นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 2:38 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ชนะใจตนเอง
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 05 ต.ค. 2024 4:43 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4897
"..เพราะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจหรือไม่รู้ที่พึ่งอันเกษมอันอุดม จึง...กลัวการตายแต่ไม่กลัวการเกิด...เมื่อเป็นเช่นนี้จึงคว้าโน้นคว้านี่เป็นที่พึ่ง บางคนกลัวตาย...คว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือ...ด้วยความงมงาย...นอกจากนี้ยังมีการทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะนาม สืบชะตาราศี ตัดกรรมตัดเวร โดยวิธีการต่าง ๆ ที่พึ่งอันอุดมมั่นคงนั้นคือการ...ภาวนา น้อมรำลึกนึกเอาพระคุณอันวิเศษของพระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรม และพระอริยสงฆ์มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ...จึงจะเป็นการถูกต้อง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)







“ บุคคลใดมีศีลมีสัจจะดีแล้ว ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ไปที่ใดก็มีแต่คนรักไปที่ใดก็มีแต่คนเมตตา เพราะศีลและสัจจะเป็นเครื่องห่อหุ้มคุ้มครอง “

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต






"... ไม่ใช่จำปริยัติให้มาก​ พูดให้คล่อง.
เวลาเอาจริงๆ​ ไม่รู้​จะจับอะไรเป็นหลัก
ปัจจุบัน​ธรรม

... ต้องรู้แจ้งเห็นแจ้งในกายใจของตน​
ละวางถอดถอนในปัจจุบัน​ มันจึงใช้ได้ ..."
______________________
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่








ปล่อยวางในอายตนะ
อายตนะคืออะไร คือมีตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มีอยู่อย่างเก่า หูก็จะรับเสียง ฟังเสียง จมูกก็มีหน้าที่รู้จักกลิ่นเหม็น หอม รส...ลิ้นก็รู้จักรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม โผฏฐัพพะก็รู้จักเย็น ร้อน อ่อน แข็ง จิตก็รู้จัก ธรรมารมณ์ที่บังเกิดขึ้นกับจิตอยู่อย่างเก่า เขาจะทํางานอยู่อย่างเก่า อย่างเดิม ที่เรียกว่าหูเคยได้ยินนี่ มันไม่ได้ยิน จมูกเคยได้กลิ่น มันก็ไม่มีกลิ่น ลิ้นเคยมีรส มันก็ไม่มีรส ร่างกายถูกต้องโผฏฐัพพะ เคยมีแล้วมันไม่มีอย่างนั้น

อันนี้มันอยู่เสมอเก่ามัน แต่ว่าความรู้สึกน่ะ มันจะสักแต่ว่า ไม่มีความสําคัญมั่นหมายในอายตนะต่าง ๆ เหล่านั้น ปล่อยมันรู้ว่ามันปล่อย รู้ในธรรมะที่แท้จริง รู้แล้วมันปล่อย รู้แล้วมันวาง รู้แล้วมันปล่อย รู้แล้วมันวาง ไม่ใช่รู้แล้วมันยึด...มันถือ รู้แล้วทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้ในธรรมะที่แท้จริงน่ะ...มันรู้ปล่อยรู้วาง รู้แล้วมันก็ปล่อยมันวางลงไป ก็เรียกว่ามันไม่ลูบคลํานั่นเอง ไม่ลูบคลําในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เมื่อหากว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มันรู้อารมณ์ขึ้นมาเช่นนี้ ไอ้การที่เข้าไปช่วยมัน...ซ้ำเติมมัน...ไม่มี ไม่มี...เมื่อมันกระทบกันแล้ว...มันก็ปล่อยไป มันจะวางของมันไป คือหมายความว่า ถ้ามันรัก มันจะมีอาการรักแต่ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ถ้ามันเกลียด ก็เป็นสักแต่ว่าเกลียด ไม่มีตัวประธานมั่นหมาย คือมันรู้ปล่อย...รู้วาง ทําไมมันได้ปล่อย...ได้วาง เพราะมันเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นโทษ

เห็นแล้วมันก็เฉย ๆ ได้ยินแล้วมันก็เฉย ๆ ไม่เข้าข้างโน้น ไม่เข้าข้างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ก็เหมือนกัน คิดขึ้นมาแล้วก็เฉย ๆ ปล่อยวาง มันปล่อยวาง เห็นว่าไอ้นั่นดี แต่ว่ามันก็ไม่มีอุปาทานมั่นหมาย เป็นอาการของจิตเท่านั้น อันนี้ท่านเรียกว่าสักแต่ว่า อายตนะมีอยู่...อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ว่าไม่มีอาการไปอาการมา เหมือนไปจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น...มาจากบ้านโน้นสู่บ้านนี้...ไม่ใช่อย่างนั้น แต่อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ว่าไม่เข้าข้างโน้น ไม่เข้าข้างนี้ รู้การปล่อยวาง รู้แล้วก็ปล่อยวาง แล้วเสร็จแล้ว...รู้ในการปล่อยวาง เช่นนี้แหละ ทุกแง่ทุกมุม มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนี้

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ภาวนาคือพิจารณาให้รู้ตามเป็นจริง








# หลวงตามหาบัว แนะการภาวนาที่ถูกต้อง
ภาวนาแบบไหนจึงได้บุญ สร้างกุศลให้ถูกวิธี #

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เทศน์เรื่อง
การสวดมนต์กับการภาวนาไว้ว่า...

เราสวดมนต์ไหว้พระก็เป็นการภาวนาประเภทหนึ่ง เวลาสวดมนต์ไหว้พระ
ก็ให้จิตของเราอยู่ในคำบริกรรม หรือคำสวดมนต์นั้น เรียกว่า...เป็นการภาวนาอยู่ในตัว

เช่น อิติปิโส ภควาฯ สฺวากฺขาโต ฯ สุปฏิปนฺโน ฯ
ให้มีความรู้สึก คือสติอยู่กับคำบริกรรม
หรือคำสวดมนต์นั้นก็เรียกว่า...ภาวนา

หลังจากนั้นแล้วเราก็ภาวนาจริง ๆ เช่น
จะนั่งพับเพียบก็ตาม จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ ในห้องพระหรือนอกห้องพระนั่งได้ทั้งนั้น
แล้วทำความสำรวมใจของตน

เพราะใจนี้เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่เหมาะสมกับใจก็คือ...จิตตภาวนา
ได้แก่ การอบรมจิตของเราให้มีความสงบเยือกเย็น จิตสงบเยือกเย็นเป็นอย่างไร?
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นจิตสงบเยือกเย็น
ก็มีมากชาวพุทธเรา.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









"บุญต้องอาศัยความฉลาด
ทำมากก็ได้บุญน้อยก็มี
ถ้าฉลาด ทำน้อยก็ได้มากก็มี
ถ้าไม่ฉลาดเลย ทำบุญได้บาปก็มี "

หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร







"บุญต้องอาศัยความฉลาด
ทำมากก็ได้บุญน้อยก็มี
ถ้าฉลาด ทำน้อยก็ได้มากก็มี
ถ้าไม่ฉลาดเลย ทำบุญได้บาปก็มี "

หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร









" การเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
ได้มาปฏิบัติธรรม เป็นโชคดีมหาศาล
เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ยากมาก
คนที่มาเกิดต้องรอคิวกัน ไม่ใช่ใครมาก่อนไปก่อน ใครมีบุญแซงเลย คนไม่มีบุญต้องดิ้นรนแสวงหาบุญ
เป็นสัมภเวสีให้คนอุทิศส่วนกุศลให้
ดิ้นรนกันเพื่อมาเกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ยาก
ต้องมีบุญเก่าที่สร้างมาถึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์.."
.
--- โอวาทธรรม หลวงปู่ทิวา อาภากโร
สถานปฏิบัติธรรมเสริมรังสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา








วิธีบูชาพระพุทธเจ้าให้จิตเป็นฌาน
ธรรมทาน #คำสอนหลวงพ่อ

ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงแนะนำให้ใช้วิธีถวายข้าวพระพุทธรูป เรื่องนี้สำคัญมาก ตอนเช้ามีข้าวหรือมีผลไม้อะไรก็ได้นิดเดียว ถ้าเราขี้เกียจหาของอย่างอื่น ก็ข้าวที่เราจะกิน ตักเอามาก่อนถ้วยเล็กๆ กับข้าวจะเป็นพริก จะเป็นกะปิ หอมกระเทียม น้ำปลา ปลาร้า พระพุทธเจ้าท่านรับทุกอย่าง เอาไปบูชาท่าน ท่านไม่ได้ฉัน เป็นนิมิตเป็นเครื่องหมายว่า ทุกวันต้องบูชาพระพุทธเจ้าตามเวลานี้

ถ้าทำอย่างนี้ถึงขั้นเป็นห่วง ถ้าเมื่อถึงเวลานั้นไม่ทำไม่ได้ เราต้องทำ กำลังใจไม่สบาย อย่างนี้ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าทำอย่างนี้ท่านไม่ลืมแน่ แล้วก็ถ้าจะตายเมื่อไรภาพที่เราบูชา ถวายข้าวพระหรือถวายพระพุทธรูป จะมาลอยอยู่ข้างหน้า หลังจากนั้นจะเห็นภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระพุทธเจ้าก็ดี ปรากฏอย่างนี้ทุกคน ตายแล้วไปสวรรค์แน่ ถ้าไปสวรรค์ก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์จบเดียวเป็นพระโสดาบัน นี่กำลังบารมีอ่อนนะ..."

===================
จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๖๑ หน้า ๔๐








“อย่าไปเหยียบย่ำซ้ำเติม สาปแช่งใคร
กรรมวิบากที่ตนทำมาแต่ก่อนนั้น
มันมาให้ผลเอาให้ได้ถึงซึ่งความวิบัติ
อะไรขึ้นมาอย่างนี้นะ แทนที่จะไปแช่งซ้ำ
นั้นไม่เอา ผิดธรรม เป็นกรรม

ถ้าเห็นใครตกทุกข์ได้ยาก เกิดอุบัติเหตุ แล้วแช่งซ้ำนะ เป็นบาป ต้องตั้งความเมตตาเอ็นดู
สงสารขึ้นมา ถึงแม้ว่า เราจะรู้ว่าคนนั้น
มีประวัติอันชั่วร้ายมาก็ตาม แต่มัน แต่มันก็เป็นเรื่องของเขาอันความชั่วนั้นน่ะ แต่ว่า ไอ้ความเอ็นดูกรุณานี้เป็นหน้าที่ของเรา ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม กรุณาธรรม ที่จะต้องแสดงออกต่อบุคคลทุกประเภท
ทั้งคนดี และคนชั่ว”

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ







# ปราบผีโป่งที่ผาอีเมย #
หลวงปู่จันทา ถาวโร เล่าเรื่องการภาวนาของท่านเมื่อตอนที่พักอยู่บ้านดงผาลาด ท่านได้ข่าวว่า
ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อำเภอวานรนิวาส
จังหวัดสกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก
เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้วระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน

บ้านดงนาซอลเป็นหมู่บ้านเล็กๆมี 12 หลังคาเรือน
ตั้งอยู่กลางดงผาลาด
ครูบาอาจารย์ท่านก็แนะนำพร่ำสอนว่า
เรื่องการเจริญสมณธรรมนั้น ให้ไปสู่สถานที่ต่างๆ
ที่เป็นสถานที่เผ็ดร้อน (ที่เข็ดๆขวงๆที่มีอาถรรพ์ ผีดุ)
แล้วการเจริญภาวนามันจะเยือกเย็น จิตสงบได้เร็ว บางภูมิ บางสถานที่ เป็นเปรต
เป็นผี เป็นยักษ์โขโมฬีร้ายกาจ
ก็จงชำระศีลให้บริสุทธิ์ แล้วจะไม่เป็นอันตราย
เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็รู้เหมือนกันว่า
เป็นพระปลอม หรือพระจริง

นั่นแหละ! ก็เลยออกเดินทางไปถึงที่นั่น
ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน
ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่ได้เดินจงกลม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว

พอ6โมงเย็นกว่าๆ ก็มีเสียงเหาะขึ้นทางโคนโปร่งโน่น ขึ้นไปบนฟ้าแล้วพุ่งลงมาทางหัวทุ่งนาโน้น
เสียงดัง ตึ้งๆๆ ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย
ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา
ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา
มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้าวิ่งหนีเข้าป่าไป

โอ้! นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย

ถ้าใช่จริงๆ ก็มาหากันวันนี้
เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก
มิได้มารบกวนหวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น
เอานะ ! มาลองดูกันว่าคาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่าคาถาอาคมของพระศาสนาจะดีเพียงไร จะปราบผีร้ายได้ไหม
พอไฟลามใกล้เข้ามาในระยะ 1 เส้น( 20 วา) เท่านั้นก็อ่านคาถาอาคมว่า...

อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ
ตะโจ..พระพุทธเจ้าขอจงมาเป็นหนัง
มังสัง..พระธรรมเจ้าขอจงมาเป็นเนื้อ
อัฐิ..พระสังฆเจ้าขอจงมาเป็นกระดูก
ตะริเพชรคงคา อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ
พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะธะ
พุทโธกั้ง(กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด.

จบแล้วก็เป่า...พึ่บ!

ไฟนั้นก็แตกกระจายไป
สีแดงๆ หายไป กลายเป็นสีเขียว
วิ่งเข้าโคลนโป่งไปเลย

คืนนั้น 3 ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอน เขามาหา
(บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ
มีประมาณ 12 หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด)
เมื่อซักไซร้ไตร่ถาม ได้ความกันแล้ว
ก็ให้รับไตรสรณคมน์และศีล5
จากนั้นก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย
เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า...

โยม เมื่อเย็นนี้ ราว6 โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า
แล้วตกลงมากลางทุ่งตรงโน้น
เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย
และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ามา
อันนั้น มันเป็นเสียงอะไร

อ๋อ! ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน
นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์
ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น
พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ
นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้
อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั้น
นายพรานในเขตนี้ เขากลัวกันมาก
ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน

นั้นแหละ! พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า
ผีโป่งมันไปเข้าสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า...

แหม! เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนา
ของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น!
เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่
แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่
มีเสือตัวใหญ่ยาว 12 ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป
แต่เสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย
เราหึงหวง ห่วงอาลัยในสถานที่นี้
เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีโป่งอยู่ที่นี่

นั้นแหละ! พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำๆ
ร่มใหญ่ๆ บาตรโตๆ เดินผ่านมา มีรัศมีด้วยนะ
เราก็รู้ว่าพระพวกนี้มีธรรมจืดนะ
ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดที่นั่น ไม่มีใครสู้ได้
แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา
คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง
ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น
แต่เราสู้ไม่ได้
เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา

นั้นแหละ! ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น
ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น
ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์
กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น

อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย
ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็น อย่าได้ขาด
ไปไหนมาไหน ก็ภาวนาอย่างนั้น
ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้
จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน
นี่เรียกว่า...คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์
เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท
อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้.

หลวงปู่จันทา ถาวโร








"...ธรรมดาจิตใจของคนเรานี้มันจะตั้งมั่นได้ ก็โดย
อาศัยสติสัมปชัญญะเท่านี้แหละควบคุมไว้ ถ้าขาด
คุณธรรมสองอย่างนี้แล้ว จิตนี้จะตั้งมั่นอยู่ไม่ได้เลย
มันจะต้องลอยไปตามกระแสของกิเลสตัณหา นี้ให้
สังเกตดู มันจะจริงไหม

คำพูดคำนี้สำคัญมาก ต้องใส่ใจให้ดี ผู้ใดใส่ใจคำนี้
ได้ ผู้นั้นก็สามารถที่จะควบคุมจิตใจของตนให้ตั้งมั่น
อยู่ได้ ถ้าหากไม่ใส่ใจ ถือว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้จะ
ปฏิบัติธรรมอย่างอื่น จะทำความดีอย่างอื่นให้เจริญ
ขึ้นไปนั้นไม่มีทาง เพราะว่าจิตนี้ถ้าหากขาดสติสัมป
ชัญญะควบคุมแล้ว มันจะคิดอ่านการงานที่ถูกที่ควร
นั้นไม่ได้ มีแต่มันคิดลอยไปตามอำนาจของกิเลส
บาปธรรมเท่านั้นแหละ ซึ่งมันจะคิดไปในเรื่องที่เป็น
ประโยชน์ตนและผู้อื่นนั้นมันคิดไม่ได้

เพราะเหตุนั้นคนที่ขาดสติสัมปชัญญะควบคุมจิตใจ
นี้ จึงมักประพฤติเหลวไหลไป ไม่ตรงต่อศีลต่อธรรม
ไม่เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพราะฉะนั้นพระพุทธ
เจ้าจึงตรัสไว้ว่า สติสัมปชัญญะเป็นธรรมมีอุปการะ
มากแก่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลจะ
ตั้งมั่นอยู่ได้ในจิตใจของคน ก็เพราะอาศัยสติสัมป
ชัญญะนี้แหละ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ เมื่อจิต
ตั้งมั่นแล้วย่อมรู้แจ้งตามความเป็นจริง ดังนี้..."

#ที่มา หนังสือ ๑๐๐ ปี ชาตกาล
พระสุธรรมคณาจารย์ ( หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ )
....................................................................








"ศัตรูที่สำคัญ ก็คือใจของเรานั้นเอง อยากจะชนะ
สิ่งใด จงชนะใจตนเองให้ได้ก่อน เป็นนายของใจตนเองให้ได้ก่อน แล้วชีวิตจะพบความสำเร็จได้ไม่ยากเลย"

พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.สุรินทร์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO