นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 22 เม.ย. 2025 5:57 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พิจารณากาย
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 03 พ.ย. 2024 6:21 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4896
"..ต่อไปนี้ญาติโยมทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย เฒ่าแก่ เด็กเล็กเด็กน้อยก็ตาม (ให้) พากันสวดมนต์ทำวัตรทั้งเช้าทั้งเย็น ให้ผู้ใหญ่ในครอบครัว พ่อแม่เป็นผู้พาทำ ทำที่บ้านใครบ้านมัน ทำทุกครัวเรือน ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นบุญเป็นกุศลแก่พวกเรา ความเดือดร้อนต่าง ๆ มันก็จะหายไปเอง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)






พิจารณาค้นกาย ตรวจกายถูกดีแล้ว ไม่เป็นปัญหาขึ้นมาได้ ถ้าไม่ถูกย่อมเป็นปัญหาขึ้นมา

ให้ม้างกายเป็นนิจนั้นดี อย่าให้มันหุ้ม

ภายนอกให้ละเอียดเสียก่อน แล้วภายในจึงละเอียด

สกลกายอันเดียวนี้แหละเป็นตัวธรรม

ท่านทรงกลด : เป็นเรื่องเดียวกัน จะขอขยายความในคราวเดียวกัน คําว่าค้น กาย ก็คือกายคตาสติ ดังที่แสดงไปมากมายแล้วนั่นแหละ ม้างกายก็คือรื้อกายออก แยกส่วนของกายออกเป็นดินเป็นน้ํา ส่วนที่แข็ง ส่วนนั้นก็เป็นดิน ส่วนไหนเหลว ส่วนนั้นก็เป็นน้ํา เป็นธาตุดินธาตุน้ํา รื้อออกมาเป็นผมขนเล็บฟันหนัง ไปจนถึงเยื่อมันสมอง รวมแล้วเรียกว่า “อาการ ๓๒”

พอม้างออก รื้อออกมา ก็ไม่มีอะไรหุ้มกายอีกต่อไป ก็จะเห็นคนไม่ใช่คน เป็นเพียงธาตุทั้งสี่มาประชุมกันอยู่เท่านั้น เมื่อไม่มีอะไรหุ้ม ความเป็นคน ตัวตนเรา เขาก็หมดไป เมื่อตรวจกาย พิจารณากายดีแล้ว จิตก็จะสงบขึ้นมา มันสงบได้ จริงๆ เพราะเคยทําเห็นผลมาแล้ว

พิจารณากายให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นของไม่เที่ยงต้องเสื่อมต้องพัง เป็นเพียง ธาตุ พิจารณากลับไปกลับมาอย่างนี้ เรียกว่าตรวจกายถูกดีแล้ว จิตจะสงบ ถ้าพิจารณาไม่ถูก จิตย่อมเป็นปัญหาขึ้นมา คือไม่สงบ ที่จิตสงบเพราะมันเห็นกายตามความเป็นจริง กายคือภายนอก ถ้าพิจารณาเห็นละเอียดลงไปเป็นสักแต่ว่าธาตุ จิตคือภายในก็จะละเอียดระงับขึ้นมา จิตมันจะเบา เพราะเห็นความละเอียดของกาย ไม่ยึดมั่นในกาย ที่มันหนักก็เพราะอํานาจความยึดมั่นอํานาจอุปาทานในกาย ที่หลงรักหลงชังกันอยู่ทุกวันนี้ มันไปติดที่เปลือกคือ หนังหุ้มทั้งนั้นแหละ ลองรื้อหนังออก จะเห็นว่าตนเองมันโง่แท้ เที่ยวหลงรัก หลงชังกองขี้กองเยี่ยวกองเลือดกองเนื้ออยู่ มันหาตัวตนอะไรได้เสียที่ไหน “ถ้าค้นคว้าในกายจนเห็นกายไม่มีอะไร จิตก็จะถอนออกมาจากความยึดมั่น ตรงที่จิตมันถอนมันผละออกมาตั้งมั่นนั่นแหละ ตรงนั้นคือธรรม“ กายคตาสตินําไปสู่การพบธรรม เห็นธรรมได้ เพราะเมื่อเบื่อหน่ายในกายแล้ว ก็ย่อมเบื่อหน่ายใน ความยินดีในกายไปด้วย จิตจะผละจากรูปจากนามออกมาให้เห็น ”พบจิตก็คือ พบธรรม ท่านจึงว่าสกลกายอันเดียวนี้แหละเป็นตัวธรรม“

ที่มา:หนังสือ "โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" บันทึกโดย หลวงปู่หลุย จันทสาโร








"..ธรรมนั้นมีอยู่ทุกย่อมหญ้า สำหรับผู้มีปัญญา อรหันต์ก็เป็นคุณอนันต์ นับหาประมาณมิได้ พระอรหันต์ตรัสรู้ในตัว เห็นในตัวมีญาณแจ่มแจ้งดี ล้วนแต่เล่าเรียนธรรมชาตินั้น ๆ ธรรมะ ธัมโม...เรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความ เกิดความแปรปรวนของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)







"..คนเราต่างมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาทให้เราได้รับผลกรรมนั้นต่อ ๆ ไป คือ หมายความว่า กรรมต่างจำแนกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา ให้เลว ให้ดี ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
วัดเลียบ อ. เมือง จ.อุบลราชธานี







"..ตัวรักษาดีแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้แต่งความสุขให้ตน นั่นแหละเรียกว่าตนมีที่พึ่ง ปัจจุบันก็ไม่มีความเดือดร้อน แต่งทรัพย์สมบัติให้ตน สมบัติภายนอกมากมาย ไม่มีความยากจน ตบแต่งมนุษย์สมบัติให้ตน สมบัติภายนอกมากมาย ไม่มีความยากจน ตบแต่งมนุษย์สมบัติให้ตน ตบแต่งสวรรค์สมบัติให้ตน ตบแต่งเอาเองรักษากาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์ ไม่แตะไม่ต้องสิ่งอันหยาบช้าเลวทราม ศีลห้าก็เป็นมนุษย์สมบัติ เป็นสวรรค์สมบัติ ศีลแปดก็ดีเป็นมนุษย์และสวรรค์สมบัติด้วย ก็ใครเล่าแต่งเอาให้ ก็เรานั่นแหละแต่งเอาเอง ใครจะทำให้เราได้ พระพุทธเจ้าเป็นแต่ผู้สอนมันก็แม่นเรานั่นแหละ ครั้นทำบ่ดีก็แม่นเรา เพราะเหตุนั้นให้รักษาให้มันดี ที่ไม่ดีอย่าไปทำ พวกเรานี่มันสับสนปนกันนี่ทั้งดีทั้งชั่ว มันจึงสุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เอาอยู่อย่างนั้นแหละ ได้รับทั้งสุข ได้รับทั้งโทษ เพราะสับสนปนกัน.."

อนาลโยวาท
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)







“สายทางเดินของหลวงปู่มั่น ใครจะนำเงินมาถวาย หลวงปู่มั่นท่านย้อนถามว่าพอหรือยัง ถ้าพอแล้วค่อยแบ่งมาถวาย ว่าอยากได้บุญกับหลวงปู่ เลี้ยงครอบครัวให้มีความสุขได้บุญเหมือนกัน มันไม่รู้จักเลี้ยงครอบครัวให้มีความสุขไม่มีปัญหาในชีวิตก็มีความสุข บุญก็แปลว่าความสุขนั้น”

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร
วัดป่าดานวิเวกในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO