นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 18 เม.ย. 2025 9:59 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความอ่อนแอ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 02 ต.ค. 2024 8:49 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4893
วัน คืน เดือน ปี หมดไป สิ้นไป
แต่อย่าเข้าใจว่าวันนั้นคืนนั้นหมดไปวันคืนไม่หมด
ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป
มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก
ฉะนั้นให้ภาวนาดูว่าวันคืนล่วงไป
เราทำอะไรอยู่ ทำบุญ หรือ ทำบาป
เราละกิเลสได้หรือยัง
เราภาวนา ใจ สงบหรือยัง

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







"... ให้เราพิจารณาดู ทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา

... คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็
จากเรา มันอยู่ที่ใครไปก่อนใคร เท่านั้นเอง

... บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา บางทีเราก็ไป
ก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเรา เขาก็ไปก่อน
บางทีเราไปก่อนเขา

... มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ของกรรม ..."
__________________
#หลวงปู่ชา_สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี









..บุญกุศลที่เพิ่มพูนบุญบารมี ที่เราได้สร้างคุณงามความดีนี้ เรียกว่าเพิ่มเติม กรรมเก่าของเราได้มาแค่นี้ วันนี้ทำไมเราไม่สร้างต่อ ก็จะมีผลต่อพวกเราไปเรื่อยๆตามขั้นตามตอน บางบุคคลตายแล้วไปเกิดได้เร็วก็มี ไปเกิดกับลูกหลานกับญาติพี่น้องก็มี บางบุคคลได้เคยทำบาปความชั่ว ก็ไปเกิดในที่ทุกข์ยากก็มาก เราก็จะได้เห็นว่าความสมบูรณ์เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าคนสมบูรณ์นั้นไปเกิดใหม่ ก็จะมีจริตนิสัยไปในทางที่ดี เหมือนศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย ที่ได้พากันเกิดขึ้นมาแล้ว มีอุปนิสัยได้พากันเข้าวัดเข้าวา สร้างคุณงามความดีไว้เป็นที่พึ่งของตน อันเป็นบุญเป็นกุศลในชีวิตของเรา ก็เรียกว่าเป็นผู้โชคดี โชคดีที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วโชคดีที่ชีวิตของเรายังมีอยู่ เราก็จะได้ทำคุณงามความดีมากขึ้น โชคดีที่ได้มาพบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







เฮาสิเว่าสูงไปหลายหยังกะด้อ
เพียงศีล 5 นี่กะให้มันได้ถะแมะ​
เว่าจั่งซั่นเอาโลด ว้า!

เพียงภาวนาพุทโธ​นี่ กะเอาเถาะน๊า ให้มันได้​
เว่าจนสูงพระอรหัต อรหันต์จั่งใด๋
แต่ศีล 5 กะยังละบ่ทันได้​ อื้อ..ซางเว่า​.

.....................

# แปลเป็นภาษาไทย: #

เราจะพูดไปสูงทำไม
เพียงศีล 5 นี่ก็ให้มันได้เถอะ
พูดแบบนี้แหละ

เพียงภาวนาพุทโธนี่ ก็เอาเถอะน่า ให้มันได้
พูดจนสูง พระอรหัต อรหันต์ ยังไง
แค่ศีล 5 ก็ยังละไม่ได้ ฮื้อ..ช่างพูด.

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต











ทุกสิ่งทั้งปวง ย่อมมีเหตุปัจจัย มีที่มาที่ไปและมีความหมาย มีคุณประโยชน์
สัตว์โลกทั้งหลายต่างก็พึ่งพาอาศัยกัน และเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของสังขารที่ปรุงแต่งขึ้น

---------
โอวาทธรรม พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญวาสีภิกขุ








ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่า ไม่มีธรรม นั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)
.
เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
.
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
.
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของ จักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"
.
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล










"แต่ละวัดๆ สร้างสิ่งวัตถุขึ้นมา..."

"เพื่อจะหลอกล่อคนเข้าวัด เอาตลาดลาดเลเข้าไปอีกด้วย หลอกคนหวังจะให้คนเข้าวัด อันนั้นเข้าไปเพื่อธุรกิจ
ไม่ใช่เข้าไปเพื่อเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา
พี่น้องโปรดเข้าใจ....พระพุทธศาสนาไม่ได้เดินทางนี้

#ธรรมของพระองค์เป็นธรรมที่บริสุทธิ์

เราเป็นชาวพุทธ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้เข้าไปแปลกปลอมเคลือบแฝง ไม่อย่างนั้นศาสนาเราจะ...
ศาสนาเราไม่ได้เสื่อม อนุชนรุ่นหลังจะเข้าใจว่า..
นี้หรือคือเนื้อคือหนังของศาสนา นี้หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนกันอย่างนี้เหรอ....
#เพราะคนไม่ถึงศาสนามักจะโจมตีศาสนา
ดูถูกศาสนาอีกด้วย เป็นบาปเป็นกรรมแก่ผู้ดูถูก

จริงๆแล้วศาสนาไม่ได้สอนอย่างนี้ ศาสนาไม่เคยเสื่อม
แม้จะไม่มีผู้นับถือศาสนาก็ยังเป็นศาสนา
พระพุทธเจ้าก็ยังเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมของพระพุทธองค์ก็ยังคงเส้นคงวา....

เป็น"อกาลิโก" #ไม่เลือกกาลไม่เลือกสมัย

ถึงได้บอกบรรดาพี่น้องทั้งหลาย โปรดได้ทราบว่า..
พุทธศาสนาเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร ไม่ใช่ศาสนา
ที่จะมาแต่งมาเต็มเอา ไม่ใช่ศาสนาที่จะมานั่งเทียน
เขียนเอา มาบันทึกมาบัญญัติเอาเมื่อไหร่

#อย่างศีล 5 คนทั้งหลายก็ว่า...พระพุทธเจ้าบัญญัติ

จริงๆ แล้วไม่ใช่พระองค์มาทรงบัญญัติขึ้น
แต่เป็นเพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า...
สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างนี้ๆ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น คือนำสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้มาบอก บอกว่า...

การทำกรรมสิ่งเหล่านี้ สิ่งไม่ดีสิ่งเหล่านี้
นี้คือ...#ความเป็นจริงนี้คือสัจธรรม ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ได้เห็นมา อย่างนี้เป็นมาอย่างนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
มานั่งเทียน ไม่ใช่เป็นปรัชญา ต้องมานั่งคิดนอนคิดเอาเมื่อไหร่ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

#พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาด้วย.."อริยสัจสี่"

ไม่ได้มาตบมาแต่งขึ้น ไม่ได้มาสร้างขึ้น เห็นไหมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ก่อนที่พระองค์ได้ตรัสรู้ว่า..

"ธรรมมีอยู่เกิดอยู่ก่อนที่พระองค์ได้มาตรัสรู้" อีกด้วยซ้ำไป เพียงทำของคว่ำให้หงายขึ้นมาเท่านั้นเอง

#เราถึงเห็นคุณของพระพุทธเจ้า เราถึงกล่าว..

"พุทธังสะระณัง คัจฉามิ"

แม้จะมีธรรม มีมากัปป์ไหนกัลป์ใดก็แล้วแต่เถอะ....
แต่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า นำสิ่งเหล่านี้มาเปิดเผย
มาเปิดเผยสภาวะธรรมขึ้น....
สิ่งเหล่านี้บรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ก็คิดข้ามไปข้ามมา
เดินข้ามไปข้ามมาอยู่นั้น #พระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นด้วยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ให้พี่น้องทั้งหลายเข้าใจ

ไม่อย่างนั้นตีความหมายพระพุทธศาสนา
#ตีความหมายผิดหมด หาว่า.....
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาได้ 2500 กว่าปี เกิดมาตรงไหน
นี้คือพระธาตุพระขันธ์ พระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้า ของพระศาสดาของมหาบุรุษที่มาตรัสความจริง

#โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์
พระอาจารย์โสภา สมโณ
#วัดแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา






การตายไม่มีเกียรติ คือตายด้วยความอ่อนแอ ตายด้วยความท้อแท้ เพราะถูกหลอกจากกิเลส ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อะไรเลย ตายด้วยความอับอายขายหน้า ให้กิเลสหัวเราะเปล่าๆ

ต้องตายด้วยความมีชัยชนะ ตายด้วยความกล้าหาญ ตายด้วยความเป็นนักรบอย่างเต็มตัว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด
#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ






อดีต​มันล่วงไปแล้ว​ มันล่วงมาแล้ว
จะเอามาเป็นอารมณ์​ให้ใจเศร้า​หมองทำไม

อนาคต​ยังมาไม่ถึง​ อย่าไปคิดมัน​
ให้มันมาเจอก่อนจึงคิด ให้พิจารณา​ปัจจุบัน​
พิจารณา​ร่างกายนี้ ของแตก ของเน่านี่

มันจะตายวันไหน​ มันจะเป็นอย่างไร​
พิจารณา​ให้เห็นว่ามันไม่พ้นความตาย
แล้วตายนอนทับกันอยู่
รีบทำความเพียร
รีบทำบำเพ็ญ​ภาวนา
ให้ศีล ให้สมาธิ​ ให้ปัญญา​เกิดขึ้น

ความชั่วที่เก็บมาให้มันเผาจิต​
ต้องเปิดออก ปัดออก
เอาแต่ความดีเข้ามาสู่ดวงจิต​ดวงใจของตน
ให้ใจเบิกบาน​ใจ ร่าเริง​ ให้ใจกว้าง อย่าให้ใจแคบ.

หลวงปู่ขาว​ อ​นา​ลโล








“ #ดังนั้นเวลาออกจากความสงบแล้ว
#ก็ต้องใช้สติคอยควบคุมใจ
ให้อยู่ในความสงบต่อไป

#ใช้ปัญญาสอนใจ
ไม่ให้ไปหลง ไปอยากกับสิ่งต่างๆ
#เพราะเวลาเกิดความอยากขึ้นมาแล้ว
#ความสงบก็จะถูกทำลายไป

ถ้ามีสติ มีปัญญา
ก็จะรู้ว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
จะเอาความสงบ
หรือเอาสิ่งที่อยากได้อยากมีอยากเป็น ”

ธรรมะเทศนา
พระคุณพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








#ความเป็นมงคลความเป็นอัปมงคล
ขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่ใครจะหยิบยื่นให้กับเรา

... " ออกพรรษา ออกด้วยความองอาจ กล้าหาญ ออกด้วยความราบรื่น และปลอดภัย จึงเป็นการออกพรรษาที่เป็นมงคล

... ออกพรรษา อะไรก็สับสนอะไรก็วุ่นวาย อะไรก็รกรุงรัง อะไรก็มีแต่ของเหม็นของเน่าเต็มอยู่ในบ้านในเรือน หาความเป็นมงคลแก่ชีวิตไม่ได้ เพราะบ้านเรือนก็คือ หัวใจ ของเรานี้ล่ะ เป็นบ้านเป็นเรือน เต็มไปด้วยของสกปรกรกรุงรัง แล้วจะเป็นมงคลได้อย่างไร

... ต้องการมงคล ไปขอมงคงจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ จะเทใส่น้ำอบน้ำหอมของดีมีค่าขนาดไหน มันก็ไม่เข้าถึงหัวใจ มันแปรสภาพไปหมด

... ความเป็นมงคล ความเป็นอัปมงคล ขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่จะขึ้นอยู่กับใครที่จะหยิบยื่นให้เรา ใครยังหย่อนยาน ใครยังมีความพยายามไม่เต็มที่ ยังประมาทเลินเล่ออยู่ แก้ไขเจ้าของเสีย "
______________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ประจำจิตประจำใจ ทำความชั่วช้าเสียหายสะสมมาช้านานหลายภพหลายชาติ เกิดมาแต่ละครั้งก็มาทำความชั่วเสียหายแก่ตน เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปดมดเท็จ ดื่มสุราของมึนเมา บางครั้งบางคราวไปถือนอกรีตนอกกรอบ นอกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสะสมความชั่วกรรมชั่วนั้นล่ะผลักดันให้มาเกิดซ้ำๆ ซากๆ ถ้าจิตใจผู้ใดเห็นผิดจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า บุญไม่มี บาปไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ลงไป กรรมชั่วนั้นล่ะมันจะผลักดันจิตใจให้ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำ ภูมิที่ต่ำอยู่ที่ไหน คือไปเกิดในนรก ไปเกิดเป็นเปรต ไปเกิดเป็นอสุรกาย ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดเป็นภูตผีปีศาจ อย่างใดอย่างหนึ่ง นี่คือผลของกรรมฝ่ายอกุศล
ที่นี้กรรมฝ่ายกุศลเริ่มจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา โดยลำดับ ต่ำสุดจะมาเกิดเป็นมนุษย์ นี่คือผู้มีศีลห้าบริสุทธิ์บริบูรณ์ ที่ประกอบไปด้วย ศีล ทาน สูงขึ้นไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ทั้งหกชั้น พรหมสิบหกชั้น สุทธาวาสห้า นิพพานหนึ่ง ตามสติกำลังของใครของเราผู้กระทำบำเพ็ญ แน่นอนไม่ต้องสงสัย ขอให้ประพฤติปฏิบัติกระทำบำเพ็ญ ทำได้ ปฏิบัติได้ เป็นของใคร ก็เป็นของเรา เป็นที่พึ่งของเรา และเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม






” มาสร้างที่พึ่งของใจ “

อย่าไปตื่นเต้นกับการพลัดพรากจากกัน เพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเหมือนการเปลี่ยนบ้าน คนที่ตายไปก็เหมือนย้ายไปบ้านใหม่ คนอยู่ก็อยู่กันต่อไป ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้ ไม่ต้องมาเศร้าโศกเสียใจเพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่สำคัญกว่า ว่าจะอยู่เป็นสุขหรือทุกข์ ถ้ามีความลุ่มหลงก็จะอยู่เป็นทุกข์ คิดถึงคนที่ตายไปแล้ว อยากให้กลับมาอีก อยากไปจนวันตายก็ไม่กลับมา ถ้ากลับมาก็จำไม่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนเดิม เพราะตัวที่แท้จริงก็คือใจ แต่เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ต้องใช้ตาในที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม จากการนั่งสมาธิ ถ้ามีพลังจิตสูงอย่างพระพุทธเจ้า ก็จะรู้ว่าคนที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน ไปเกิดเป็นอะไร ถ้ายังไม่มีพลังจิต ก็ต้องศึกษา ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ ในขณะที่ยังไม่มีก็ให้เชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เหมือนกับคนตาบอดเชื่อคนตาดี ถ้าตาบอดจะเดินไปไหนมาไหน ก็ต้องอาศัยคนตาดีพาไป ฉันใดพวกเราตอนนี้ก็ยังมืดบอดด้วยความลุ่มหลง ยังเห็นผิดเป็นชอบ ยังเห็นตัวตนในสิ่งที่ไม่มีตัวตน ยังเห็นความเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยง ยังเห็นความสุขในสิ่งที่เป็นความทุกข์อยู่ เราจึงต้องอาศัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นผู้พาเราไป ให้เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่มีตัวตนว่าไม่มีตัวตน เราสามารถเห็นได้ถ้านำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไปปฏิบัติ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา พิจารณาความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ เป็นทุกข์ถ้าหลงยึดติด ว่าเป็นเราเป็นของเรา

ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้ว สักวันหนึ่งก็จะมีดวงตาเห็นธรรม คือตาใน ใจจะสว่างไสว ได้บรรลุธรรม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าได้ตรัสรู้ ได้เห็นความจริงของชีวิต เห็นกายเห็นใจ เห็นกายไม่ใช่ตัวตน เห็นใจเป็นผู้รู้ เป็นธาตุรู้ ที่เวียนว่ายตายเกิดไปตามอำนาจของความหลง ของความโลภ ของความอยาก แต่เมื่อใจได้รับการชำระด้วยธรรมะ คือแสงสว่างแห่งธรรมแล้ว ก็จะไม่หลงอีกต่อไป จะไม่ไปเกิดอีกต่อไป ไม่ไปเสียอกเสียใจกับการตายของคนนั้นของคนนี้ เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรตายนั่นเอง ใจก็ไม่ตาย ร่างกายก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง เวลาพังไปเราก็ไม่เสียอกเสียใจ ฉันใดร่างกายก็เป็นเช่นเดียวกัน เวลาแตกดับไปก็ไม่ต้องไปเสียอกเสียใจ เพราะรู้แล้วว่า ใจไม่ได้ตาย ได้ไปเกิดใหม่แล้ว จะไปสูงต่ำก็อยู่ที่บุญกรรมที่ได้ทำไว้ ไม่มีใครช่วยใครได้ในเรื่องภพชาติ เราต้องช่วยตัวเราเอง เราเป็นที่พึ่งของเราเอง อัตตา หิ อัตโน นาโถ ถ้าทำความดีอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้ไปเกิดที่ดีอย่างแน่นอน ถ้าไม่ทำความดี ทำแต่บาปแต่กรรม ก็จะต้องไปเกิดในที่ต่ำอย่างแน่นอน ไม่มีใครห้ามไม่มีใครยับยั้งได้ มีตัวเราเท่านั้นที่จะห้ามหรือยับยั้งได้ ด้วยการไม่กระทำบาปในขณะนี้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกได้รู้ได้เห็น แล้วก็นำเอามาสั่งสอนพวกเรา จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเชื่อก็จะมีโอกาสได้เห็นตามที่พระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวกได้รู้ได้เห็น แต่ถ้าไม่เชื่อเราก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด จะมืดบอดไปตลอด จะไม่รู้ไม่เห็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต้องร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ เวลาที่สูญเสียสิ่งที่รักไป

เราจะต้องเลือกว่าจะไปทางไหน ถ้าจะไปทางสว่างไปที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ก็ต้องเชื่อฟังพระพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติตาม ต้องทำบุญทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา พิจารณาความแก่ความเจ็บความตาย ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันหมด ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตื่นเต้นหวาดกลัว เพราะไม่ได้ทำลายใจให้สูญสิ้นไป แต่ใจกำลังทำร้ายตัวเองด้วยความหลง ยึดติดร่างกายว่าเป็นตัวเราของเรา พอร่างกายเป็นอะไรขึ้นมาก็เกิดความวิตกความหวาดกลัว เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราไปอยากไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะจะสร้างความทุกข์ให้กับเรา ถ้ายอมรับความจริงว่า อะไรจะเกิดขึ้นก็ให้เกิดไป จะตายก็ให้ตายไปแล้วรับรองได้ว่าเราจะไม่วุ่นวายใจ ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศกเสียใจ จะอยู่อย่างปกติ นี่คืออานิสงส์ที่จะได้รับจากการสร้างสรณะ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ปรากฏขึ้นมาในใจ ดังที่พวกเราทั้งหลายได้มากระทำกันเป็นประจำ เรากำลังมาสร้างที่พึ่งของใจ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวายใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

กำลังใจ ๒๗ กัณฑ์ที่ ๒๘๔
วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๐








หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง​ "หลวงปู่เทพโลกอุดร"

ฉันฟังมาตั้งนาน โลกอุดร โลกอุดรใครหนอ มีวันหนึ่งก็เลยนั่งอยู่ ใครกันหนอ...? อ้อ...พอเจอหน้าก็ร้องอ้อเลย แต่ว่าท่านพวกนี้ทั้งหมด เดิมทีต้องมาจากพุทธภูมิก่อน พอใกล้จะเต็มก็ลา ลาจากพุทธภูมิเป็นสาวก ก็เลยต้องทำงานพุทธภูมิ

ถ้าสาวกจริง เขาไม่เอาด้วยหรอก เขาทำงานเฉพาะเรื่องของเขา ที่เห็นว่ามีเยอะๆ ทำได้ก็เงียบฉี่ คืองานของเขาไม่มี พวกนี้ถ้าถึงจุดเขาเว้นงาน คือต้องทำงานตามหน้าที่

มันมีเรื่องหนึ่งที่เราพูดกันแล้วเหมือนคนบ้า...

ไอ้ก่อนที่จะลงมานี่มันมีสัญญาใจ ว่าจะมาทำงานอะไร เวลาลงมาเกิดใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก จิตไม่ถึงที่สุด ถ้าจิตถึงที่สุดกระเทาะเปลือกสัญญา อีตอนนี้แหละงานอื่นที่เคยทำมาแล้วก็โยนทิ้งหมด เอาเฉพาะงานของตน

ไปๆ มาๆ ก็ไปเจอะท่าน ไปเจอะกับท่าน ฉันอยากนึกจะเจอก็ชนปั้งเลย เมื่อชนปั๊บ ถามว่า

"เป็นพุทธภูมิมาก่อนใช่ไหม"

คือว่าพวกนี้ถ้าไม่สงสัยแกก็ไม่รู้เรื่องฉัน ถ้าสงสัยก็ชนกันเมื่อนั้นแหละ ต่างคนต่างขี้เกียจด้วยกัน มันไม่เก่งแล้ว มันต้องเก่งมาตอนต้นๆ ตอนต้นก็อยากเก่ง

ไอ้นักมวยตอนที่หัดใหม่ๆ ไปไหนกำหมัดยิกๆๆ ฉันเป็นนักมวย เอาเข้าเป็นแชมป์แล้ว เขาก็เลิก พระก็เหมือนกัน แก่แล้วก็เลิก แก่ก็มีเรื่องเด็ก ขี้เกียจ จะรู้อะไรไปทางไหนก็ตายแหงๆๆ อย่างพวกนี้ ตายแล้วจะไปไหน หาทางให้มันให้ไปแล้วไม่มาใช่ไหม

อะไรบ้างที่เราจะเปลื้องความทุกข์ไอ้การเวียนว่ายตายเกิด ก็ภาวะจิตมุ่งตรงสู่นิพพาน คือไอ้การอยากรู้ อยากเห็นก็เลิกกัน แต่ว่าเหตุใหญ่มันชนกันเข้าก็ต้องรู้ สงสัยเขาก็พูดกันเรื่อยเลย โลกอุดรๆๆ คือใคร

ก็มีคนหนึ่งบังเอิญเข้าไปพบ และก็ขอถ่ายภาพ ภาพแรกเป็นพระ กล้องเดียวกันถ่ายทีเดียว ขอถ่ายอีกทีกันเสีย มีภาพนุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุงมีดเหน็บข้างหลัง

ถามมึงถ่ายอะไร

ฟิลม์เดียวกันครับ

ขอถ่ายครั้งที่ 2 แกร็ก...กันเสีย ก็ไม่เสีย ได้อีกภาพหนึ่ง ถ้าได้ซ้ำก็เสียฟิลม์เปล่าใช่ไหม

พวกตกใจใหญ่ เป็นไปได้รึ เขาเป็นจะถามทำเกลืออะไร ก็เพราะมันเอง มันเห็นเอง ถามเป็นไปได้หรือ เป็นไปได้แล้ว ไม่น่าจะมาถามเลย

"โลกอุดร" ชื่อจริงๆ ก็ "อุตตระ" พระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ

อุตตระกับโสณะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท 4 สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง"

อย่าลืมนะผู้ที่คล่องอิทธิบาท 4 คือ พระอรหันต์ พระอนาคามีนี่ถือว่ายังไม่คล่อง เพราะอะไร ยังตัดสังโยชน์อีก 5 ไม่ได้ ถ้าพระอรหันต็ก็ถือว่าคล่อง ไอ้คล่องไม่ใช่ว่าเฉยๆ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อั๊วะก็ว่าได้นี่ นี่ไม่ได้นะ"

(จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 56 หน้า 47-48)








"ท่านจึงใหัสังวร สำรวม ระวังในอินทรีย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสให้อยู่ในที่กึ่งกลาง อย่ายินดี อย่ายินร้าย รู้วางเฉย ไม่ชอบแล้วก็ไม่ชังย่อมเกิดผล
ความวุ่นวายนั้นอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจ ความสงบ ก็อยู่ที่ใจ สุขอยู่ที่ใจ ทุกข์อยู่ที่ใจ ท่านจึงให้หลับตาดูใจ จะทำดีก็เพราะใจ จะทำชั่วก็เพราะใจ"

หลวงพ่อดำรง สิริภัทโท
วัดป่าน้ำคำเกิ่ง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี






#ท่านพ่อลี ธัมมธโร

…วิธีนั่งสมาธินั้นต้องทำความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังนั่งอยู่บนก้อนเมม หรือศาลากลางน้ำ หรือกลางทุ่งนา ปล่อยลมออกไปให้เย็นโล่ง ใจไม่เกาะเกี่ยวกับสัญญาอดีต อนาคต ทั้งดีไม่ดี ทำใจให้เงียบ แล้วกำหนดดูลมหายใจเข้า "พุท" ออก "โธ" เบื้องต้นทำแค่นี้ก็พอ







” เห็นความอยากเป็นกิเลส “

ถาม : คนป่วยส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเจ็บอยู่ที่กาย ไม่ใช่ที่ใจ

พระอาจารย์ : เรื่องของความทุกข์ใจนี่จะไม่รู้กัน ถ้าไม่ได้ศึกษาไม่ได้ปฏิบัติ ถ้าคิดว่าความทุกข์อยู่ที่ร่างกาย ก็จะทุ่มเทชีวิตจิตใจแก้ความทุกข์ที่ร่างกายอย่างเดียว ทั้งๆที่ใจทุกข์อยู่ตลอดเวลา กลับมองไม่เห็นกัน

ถาม : เพราะว่าเราอาศัยร่างกายอยู่

พระอาจารย์ : เพราะเราหลงไปอาศัยมันเอง เพราะไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ที่ท่านสอนรูปังอนัตตา ก็ไม่เข้าใจความหมาย ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเราเป็นอย่างไร เพราะเป็นของเรามาตั้งแต่เกิด พวกเราคิดอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าผู้ที่ว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่ใช่ร่างกาย คิดกันไปเองว่าร่างกายเป็นผู้คิด แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่า จิตใจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ได้คิดว่าเป็นคนละส่วนกัน

มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงรู้ได้ด้วยพระองค์เองว่าเป็นคนละส่วนกัน หลังจากที่ทรงปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ อดพระกระยาหารถึง ๔๙ วัน เพราะคิดว่ากิเลสออกมาจากร่างกาย ถ้าไม่ให้ร่างกายรับประทานอาหาร กิเลสก็จะต้องตาย แต่กิเลสไม่ตาย มีแต่ร่างกายที่จะตาย ก็ทรงรู้ว่ากิเลสไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่อยู่ที่ใจ จึงต้องมาแก้กิเลสด้วยการภาวนา สมถะและวิปัสสนาภาวนา จนได้ตรัสรู้ ทรงเห็นพระอริยสัจ ๔ ที่อยู่ในพระทัยของพระองค์

เห็นทุกข์ที่เกิดจากความอยากของพระองค์เอง เห็นความอยากเป็นกิเลส เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เห็นวิธีที่จะดับกิเลส ก็คือสติสมาธิปัญญา พอมีสติสมาธิปัญญา ก็จะชนะกิเลสตัณหา ทุกข์ก็จะดับไป เป็นการต่อสู้ระหว่างความเห็นของ ๒ ฝ่าย ความเห็นที่ถูกกับความเห็นที่ผิด พอความเห็นที่ถูกทำลายความเห็นที่ผิดได้ ใจก็จะไม่ผลิตความทุกข์ขึ้นมา

ถ้ามองร่างกายของเรา เหมือนเรามองร่างกายของคนอื่นได้ เราก็จะไม่ทุกข์เลย เพราะร่างกายของเรามันไม่ใช่ของเราจริงๆ เป็นเหมือนของคนอื่น แต่เราไม่มองอย่างนั้น เพราะมีความเห็นผิด เห็นว่าเป็นของเรา วิธีที่จะมองให้เห็นก็ต้องเข้าไปในสมาธิ ทำจิตให้เป็นอุเบกขา พอเป็นอุเบกขาแล้วทุกอย่างจะไม่เป็นของเรา จิตจะแยกออกจากร่างกายชั่วคราว เป็นอุเบกขาชั่วคราว พอได้อุเบกขาแล้ว ก็จะรู้ว่าหลักของจิตก็คือจุดอุเบกขานี่เอง พอออกจากสมาธิก็ต้องใช้ปัญญาประคับประคองไว้ ด้วยการไม่ยึดไม่ติด ถ้ายึดติดจะออกจากอุเบกขาทันที จะวิตกกังวล จะห่วง จะอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ขึ้นมาทันที ถ้ามองว่าไม่ใช่เป็นของเรา ก็จะไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ห่วง ต้องใช้ปัญญาสอนใจ ว่าร่างกายนี้เป็นเหมือนร่างกายของคนอื่น ถ้าไม่ห่วงร่างกายของคนอื่นก็ไม่ต้องห่วงร่างกายนี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๒๗ กัณฑ์ที่ ๔๒๙
วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔







"...คำว่าทำใจให้ว่าง มันก็กินความกว้างหนักหนา
ไม่รู้ว่าว่างในชั้นไหนๆ พวกที่มีศีลบริบูรณ์เว้นจาก
ปาณาติบาต กาเม หรือมิจฉาจาร เขาก็ว่างจาก
ความชั่วในตอนนี้จิตของเขา แต่ส่วนความดีมันก็
ว่างจากความผิดในตอนนั้นๆ เช่นเรากินอาหาร
ก็ว่างจากหิวไปเป็นคำๆ จนถึงสมมติว่าอิ่มเป็นวาระ
หนึ่งๆ คนทั้งหลายชอบพูดกันว่าจงภาวนาทำจิต
ให้ว่าง พูดง่ายแต่ฟังยากไม่รู้ว่าว่างอยู่ในขั้นไหนๆ
ใครพูดก็ได้ พุทโธ พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ไม่รู้ว่ารู้อะไร
ผู้เขาไปลักเขาก็รู้อยู่ก็พุทโธขี้ลักก็มี ถ้าอย่างงั้น
เขาก็รู้ว่าเขาไปลักอยู่ พุทโธผู้รู้แปลว่าละชั่วทำดี
รู้ละชั่วทำดีเรียกว่าพุทโธ

แต่พุทโธย่อมมีขอบเขต ผู้รู้ก็มีขอบเขต จิตว่างก็มี
ขอบเขต ถ้าอย่างนั้นมันก็ฝั้นเฝือกัน จิตว่างถึงพระ
โสดาบัน จิตเป็นพุทโธถึงพระโสดาบัน จิตเป็นธัมโม
ถึงพระโสดาบัน จิตเป็นสังโฆถึงพระโสดาบัน สมาธิ
พระโสดาบัน ศีลพระโสดาบัน ปัญญาพระโสดาบัน
ศรัทธาพระโสดาบัน วิริยะพระโสดาบัน ความเชื่อ
สติของพระโสดาบัน สมาธิความตั้งมั่นของพระ
โสดาบัน ปัญญาความรอบรู้ของพระโสดาบัน
นับแต่จำพวกนี้ไปจึงมีประมาณในทางพระพุทธ
ศาสนา ต่ำกว่านั้นจะเอาเป็นประมาณไม่ได้
กระจุยกระจายกันปั้นไม่ติด พระโสดาบันทำสิ่งใด
ในทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวแก่การงานอะไรก็ตาม
หวังเพื่อพ้นทุกข์ในวัฏสงสารโดยด่วนเท่านั้น
มีเจตนาอันเดียวไม่มีเจตนาอันอื่นมาปะปนให้เป็น
ปัญหาสอดแทรก จะพ้นหรือไม่พ้นก็เชื่อลงใน
อันเดียวเท่านั้น ไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์แล้วไม่ลังเล พระโสดาบันต้องเว้นอบายมุข
ทุกประเภทจึงทรงพระนามว่าสุปฏิปันโน ภควโต
สาวกสังโฆ ต่ำกว่านั้นลงมาพระบรมศาสดาไม่รับ
รอง..."

#ที่มา หนังสือ ธรรมทรงธรรม
#โอวาทธรรม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต







การตายไม่มีเกียรติ คือตายด้วยความอ่อนแอ ตายด้วยความท้อแท้ เพราะถูกหลอกจากกิเลส ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อะไรเลย ตายด้วยความอับอายขายหน้า ให้กิเลสหัวเราะเปล่าๆ

ต้องตายด้วยความมีชัยชนะ ตายด้วยความกล้าหาญ ตายด้วยความเป็นนักรบอย่างเต็มตัว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด
#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO