นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 8:56 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การปฏิบัติ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 22 ต.ค. 2024 4:29 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4897
"อาการที่มันสำรวมอยู่อย่างนั้น.. นี้มันเป็นศีล อาการที่มันรู้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลานั้น มันมั่นหมายของมันอยู่ อย่างนั้น..เป็นสมาธิ อาการที่มันรู้ความแจ่มแจ้งอารมณ์ทั้งหลายสภาวะทั้งหลายอยู่ในนั้น..เรียกว่า ปัญญา ก็เลยเป็นศีล ก็เลยเป็นสมาธิ ก็เลยเป็นปัญญาอยู่ในที่อันเดียวกันคือจิต"
มันรู้อันเดียวกัน มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือมีมรรค ๘ อยู่ในนั้น มีมรรคอยู่ในนั้น..มีผลอยู่ในนั้น มีเหตุอยู่ในนั้น..มีผลอยู่ในนั้น ก็เลยเป็น “เอโก ธมฺโม ธรรมมีอันเดียว ธรรมเกิดอยู่ที่เดียว อันเดียว"

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราดูจิตเจ้าของ บางคนก็คิดว่ามันจะไปรู้อะไร..เรื่องจิต มันเป็นอะไร..ยังไง นี่..มันไม่รู้จักเรื่องของมัน ไม่รู้จักบ่อเกิดของมัน ที่เกิดของมัน ที่ดับของมัน ที่ดับมั่นหมายของมัน กองทุกข์กองยาก ไม่รู้จักว่ามันเกิดมันดับ ไม่ได้ดูเจ้าของ..คนเรามันไม่ได้ดูเจ้าของ ถ้าเราดูเจ้าของแล้วมันน้อมเข้ามา เห็นอะไรมันก็น้อม..เห็นอะไรมันก็น้อมเข้ามาๆ เห็นดีเห็นชั่วเห็นอะไรน้อมเข้ามา เห็นต้นไม้ภูเขาเลากา เห็นสภาวะทั้งหลายที่เป็นรูปเป็นนามมันก็น้อมเข้ามาหาเรา มันไม่มีอะไรให้ยึดถือ มันเป็นอันเดียวกันทุกหมดทุกสิ่งทุกอย่าง คือกัน..เหมือนกัน ถ้าเข้าไปเห็นแล้วมันเหมือนกัน..มันเหมือนกัน

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
อ้างอิง:หนังสือกตัญญุตา






"..การทำความเพียรของผู้ตั้งใจจะข้ามโลก ไม่ขอเกิดมาแบกหามกองทุกข์นานาชนิดอีกต่อไป ต้องเป็นความเพียรชนิดเอาตายเข้าแลกกัน เฉพาะผมเองก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะ มิได้นึกว่าชีวิตจะยังเหลือเดนมาเลย เพราะความมุ่งมั่นต่อธรรมแดนหลุดพ้นมีระดับสูงเหนือชีวิตที่ครองตัวอยู่ การทำความเพียรทุกประโยคและทุกอิริยาบถได้ตั้งเข็มทิศไว้เหนือชีวิตทุกระยะ ไม่ยอมให้ความอาลัยเสียดายในชีวิตเข้ามากีดขวางในวงความเพียรเลย นอกจากความบีบบังคับของจิตที่เต็มไปด้วยความหวังต่อทางหลุดพ้นเท่านั้น เป็นผู้บงการแต่ผู้เดียวว่า ถ้าขันธ์ทนไม่ไหวจะแตกตายไปก็ขอให้แตกไป เราเคยตายมาแล้วจนเบื่อระอา ถ้าไม่ตายขอให้รู้ธรรมที่พระองค์รู้เห็น อย่างอื่นไม่ปรารถนาอยากรู้อยากเห็น เพราะเบื่อต่อการรู้เห็นมาเต็มประดาแล้ว บัดนี้เราอยากรู้เพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่เรารู้แล้วไม่ต้องกลับมาลุ่มหลงเกิดตายอีกต่อไป สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่งของเราในบัดนี้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ







#สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
"..เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน
จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้น
หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้
..เมื่อถึงวาระเข้าจริง ๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น
จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น
และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นเดียวกับที่เรา
เคยเป็น ศาสนาเป็นหลักวิชาตรวจตรา
ดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ
ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน
สิ่งดีชั่วที่มีและเกิดอยู่กับตนทุกระยะ
มีใจเป็นตัวการพาให้สร้างกรรมประเภทต่าง ๆ
จนเห็นได้ชัดว่ากรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นเหตุของกรรมทั้งมวล

กรรม เป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก
ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
ถ้าเราสามารถรู้เห็นกรรมดีกรรมชั่ว
ที่ตนและผู้อื่นทำขึ้น
เหมือนเห็นวัตถุต่าง ๆ จะไม่กล้าทำบาป
แต่จะกระตือรือร้นทำแต่ความดี
ซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ
ความเดือนร้อนในโลกก็จะลดน้อยลง
เพราะต่างก็รักษาตัว กลัวบาปอันตราย

ท่านว่า ดี ชั่ว มิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัยการทำบ่อยก็ชินไปเอง
เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็นฝ่ายชั่ว ก็แก้ไขยาก คอยแต่จะไหลลงตามนิสัย
ที่เคยทำอยู่เสมอ
ถ้าเป็นฝ่ายดี ก็นับว่าคล่องแคล่วกล้าขึ้นเป็นลำดับ

เราเกิดเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ
มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์
และจะเลวกว่าสัตว์อีกมากมาย
อย่าพากันทำ ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่ความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่า
ที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์

การทำความเข้าใจเรื่องของกรรม
เป็นการศึกษาธรรมะเพื่อเตรียมพร้อม
ที่จะรับภาวะของตัวเราเอง
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกรรมที่ได้ทำไว้ ตามสุภาษิตที่มีว่า “กรรมจำแนกสัตว์
ให้ทรามและประณีตต่างกัน”
ผู้สงสัยกรรม หรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล
คือลืมตนจนกลายเป็นผู้มืดบอด
อย่างช่วยไม่ได้
กรรม คือ การกระทำ ดี ชั่ว ทางกาย วาจา ใจ
ผลจริง คือ ความสุข-ทุกข์
ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก
ควรมีเมตตาสงสารในสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เช่นเดียวกับเรา ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน

ความยิ่งหย่อนแห่งวาสนาบารมีนั้น
มีได้ทั้งคนและสัตว์
สัตว์บางตัวมีวาสนาบารมีและอัธยาศัย
ดีกว่ามนุษย์บางคน
...แต่เขาตกอยู่ในภาวะความเป็นสัตว์ ก็จำต้องทนรับเสวยไป
สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีและเสวยกรรม
ไปตามวิบากของมัน
มิให้ประมาทเขาว่าเป็นสัตว์ที่เกิด
ในกำเนิดต่ำทราม
...ความจริงเขาเพียงเสวยกรรมตามวาระ
ที่เวียนมาถึงเท่านั้น
เช่นเดียวกับมนุษย์ ขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์จนข้นแค้น
ก็จำต้องทนเอาจนกว่าจะสิ้นกรรม เมื่อมนุษย์เราเกิดเสวยชาติเป็นคน
มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามวาระของกรรมที่อำนวย
มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พาให้มาเป็นอย่างนี้
...ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่าง ๆ จนนับไม่ถ้วน
ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่ามีต่าง ๆ กัน
เพราะฉะนั้นไม่ให้ดูถูกเหยียดหยาม
ในชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและกัน
และสอนให้รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่วเป็นของ ๆ ตน.."

ภูริทตฺโตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร อ้างอิงหนังสือภูริทตฺตธมฺโมวาทจากหนังสือภูริทตฺตมหาเถรานุสรณ์
(๒๔๑๓-๒๔๙๒)








การที่เราทําจิตให้สงบก็เพื่อให้รู้จักใจ รู้จักว่าใจอยู่ที่ไหน ใจมีลักษณะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่า....เพื่อลม เพื่อพุทโธอย่างเดียว ลมก็เพื่อเข้าไปหาใจ พุทโธก็เข้าไปรู้ใจ เข้าไปดูใจ เมื่อเห็นใจ รู้จักใจดีแล้ว ก็จะรู้ว่าใจที่แท้จริงไม่เป็นอะไร ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นบุคคล ไม่เป็นตัวตน ไม่เป็นเรา ไม่เป็นเขา ไม่มีกู ไม่มีมึง มีแต่รู้เท่านั้นแหละ ใจมีสภาพ คือ รู้...รู้อย่างเดียว

หลวงพ่อเพชร (อัญญา) วชิรมโน







"ความชั่วของคนอื่นมีมาก
หากมีคนมาถาม ก็ไม่พูด
หรือพูดน้อย

ความดีของคนอื่นมีน้อย
หากมีผู้มาถาม ก็พูดให้มาก

ความชั่วของตนมีน้อย
หากมีผู้มาถาม ก็พูดให้หมด

ความดีของตนถึงจะมีมาก
ถ้าไม่มีผู้ถามก็ไม่ต้องพูด"

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








"หินแหลมคมบนภูเขาก้อนนั้น
ถ้ามันกลิ้งลงมาข้างล่าง
กระทบกับก้อนนั้นก้อนนี้ ซ้ายทีขวาที
ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นก้อนกรวด
ที่กลมเกลี้ยงขึ้นมาได้
การปฏิบัติของเราก็เช่นเดียวกัน
ต้องให้กระทบอารมณ์บ่อย ๆ
มันถึงจะเกิดปัญญา"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ








.

#อานิสงส์กฐินทาน

ความจริงการทอดกฐิน ไม่ใช่ประเพณีนิยม เป็นพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าผ้ากฐินทานจะรับได้ก็ต่อเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ หลังจากนั้นจะทอดขนาดไหนก็ตามไม่เป็นกฐิน

ฉะนั้นกฐินมีเวลากาลจำกัด
ทีนี้ว่าถึงอานิสงส์กฐิน
อานิสงส์กฐินนี้ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเคยเทศน์ และก็เทศน์ตามบาลี
ท่านพูดถึงอานิสงส์ให้ทราบ
ฉะนั้นการถวายวันนี้ทั้งหมด
เมื่อวานก็ดี วันนี้ก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม
จะเป็นของก็ตาม
ถือว่าทุกอย่างเป็นอานิสงส์กฐิน

ต่อไปนี้ก็โปรดทราบ
จะนำพระสูตรตามที่ท่านกล่าวไว้ในบาลีให้ทราบ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ในสมัยพระองค์เกิดเป็นมหาทุคคตะ
ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
พระปทุมมุตระ เวลานั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นคนจนอย่างยิ่ง เป็นทาสของคหบดี เวลานั้นถอยหลังจากนี้ไป ๙๑ กัป
ก็ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระปทุมมุตระ

วันหนึ่งมหาทุคคตะไปดูงานทอดกฐินเขา เมื่อเขาทอดกฐินเสร็จ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
บุคคลใดเคยทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี
และเป็นบริวารกฐินก็ดี
แต่ว่ากฐินนี้ไม่มีบริวาร มีแต่เจ้าภาพ
เพราะเป็นกฐินสามัคคี
จะทำบุญน้อยจะทำบุญมาก
มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน และอานิสงส์กฐินนี่

เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
" โภ ปุริสสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ
บุคคลใดเคยทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคนยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด
ท่านผู้นั้นจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า ๕๐๐ ชาติ "
นั่นหมายความว่า ถ้าหมดอายุเทวดาหรือนางฟ้าจุติแล้วก็เกิดทันที ๕๐๐ ครั้ง เมื่อบุญหย่อนลงมานิดหน่อย
เกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้
ลงมาเป็นมนุษย์
จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ปกครองโลก ๕๐๐ ชาติ
เมื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๕๐๐ ชาติแล้ว บุญหย่อนลงมา
ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ
หลังจากนั้นจะเป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ
คำว่า มหาเศรษฐี นี่ มีเงินตั้งแต่ ๘๐ โกฏิ ขึ้นไป เขาเรียกว่ามหาเศรษฐี
ถ้ามีเงินต่ำกว่า ๘๐ โกฏิ
แต่ว่าตั้งแต่ ๔๐ โกฏิ ขึ้นไป
เขาเรียกอนุเศรษฐี
เมื่อเป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติแล้ว
ก็เป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ
หลังจากเป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติแล้ว
ก็เป็นคหบดี ๕๐๐ ชาติ
ก็รวมความว่าการทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
นอกจากจะเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า
เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้ว
บุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต
จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้
จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้
จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้
จะปรารถนานิพพาน
เป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้
ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบถึงอานิสงส์คนที่เคยทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่าถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่ายากจนเข็ญใจจะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกชาติ

สำหรับวันนี้ การทอดกฐินมันมี ๓ อย่าง
ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน แต่ในปัจจุบันจัดกฐินเป็น ๓ อย่างคือ
๑.จุลกฐิน
๒.ปกติกฐิน
๓.มหากฐิน
กฐิน ๓ อย่างย่อมเป็นเทวดานางฟ้า
เหมือนกัน
แต่ทว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากกว่ากัน

คำว่าจุลกฐินเวลานี้แปลงไป
คงจำของพระพุทธเจ้าไม่ได้ คำว่าจุลกฐิน
ก็หมายความว่า
เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว คือผ้ากฐินจะเป็นผ้าสังฆาฏิตัวหนึ่งก็ได้
จะเป็นผ้าจีวรตัวหนึ่งก็ได้
สบงตัวหนึ่งก็ได้
ถ้าเราไม่มีทั้งไตร
ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน
ทีนี้ถ้า ปกติกฐิน ก็มีผ้าไตรครบไตร
ถวายผ้าไตรเดียว
หรืออย่างน้อยก็มีผ้าไตร ๓ ไตร
คือองค์ครอง ๑ไตร คู่สวด ๒ไตร
ทีนี้ถ้ามีผ้าไตรครบทุกองค์
อย่างที่วัดทำเป็นมหากฐิน
อย่างนี้ถ้าบังเอิญจะไปเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดเป็นพิเศษ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๒ หน้าที่ ๘๓


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO