ปรุงแต่งต่อจากผลกรรมนั้นอีกเช่นเดียวกัน
.
จึงเกิดปรากฎการณ์ที่พระอริยเจ้ากล่าวอยู่เนืองๆ ว่า " เหตุแห่งทุกข์นั้นยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น " หรือเรียกว่าสภาวะ " เหนือกรรม " คือกรรมวิบากหรือผลของกรรมนั้นยังคงมีอยู่ แต่ไม่เป็นทุกข์นั่นเอง

.
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์






พวกเราปุถุชนคนเดินดินกินข้าวอย่างพวกเรา จะไม่ให้มีติฉินนินทาดุด่าว่ากล่าวอิจฉากัน มันไม่มีหรอกในโลกนี้ คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก อย่างหลวงพ่อถึงตัวเองถูกนินทา หลวงพ่ออินทร์ไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ เราก็ต้องมองตัวเอง เอ เราไม่ดีอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า มันไม่จริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า เอ๊ะ เราก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันหาเรื่องราว เราพร้อมที่จะชี้แจงได้ในเรื่องนี้ เราไม่มีอย่างนั้นนะ มันหาเรื่องมาใส่เรา เราจะทำยังไงได้ใช่ไหมเพราะนินทากันทั่วบ้านทั่วเมือง เราก็มีแต่ทำใจตัวเองเท่านั้น นั่นแหละ เอาเถอะช่างหัวมัน เราไปที่ไหนไม่ให้หมาเห่ามันผิดธรรมชาติ

อันนี้ เราเกิดมาในโลกมันต้องมีล่ะว่ะ มันเหมือนกับหมาเห่าล่ะ เราจะไปเดือดร้อนทำไม เว้นเสียแต่เราทำผิดพลาดอย่างที่เขาว่า เออ ใช่ มันจริงอย่างที่เขาว่านะ จุดนี้เราก็บกพร่องจริง ๆ เราก็ควรจะปรับปรุงแก้ไขการกระทำของเราให้มันดีขึ้น

การนินทาของคนไม่ใช่ว่า เขานินทาแล้วเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก็ไม่ใช่ เขานินทาไปแล้วไม่ถูก เดือดร้อนวุ่นวายฟาดงวงฟาดงาต่อเขา มันก็ไม่ใช่นะ เราก็ต้องมองดูเหมือนกัน นี่แหละพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างนะ เพราะฉะนั้นการเป็นอยู่ในโลกวัฏสงสารใบนี้นะ บางสิ่งบางอย่างก็ต้องทำใจตนเอง

ศรัทธาญาติโยมคงเหมือนกันนะ บางทีโมโหให้เจ้านายของตนเอง โมโหให้ครูบาอาจารย์ของตนเองที่รักเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระของทุกคน ท่านเมตตาทั้งคนชั่ว เมตตาคนดีด้วย บางทีเห็นเจ้านายครูบาอาจารย์ของตนเองปราณีคนชั่ว ไม่พอใจ ปราณีทำไมคนชั่ว เตะฆ่ามันทิ้งเลย แต่ครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับร่มโพธิ์ร่มไทร สัตว์สาราสิงห์ เสือสิงห์กระทิงแรดเข้ามาก็ต้องอยู่ในร่ม ก็ต้องพยายามแนะแนวแนะนำไปในทางที่ถูกต้อง ไปในทางที่เป็นธรรม ให้อยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนั่นนะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “เมตตาคนดี ปราณีคนชั่ว”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗








” ยอมรับมัน “

ถาม : เวลามีสิ่งมากระทบ อ่านข่าวแล้วเกิดอารมณ์ไม่พอใจ แล้วเกิดสติรู้ทัน ก็พิจารณาว่าทำไม เพราะอะไร จนอารมณ์ความรู้สึกเบาบางลงไป แล้วก็กลับมาบริกรรมต่อ

พระอาจารย์ : ถ้าใจสงบแล้ว จะบริกรรมก็ได้ ไม่บริกรรมก็ได้ ถ้าใจทุกข์กับสิ่งที่ได้ยิน ก็ต้องใช้สมาธิหรือใช้ปัญญาแก้ ถ้าใช้สมาธิก็ให้บริกรรมไป ไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา จนกว่าจิตจะสงบแล้วลืมเรื่องนั้นไป ถ้าจะใช้ปัญญาก็พิจารณาว่าเป็นธรรมดาของโลก มีเจริญมีเสื่อม มีสุขมีทุกข์ แต่ใจเรามีอคติ ชอบฟังแต่เรื่องสุขเรื่องเจริญ พอได้ยินเรื่องทุกข์เรื่องเสื่อมก็จะหดหู่ใจ ต้องสอนใจว่า ต้องฟังได้ทั้ง ๒ เรื่อง เรื่องสุขก็ได้ เรื่องเจริญก็ได้ เรื่องทุกข์ก็ได้ เรื่องเสื่อมก็ได้ เพราะเราไม่สามารถไปสั่งให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้ ให้สักแต่ว่ารู้ แล้วก็ปล่อยวาง อย่าไปมีปฏิกิริยา ถ้ามีปฏิกิริยาก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

เรื่องจะร้ายแรงขนาดไหนก็ต้องยอมรับ จะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ถ้าแก้ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต้องอยู่กับมันไป แม้แต่ความตายก็ต้องอยู่กับมันไป ยอมรับมันไป ต้องทำใจเป็นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนที่เราเป็นอยู่ขณะนี้ สมมุติว่าถ้าต้องหยุดหายใจขณะนี้ ถ้าใจรู้แล้วเฉยได้ ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ บรรลุได้ ถ้าหายใจไม่ออกแล้วตกใจกลัว แสดงว่าสอบตก จะสอบผ่านก็ต้องเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เป็นอย่างไร ตอนที่จะตายก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทำใจให้เฉยเหมือนตอนนี้ จะเฉยได้ก็ต้องมีสติมีสมาธิมีปัญญา ที่เราต้องเจริญให้มาก พอมีมากแล้วจะรักษาใจให้นิ่งเฉยได้ ถ้าไม่มีก็จะถูกกิเลสดึงไป จะเกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา ต้องปฏิบัติให้มาก ตั้งแต่ตื่นจนหลับ แต่พวกเราไม่ปฏิบัติกัน ไม่ตั้งสติกัน ปล่อยให้ใจไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ พอไปเจออารมณ์ไม่ดีก็หยุดไม่ได้ จึงต้องหัดหยุดให้ได้ ต้องสร้างอุเบกขาให้เกิดขึ้น ด้วยการเจริญสติและสมาธิ พอมีอุเบกขาแล้วก็เจริญปัญญา เตรียมรับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ต้องพร้อมอยู่ทุกเวลา ถ้าพร้อมแล้วจะไม่ตื่นตระหนก ไม่ทุกข์ทรมานใจ จะตั้งอยู่ในความสงบ เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๒๗ กัณฑ์ที่ ๔๓๑
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔







”ต้องคิดทั้งทางบวกและทางลบ“

ถาม : เดี๋ยวนี้เขานิยมให้คิดในเชิงบวก คิดไปก็ไม่ได้แก้ปัญหา

พระอาจารย์ : เพราะเป็นกิเลส อยากได้ ไม่อยากเสีย ถึงแม้จะคิดในเชิงบวกอย่างไร ก็ต้องคิดเผื่อเสียอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะซื้อประกันภัยไว้ทำไม ต้องประกันความเสี่ยงอยู่ดี คิดในเชิงบวกเพื่อไม่ให้ท้อแท้หมดกำลังใจ คิดว่าข้างหน้ายังมีโอกาส อย่างน้ำท่วมนี้ถ้าคิดในเชิงบวกก็ต้องคิดว่า ไม่เป็นไรน้ำลดแล้วค่อยว่ากันใหม่ ถ้าคิดในเชิงลบก็จะท้อแท้เบื่อหน่าย หมดกำลังใจ การคิดในเชิงบวกนี้ ต้องคิดตามหลักความจริง ว่ามีทั้งบวกมีทั้งลบ ลาภยศสรรเสริญสุข มีทั้งบวกมีทั้งลบ เป็นโลกธรรม ๘ มีเจริญและเสื่อม แต่พวกเราจะคิดแต่ด้านบวก ต้องเจริญลาภเจริญยศสรรเสริญสุขอย่างเดียว คิดอย่างนี้เป็นกิเลส ถ้าคิดทางธรรมก็ต้องคิดว่า มีเจริญมีเสื่อม เป็นของคู่กัน เจริญลาภเสื่อมลาภ เจริญยศเสื่อมยศ มีสรรเสริญมีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ สลับกันไป ต้องรับได้ทั้ง ๒ ส่วน แต่พวกเราจะรับได้แต่ส่วนที่เจริญเท่านั้น พอเวลาเจอความเสื่อม อย่างเช่นตอนนี้ เสื่อมทรัพย์เสื่อมลาภไป เสียทองไป ๒ บาท ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่คิดไว้ล่วงหน้าก่อนว่าจะเสื่อม

พวกเราต้องคิดทั้งทางบวกและทางลบ ในเรื่องลาภยศสรรเสริญสุข ต้องคิดเผื่อไว้ แต่เรื่องใจนี้คิดทางบวกได้เสมอ เพราะใจไม่ได้ไม่เสียกับอะไรเลย ไม่ว่าร่างกายจะเป็นอะไร ใจไม่ได้เป็นไปด้วย ใจไม่ต้องไปเดือดร้อนกับร่างกาย กับลาภยศสรรเสริญสุข นี่คือคิดทางบวก พวกเราสามารถทำใจให้มีแต่ความเจริญอย่างเดียวได้ กลับไม่ทำกัน ปฏิบัติทานศีลภาวนาไปสิ จะเจริญอย่างเดียว ไม่มีทางเสื่อม จะเจริญไปถึงนิพพานเลย ปรมัง สุขัง ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันทุกข์ คิดทางบวกให้คิดอย่างนี้ คิดทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนา นี่แหละเป็นการคิดทางบวกที่ถูกต้อง ถ้าคิดในเรื่องโลกธรรม ว่าต้องเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเลย ก็จะหลอกตัวเอง เพราะทุกอย่างมีเจริญก็ต้องมีเสื่อม มีเกิดก็ต้องมีตาย ให้คิดอย่างนี้ เวลาเสื่อมหรือตาย จะได้ไม่เสียหลัก ไม่ทุกข์ทรมานใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๒๗ กัณฑ์ที่ ๔๓๑
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔







"..ทุกข์มันเกิดจากร่างกายนี้หนึ่ง
...ทุกข์มันเกิดจากจิตจากใจนี้หนึ่ง
ร่างกายมันมีโรคภัยไข้เจ็บ เจ็บหัวตัวร้อน เจ็บแข้งเจ็บขา เป็นโรคนั้นโรคนี้มารวมในสกลกายอันนี้ นี้เรียกว่าทุกข์ทางร่างกาย
ทุกข์ทางใจ กะมีความกลัว กลัวเจ็บ กลัวปวด กลัวตาย กลัวบ่ได้ย้านบ่มี ความรัก ความชัง ดีใจเสียใจนี่ทุกข์ทางใจ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้า เพิ่นจั่งมาสั่งมาสอนให้พวกเรามาพินิจพิจารณา มาค้นมาคว้า ให้มันรู้ให้มันเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายพวกเรานี้และสมบัติทั้งหลายที่พวกเราสมมุติกันอยู่นี้ มันแตกมันดับได้เพราะมันเป็นของไม่เที่ยง มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
ฉะนั้นท่านจึงให้มาพิจารณาดูภายในจิตใจตน เพื่อให้มองเห็นตนของตนเองที่แท้จริง ดวงจิตดวงใจแท้ๆของเรามันใสสะอาด แต่เพราะความยึดความหลงมันมาปิดมาบังจึงมองไม่เห็นความจริง จึงพากันมาเกิดๆดับๆไม่รู้ที่สิ้นสุด
...ทุกข์อย่าไปกลัว เจ็บปวดอย่าไปกลัว ให้พิจารณา ให้ดูตัวทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์มากๆ เจ็บมากๆ ปวดมากๆ นั้นล่ะตัวธรรม "..ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต.."
..ตายอย่ากลัว ให้กลัวการเกิด เพราะการเกิดมาแล้วมันเป็นทุกข์.."

พระราชมงคลวชิรธรรม วิ.
หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร










".. เฮาสิเว่าสูงไปหลายหยังกะด้อ..
เพียงศีลห้านี่กะให้มันได้ถะแมะ​ เว่าจั่งซั่นเอาโลดว้า..
.. เพียงภาวนาพุทโธ​นี่กะเอาเถาะน๊า..ให้มันได้​ เว่าจนสูงพระอรหัต-อรหันต์จั่งใด๋​.. แต่ศีลห้ากะยังละบ่ทันได้​ อื้อ..ซางเว่า​.."

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต







"...เราขอเตือนสติคนไทยทุกคนอย่าหลงงมงาย
อย่าติดวัตถุ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเป็นธรรม
ทายาท ไม่ให้เป็นอามิสทายาท อามิสทายาทคือ
อามิสภายนอก อย่าติดสิ่งของภายนอก ของสมมุติ
ทั้งนั้น ของสมมุติ ของไม่จริง คนโบราณว่ายังไง
คนโง่แบกของหนัก คนฉลาดเอาของเบา คนเมา
โลกก็ทุกข์ คนหลงโลกไม่มีที่สิ้นสุด ลองคิดดีๆ
คนโง่นี่แบกของหนัก อันไหนหนักอกหนักใจ เอามา
แบกไว้หมด แล้วแบกของที่ไม่มีประโยชน์ คนฉลาด
นะเอาของเบา คนเมาโลกก็ทุกข์ ผู้แบกโลกก็หนัก
ผู้วางโลกก็เบา ผู้เมาโลกก็ทุกข์ ผู้ไม่ติดโลกไม่มี
ความทุกข์เลย ไม่ติดโลกธรรม

โลกธรรม ๘ เป็นธรรมดาของสัตว์โลกนี้ คือมีลาภ
ก็เสื่อมลาภ มีสรรเสริญมีนินทา มียศก็เสื่อมยศ
มีสุขมีทุกข์ เป็นธรรมดาอยู่ในโลกนี้ เราเกิดมาใน
โลกนี้เพื่อมาเจอโลกธรรม ๘ เมื่อมาเจอแล้วเราก็
ต้องทำใจทุกสิ่งทุกอย่างไหลไปไม่เที่ยง เป็นสภาว
ธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิด
มาในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อม
มีความดับไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ฉะนั้นเราอย่า
ติดใจสงสัยอะไรทั้งสิ้น ในโลกนี้ ในจักรวาลนี้
เราพยายามทำดีที่สุดในปัจจุบัน อดีตผ่านพ้นไป
แล้ว ไม่สามารถจะแก้ไขได้ อนาคตภายภาคหน้า
เราก็ไม่อาจสามารถจะรู้ได้ วันนี้ วันพรุ่งนี้ เราจะ
ตาย จะเป็นยังไง ไม่อาจพยากรณ์ชีวิตของเราได้
ปัจจุบันนี้ดีที่สุด จงทำปัจจุบันให้ดี เหตุให้ดี
ผลย่อมดี ทำสิ่งที่ดีๆ มีประโยชน์แก่ตนเอง
แก่ประเทศชาติบ้านเมือง แก่ชาวโลกทั้งหลาย
จะคิด จะพูด จะทำสิ่งใด ก็อย่าให้เบียดเบียนตนเอง
และผู้อื่น อาศัยอหิงสธรรม..."

#โอวาทธรรม พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร
วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑







เรายังมีคนบอกคนสอนขนาดนี้
ยากอะไร เป็นคนเหมือนกัน
มีพ่อมีแม่เหมือนกัน มันยากอะไร
มันยากเจ้าของ ไม่อยากทำ
เราทำมาหาเลี้ยงชีวิตจิตใจเราก็ยังทำได้
หน้าที่ของเราคือ ชำระล้างจิตใจ
ให้มีคุณค่า ให้มันสะอาดสะอ้าน

หากจิตใจมันสกปรก มันรกรุงรัง มันวุ่นวาย
มันเดือดร้อน มันไม่ดี
นี่หล่ะ ! ศีลธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
หมั่นซักฟอกจิตใจให้สะอาด
ใครฉลาดก็ให้ทำเอา
ให้พากันมาศึกษาสิ่งที่ค้นหาได้ยาก หายากจริง ๆ.

โอวาทธรรม
หลวงปู่อ้ม สุขกาโม
วัดป่าภูผาผึ้ง ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO